Quantum Pendant
พลังชีวิต
สุขภาพของผมดีขึ้นมากหลังจากที่ใช้ Quantum Pendant นอกจากจะช่วยให้ผมหายจากการปวดข้อ ปวดเข่าแล้ว สุขภาพร่างกายของผมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมพยายามเปรียบเทียบผลการตรวจเลือดซึ่งจะต้องไปให้แพทย์โรงพยาบาลตำรวจตรวจทุก ๓ เดือน โรคประจำตัวของผมคือเก๊าส์ ไขมันในเลือด และเกี่ยวกับไต ผลการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ผลมาจาก Quantum Pendant นี้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ เพราะผมยังทานยาควบคู่ไปด้วย หลังจากนี้เป็นต้นไปจะพยายามลดยา แต่ที่คุยได้เลยก็คือ ตั้งแต่ผมใช้เหรียญนี้มาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๕๑ จนถึงปัจจุบัน ผมไม่เคยเป็นหวัด ขนาดไปผจญความหนาวเย็นที่รัสเซีย ๖ ถึง ๑๒ องศาเซลเซียสอยู่ ๑๐ กว่าวันยังเฉย กลับมาบ้านที่เมืองไทยอากาศเปลี่ยน ทุกคนในบ้านป่วยเป็นหวัดกันหมด มีผมคนเดียวไม่ได้เป็น ผมพกเหรียญนี้ติดตัวถึง ๓ เหรียญอยู่ตลอดเวลา

ผมพยายามศึกษาเรื่องพลังสกาลาร์ พลังออร่า พลังจักรวาล Electromagnatic Wave ซึ่งผู้ค้นคว้าในเรื่องเหล่านี้จะเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ ผมได้รวบรวมข้อมูลจากคำบรรยาย จากหนังสือของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ หนังสือ Optimum Energy for Peak Performance With Scalar Energy โดย Dr.Siva Pubalasingam,M.D. และ Nisha Lakahmanan,M.A. นำมารวบรวมให้อ่านง่ายๆ เพื่อให้มีความเข้าใจใน Quantum Pendant ดังนี้

ร่างกายของมนุษย์เป็นเครือข่ายของพลังงานหลายรูปแบบ เซลล์ที่มีชีวิตแต่ละเซลล์ในร่างกายจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เซลล์ร่างกายแต่ละเซลล์จะมีทั้งประจุไฟฟ้าลบและประจุไฟฟ้าบวก โดยทั่วไปภายนอกของเซลล์จะมีประจุไฟฟ้าบวก ภายในเซลล์จะมีประจุไฟฟ้าลบ ประจุไฟฟ้าเหล่านี้อาจจะกลับกันบ้างเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถใน"การดึงอิออน"บนเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งเซลล์จะขับโซเดี่ยมอิออนออกจากเซลล์ และจะดึงโปแตสเซี่ยมอิออนเข้าไปในเซลล์ (อิออนคืออะตอม หรือกลุ่มอะตอมที่ประกอบด้วยประจุไฟฟ้า) การเคลื่อนที่ของอิออนทำให้เกิดพลังแห่งชีวิต ให้จินตนาการว่า เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายเป็นแบตเตอรี่ขนาดเล็ก เซลล์ในร่างกายมนุษย์มีอยู่ประมาณ ๗๕,๐๐๐ ล้านเซลล์ การเคลื่อนไหวของไฟฟ้าในเซลล์ของร่างกายเกิดสนามพลัง ทำให้เกิดพลังแห่งชีวิต

รูปแบบพื้นฐานพลังงานในร่างกาย มาจากอาหารที่รับทานเข้าไป อาหารเหล่านี้จะผ่านขบวนการชีวเคมี ทำให้เกิดพลังงานเคมีขึ้น การบริโภคอาหารที่ปราศจากสารอาหาร จะบ่อนทอนความสามารถของร่างกายในการใช้พลังเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับออกซิเจนจากอากาศที่ปราศจากมลพิษ จะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากการเผาผลาญอาหารและเครื่องดื่มที่บริโภคเข้าไปอย่างเต็มที่ เราจึงต้องควบคุมคุณภาพ อาหาร น้ำดื่ม ที่บริโภค รวมทั้งอากาศที่บริสุทธิ์

ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์เล็กๆประมาณ ๗๕,๐๐๐ ล้านเซลล์ ทุกเซลล์ในร่างกายเป็นเสมือนแบตเตอรี่ขนาดจิ๋ว เซลล์เหล่านี้เก็บพลังงานจากแสงแดด ทุกเซลล์ส่งพลังงานขนาด ๗๐-๘๐ มิลลิโวลท์ออกมาในกรณีที่สุขภาพดี ทำให้ร่างกายมนุษย์มีพลังหุ้มห่อ เรียกว่า Bio-energy หรือ พลังออร่า

เป็นการยากที่จะให้เซลล์ในร่างกายทั้ง ๗๕,๐๐๐ ล้านเซลล์มีพลังเต็ม ๗๐-๘๐ มิลลิโวลท์ทุกตัว เนื่องจากคุณภาพของอาหารและน้ำดื่มที่รับทานเข้าไป ตลอดจนมลภาวะต่างๆ ทำให้พลังของเซลล์แต่ละเซลล์ด้อยลง นั่นคือความเจ็บป่วย จึงจำเป็นต้องมีพลังงานเสริม

พลังงานที่จะนำมาเสริมให้กับพลังชีวิต คือพลังสกาลาร์ ซึ่งเป็นพลังที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ในจักรวาล บนพื้นโลก ใต้พื้นพิภพ พลังงานสกาลาร์เป็นพลังงานขับเคลื่อนชีวิต มีอิทธิพลต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ และปฏิกิริยาเคมีที่สำคัญๆภายในร่างกายมากกว่า ๒๐,๐๐๐ ชนิด เช่นการผลิตเอนไซม์ ผลิตฮอร์โมน ทำหน้าที่สื่อประสาท ฯลฯ

ประวัติศาสตร์ของพลังงานสกาลาร์ ผู้ที่ทำการศึกษาและค้นพบคือ James Clerk Maxwell ชาวสก๊อต Maxwell เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ เป็นผู้พบสมการความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและแม่เหล็ก Albert Einstein ได้ศึกษาผลงานของ Maxwell ยอมรับว่ามีพลังงานชนิดนี้อยู่จริง และได้ค้นพบ "ทฤษฎีสัมพันธภาพ" อย่างไรก็ตาม หลังจากการค้นพบของ Maxwell ประมาณ ๕๐ ปี Nikola Tesla นักวิทยาศาสตร์ชาวยูโกสลาเวียซึ่งภายหลังได้กลายเป็นประชาชนอเมริกัน ได้ติดตามงานของ Maxwell ทำการพิสูจน์การมีอยู่ของ "พลังงานสกาลาร์" และทดลองบังคับทิศทางของ "พลังสกาลาร์"

คุณสมบัติของ "พลังสกาลาร์"
  • ไม่เป็นเส้นตรงไม่สามารถวัดเป็นหน่วยเฮิร์ซ
  • มีลักษณะเป็นรัศมีวงกลม
  • ทำให้สิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยพลัง (พลังงานรูปแบบเสถียร)
พลังงานในรูปแบบนี้มีความสามารถในการนำพาข้อมูล และไม่เสื่อมเมื่อต้องเดินทางผ่านระยะเวลาและระยะทาง พลังงานสกาลาร์ขยายออกด้านนอกในลักษณะเป็นรัศมีวงกลมจากจุดศูนย์กลาง ประกอบไปด้วยสนามของระบบพลังงานที่มีชีวิต เป็นพลังงานที่ถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ

การศึกษาโดยสถาบัน Max Planck ในปี ค.ศ.1950 แสดงให้เห็นว่า พลังงานสกาลาร์เมื่อนำมาใช้กับเซลล์สิ่งมีชีวิต ทำให้เซลล์ไม่จับกันเป็นกลุ่ม สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ และเคลื่อนที่ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อพลังงานสกาลาร์ถูกนำมาใช้กับมนุษย์ พลังงานจะซึมผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อของร่างกาย ช่วยให้หลอดเลือดในร่างกายมนุษย์ผ่อนคลายและขยายออก เมื่อรวมกับการที่เซลล์กระจายไม่จับกลุ่ม ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตโดยรวมดีขึ้น

เมื่อร่างกายมนุษย์อยู่ในภาวะบาดเจ็บป่วย หรือเป็นโรค ระบบไหลเวียนของโลหิตและน้ำเหลืองจะบวม มีการไหลเวียนน้อยลง การทดสอบในห้องทดลองแสดงให้เห็นว่า ในภาวการณ์เกิดโรคและบาดเจ็บ เซลล์เม็ดเลือดแดงและขาวจะจับตัวกัน พลังงานสกาลาร์สามารถช่วยลดการจับตัวและช่วยปรับปรุงระบบการไหลเวียนให้ดีขึ้น การไหลเวียนที่ดีจะช่วยในการเยียวยา เลือดสามารถไหลเวียนไปยังบริเวณที่มีปัญหาได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังงานสกาลาร์ที่แผ่ขยาย จะช่วยให้ความกดดันในเนื้อเยื่อน้อยลง การบวม การอักเสบ และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจะลดน้อยลง

การศึกษาพลังงานสกาลาร์ในห้องทดลอง Andrija Puharich นักวิจัยชาวเยอรมันพบว่า พลังงานนี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการทำงานต่างๆของระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่อมไร้ท่อ

Dr.Glen Rein นักชีวฟิสิกส์จาก Heart Math Institute ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาทางชีววิทยาโดยใช้พลังงานสกาลาร์ พบว่าเม็ดเลือดขาวที่ได้รับพลังงานสกาลาร์ จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น 75 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเม็ดโลหิตขาวที่ไม่ได้รับพลังงานสกาลาร์ และยังพบอีกว่า พลังงานสกาลาร์ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

Rebert Jacobs จาก University of Rochester พบว่า พลังงานสกาลาร์มีความสามารถในการทำลายไวรัสและแบคทีเรีย มีบทบาทในการสนับสนุนการเยียวยา ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและรักษาบาดแผล และลดการติดเชื้อ

พลังงานสกลาร์กับการล้างพิษในระดับเซลล์ เป็นที่ทราบว่า การที่ร่างกายมนุษย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการทำงานในระดับเซลล์ และการที่จะทำให้เซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ที่การโภชนาการและการล้างพิษ พลังงานสกาลาร์ช่วยให้เซลล์ไม่จับกลุ่มกัน ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น การส่งอาหารให้กับเซลล์ และการขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สนามพลังทำให้น้ำและอาหารซึมผ่านผนังเซลล์ได้สะดวก ด้วยวิธีการเหล่านี้จึงทำให้ร่างกายไม่เจ็บป่วย

พลังงานสกาลาร์และความชราภาพ พลังงานของเซลล์เกิดจากการเผาผลาญใน "ไมโตคอนเดีย" (ส่วนของเซลล์ที่สร้างพลังงาน) และมักจะถูกเรียกว่า "โรงผลิตพลังงาน" ของเซลล์ ถ้านำเซลล์หรือส่วนที่เล็กที่สุดของร่างกายมาขยาย จะพบ "ไมโตคอนเดีย"ขนาดเล็กทรงรูปไข่ อยู่ภายนอกนิวเครียสของเซลล์ อยู่ในไซโตพลาสซึมภายในเยื่อหุ้มเซลล์ ร่างกายจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดขึ้นอยู่กับการผลิตพลังงานโดย "ไมโตคอนเดีย" เมื่อ "ไมโตคอนเดีย"ทำงานบกพร่อง เซลล์ชีวิตจะผลิตพลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การติดเชื้อ หรือเซลล์อาจจะตายไป สุขภาพร่างกายจะเสื่อมถอย พลังงานที่ลดลงจะปรากฏในลักษณะของการเหนื่อยอ่อน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความชราได้ง่าย

พลังงานสกาลาร์กับมะเร็ง เซลล์ชีวิตมีประจุไฟฟ้า มีความต่างศักย์ในแต่ละเซลล์ ปกติเซลล์ร่างกายจะมีความต่างศักย์ที่ 70 มิลลิโวลท์ เซลล์ที่เกิดมะเร็งจะมีพลังงานต่ำ หรือมีความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้มเซลล์ต่ำมากๆ อยู่ที่ระดับ 15 มิลลิโวลท์ เมื่อพลังงานของเซลล์ตกลงไปอยู่ในระดับต่ำจนอาจเป็นอันตราย ร่างกายจะปรับสภาพตัวเองเพื่อความอยู่รอด โดยจะเพิ่มจำนวนเซลล์ให้มากขึ้น เพื่อให้มีศักย์ไฟฟ้าสูงขึ้น เซลล์จะเริ่มเพิ่มจำนวนอย่างไม่สามารถคุมได้ เป็นการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์มะเร็ง นักวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งการเติบโตของมะเร็งได้โดยการฟื้นฟูการทำงานของ "ไมโตคอนเดีย" มีการทดสอบในหลอดทดลองและศึกษาในสัตว์ พลังงานสกาลาร์มีความสามารถในการเพิ่มความต่างศักย์ของพลังงานให้กับเซลล์ โดยเพิ่มความต่างศักย์ให้อยู่ในระดับ 70 มิลลิโวลท์ เซลล์ที่มีปัญหา(เซลล์ที่มีความต่างศักย์ลดลง)จะมีความรู้สึกว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มจำนวนเซลล์ นั่นคือการยับยั้งการเจริญเติบโตชองเซลล์มะเร็ง

พลังสกาลาร์และระบบประสาท ข้อเท็จจริงที่ยอมรับโดยทั่วไปคือ สมองควบคุมระบบประสาท เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะและระบบต่างๆของร่างกาย ระบบประสาทมีความอ่อนไหวต่อความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มนุษย์เราถูกห้อมล้อมไปด้วยสนามพลังต่างๆ อุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะแผ่คลื่นที่มีความถี่ 60 เฮิร์ซ และความถี่ระดับนี้สามารถก่อกวนการทำงานที่เหมาะสมของระบบประสาทได้ คลื่นที่มาจากเครื่องไฟฟ้าต่างๆ ทำให้ประสาทหลงสภาพ เช่น วิทยุ ทีวี เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เตาไมโครเวฟ ฯลฯ แม้กระทั่งสายไฟฟ้าแรงสูงที่พาดผ่าน มีผลกกระทบต่อร่างกาย มีหลักฐานทางการแพทย์ที่เชื่อมโยงโรคต่างๆกับการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น โรคมะเร็ง อัลไซเมอร์ อาการปวดศีรษะ การขาดสมาธิ การหดหู่ การเป็นหวัดบ่อยๆ โรคสมาธิสั้นในเด็ก การนอนไม่หลับ หงุดหงิด และอาการอื่นๆอีกมาก พลังสกาลาร์จะสร้างเกราะป้องกัน ช่วยขจัดและลบล้างผลกระทบจากความถี่ที่มนุษย์สร้างขึ้น (ความถี่ 60 เฮิร์ซ)

สมองก็มีความสั่นสะเทือนของมันเอง มนุษย์ใช้การสั่นสะเทือนเหล่านี้เพื่อสื่อสารภายในตัวเองและสื่อสารกับอวัยวะอื่นๆของร่างกาย การสั่นสะเทือนทำให้เกิดคลื่นความถี่ คลื่นสมองที่ส่งออกมาถูกวัดได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Electroencephaiogram แบ่งเป็น ๔ ประเภท ๑ คลื่นเบต้า ๑๓-๔๐ รอบต่อวินาที ๒ คลื่นอัลฟา ๗-๑๓ รอบต่อวินาที ๓ คลื่นเธต้า ๔-๗ รอบต่อวินาที ๔ คลื่นเดลต้า ๑/๒ – ๔ รอบต่อวินาที เวลาที่มนุษย์ไม่ได้นอนหลับหรือเมื่อมีการใช้แรงงานทางกายภาพ คลื่นเบต้าจะมีอิทธิพลมาก คลื่นอัลฟาจะมาเกี่ยวข้องตอนจิตใจสงบและผ่อนคลาย คลื่นเธต้าเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์และจินตนาการ ส่วนคลื่นเดลต้าเกี่ยวข้องกับการหลับ คลื่นอัลฟามีความใกล้เคียงกับสนามไฟฟ้าตามธรรมชาติ สนามพลังงานตามธรรมชาติจึงมีความจำเป็นต่อชีวิต

พลังงานสกาลาร์ช่วยส่งความถี่เท่ากับคลื่นอัลฟาให้แก่สมอง และสมองจะสะท้อนกลับโดยมีความสั่นสะเทือนเท่ากันและถูกส่งไปทั่วร่างกาย ช่วยให้เซลล์ในร่างกายได้รับความสั่นสะเทือน ส่งผลดีต่อสุขภาพ พลังสกาลาร์จึงช่วยสนับสนุนให้จิตใจมนุษย์เกิดความผ่อนคลาย มีเหตุผล มีสติ สร้างสรรค์ และมีสมาธิ

มีหลากหลายทางเลือกที่จะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี การเยียวยาในรูปแบบพลังงานถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการบำบัดรักษา ท่านสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Optimum Energy for Peak Performance With Scalar Energy
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์