โจรไม่มีวัฒนธรรม
เดี๋ยวนี้อะไรๆมันก็เพี้ยนไปหมด สมัยก่อนพวกโจรยังมีวัฒนธรรม บ้านพวกข้าราชการผู้ใหญ่ นักการเมือง นายทหารนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โจรจะไม่ค่อยย่างกรายเข้าไปใกล้ ไม่อยากแตะเพราะเหมือนกับไปแหย่รังแตน โดนเมื่อไหร่เป็นหึ่ง ถูกรุมกินโต๊ะอานไปเลย แต่เดี๋ยวนี้พวกโจรมันไม่สน ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้ารู้ว่ามีของมีค่าอยู่มันก็จะเอา สมัยก่อนโจรมีวันหยุด วันเสาร์อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ พวกโจรจะหยุดขโมย เพราะโจรมีวันครอบครัว ต้องพาลูกพาเมียไปเที่ยวไปพักผ่อน วันธรรมดาพอตกค่ำๆก็จะบอกลูกบอกเมียว่าไปทำงาน อ้างต้องเข้าเวรกะกลางคืน ความจริงออกไปขโมยของชาวบ้าน ไม่เคยบอกความจริงให้เมียให้ลูกรู้ กลัวว่าเมีย ลูกจะอายว่าหัวหน้าครอบครัวมีอาชีพเป็นขโมย แต่ในยุคข้าวยากหมากแพง โจรไม่รักษาวัฒนธรรมอีกต่อไป ไม่เลือกวันโกนวันพระขโมยหมดไม่เหลือ
โครงการฝากบ้านกับตำรวจในช่วงวันหยุดเทศกาล ตอนแรกๆก็ดี ประชาชนชื่นชอบบริการ นิยมฝากบ้านในช่วงหยุดเทศกาลมากขึ้นทุกปี ตอนหลังๆถูกโจรลองดี ก็ไอ้พวกโจรที่ไม่มีวัฒนธรรม งัดบ้าน ขโมยรถยนต์ ในโครงการฝากบ้านกับตำรวจ ทำให้ตำรวจต้องทำงานกันหนักมาก
กรรมของตำรวจแท้ๆ ช่วงเทศกาลไม่ได้ไปพักผ่อนกับครอบครัว ต้องไปเฝ้าบ้านเฝ้าช่องให้ชาวบ้านไม่ผิดกับพวกยาม ในช่วงรับฝากบ้านเทศกาลวันหยุด ตำรวจต้องแบ่งถนน แบ่งซอยกันเฝ้า บางสถานีต้องลงทุนจ้างพวกมอเตอร์ไซด์รับจ้างมาช่วย เรียกว่าเหมาซอยกันไปเลย ซอยไหนใครรับผิดชอบว่ากันเป็นซอยๆไป หากบ้านในซอยที่ตนรับผิดชอบโดยขโมยขึ้น ก็รับไปเต็มๆ
สมัยที่ผมเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล ๔ ผมมีลูกน้องที่มีฝีมือด้านสืบสวนอยู่หลายคน รวมกันอยู่ที่กองสืบสวนนครบาล ๔ หรือที่พวกตำรวจเรียกชื่อกันสั้นๆว่า สืบ ๔ หัวหน้าคือ พ.ต.อ.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ รูปร่างสูงใหญ่ รวบผมหางเปียสั้นๆ คนนี้แหละที่พวกโจรกลัวกันนัก เพราะเป็น ของจริง ส่วนลูกน้องตัวดีๆอีกหลายคน เช่นรองทวีป, รองเอนก, รองไพศาล พวกระดับสารวัตร รองสารวัตร และชั้นประทวนอีกเยอะ แต่ละคนฝีมือใช้ได้เลย แต่แปลก ผมเกษียณไป ๕ ปีแล้ว ลูกน้องผมที่ว่าฝีมือดีๆ ยังอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดิม พวกนี้ทำงานอย่างเดียว ประจบสอพลอไม่เป็น ตังส์ก็ไม่มีซื้อตำแหน่ง น่าเห็นใจตำรวจเหล่านี้จริง
สมัยปี ๔๖ โครงการฝากบ้านกับตำรวจกำลัง HOT ช่วงปีใหม่ปีนั้น มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน แต่ละโรงพักในนครบาลรับฝากบ้านจากประชาชนเป็นร้อยๆหลัง โฆษณาประชาสัมพันธ์กันมากโจรเลยรู้แกว ปีใหม่ปีนั้นเลยโดนลองของไปหลายท้องที่ จำได้ว่าเป็นของ สน.บางนา ๑ ราย ในหมู่บ้านลาซาลนิเวศ ถูกโจรงัดบ้านขโมยของ แถมเอารถยนต์เก๋งไปด้วย เหมือนตบหน้าตำรวจแห่งชาติฉาดใหญ่ นักสืบนครบาลถูกไขก๊อก ต้องออกอาละวาดกวาดล้างมิจฉาชีพกันครั้งใหญ่ ลูกน้องผมที่ สืบ ๔ต้องออกแรงกับเขาด้วย
ท่านผู้อ่านติดตามให้ดีนะครับ ตำรวจเขาสืบรู้กันได้ยังไง อ่านแล้วได้ความรู้ ฝึกสมองลองเป็นนักสืบดูนะครับ
เริ่มแรกจากพบรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมไปจอดทิ้งไว้แถวย่านคลองหลวงปทุมธานี แค่พบรถก็มีเรื่องให้นักสืบขบคิดมากมาย
๑. แก๊งนี้ต้องไม่ใช่แก๊งขโมยรถ หากเป็นแก๊งขโมยรถมันต้องเอารถไปขาย มันมีที่จำหน่าย ไม่ทิ้งรถไว้ข้างถนนแน่
๒. จุดที่คนร้ายนำรถไปจอดทิ้ง ต้องมีความสัมพันธ์กับพื้นที่บริเวณนั้น
ได้ร่องรอยเพียงแค่นี้ จะไปตามจับใครที่ไหน เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร นักสืบจากสืบ๔ชักอ่อน
ใจ ว่าแล้วบรรดานักสืบก็ชวนกันไปผ่อนคลาย เนื่องจากเครียดมาแล้วทั้งวัน ได้เวลาทานอาหารค่ำก็เลยชวนกันไปทานอาหารที่ร้านกุ้งเผาย่านคลองหลวง ร้านอาหารใหญ่โต ลักษณะเป็นสวนอาหาร บรรยากาศน่านั่ง ระหว่างที่บรรดานักสืบกำลังละเมียดอยู่กับเบียร์สดแกล้มคอหมูย่าง พลันสายตาก็มองเห็น ไอ้เผือกขับรถเก๋งเข้าไปจอดหน้าร้านอาหาร เดินเข้าไปในร้านแบบขาใหญ่ เด็กในร้านยกมือไหว้ทุกคน แต่สำหรับนักสืบ๔เป็นงง ไอ้นี่เคยถูกกูจับเรื่องงัดแงะย่องเบานี่หว่า มันมาอยู่ที่นี่ได้ไง สัญชาติญาณนักสืบควบคุมอาการเพราะยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร สักพักไอ้เผือกก็ขับรถออกไป สอบถามข้อมูลจากเด็กในร้านจึงทราบว่า ไอ้เผือกเป็นเจ้าของร้านอาหารกุ้งเผาแห่งนั้น เปิดร้านใหญ่โตแต่ไม่เคยอยู่ควบคุมร้าน ให้ลูกน้องทำ ตัวเองชอบท่องเที่ยวไปเรื่อยๆเพราะมีเมียหลายคน
ข้อมูลเพียงแค่นี้พวกนักสืบมองทะลุไปไกล จุดที่พบรถยนต์ในคดีลักทรัพย์ที่คนร้ายเอามาทิ้ง ถึงจะอยู่ห่างไกลหลายกิโล แต่ก็เป็นเส้นทางที่อยู่ในโซนเดียวกับร้านกุ้งเผา นักสืบโยงเรื่องเข้าหากัน แผนประทุษกรรมไอ้เผือกถูกค้นหามาเปรียบเทียบ พบว่าแผนประทุษกรรมคนร้ายที่โจรกรรมบ้านในโครงการฝากบ้านกับตำรวจ ลักษณะตรงกันกับแผนประทุษกรรมของไอ้เผือก คืองัดแงะโดยใช้ไขควง เลือกเอาแต่ของมีค่าชิ้นเล็กๆ เช่นเครื่องเพชร เครื่องทองรูปพรรณ ของใหญ่ๆหนักๆไม่เอา
ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป นักสืบชุดหนึ่งถูกวางตัวให้สะกดรอยติดตามไอ้เผือก จนในที่สุดตำรวจทราบบ้าน ทั้งบ้านตนเองและบ้านภรรยาอีกหลายหลัง ไม่น่าเชื่อ โจรงัดแงะย่องเบา มีบ้านช่องใหญ่โต เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารซึ่งต้องใช้เงินลงทุนและหมุนเวียนเป็นสิบๆล้าน ค้าขายสุจริตไม่รวยอย่างนี้แน่ ตอนแรกนักสืบกะจะสะกดรอยตาม ตะครุบตัวคาหนังคาเขาขณะเข้าโจรกรรมทรัพย์สิน แต่รอไม่ได้ ถูกผู้บังคับบัญชาเร่งรัด ตำรวจตัดสินใจขอหมายค้นบ้านของไอ้เผือกทุกหลัง ตำรวจที่ไปทำการตรวจค้นต้องตลึง ไอ้เผือกมีเครื่องเพชรเครื่องทองรูปพรรณชนิดเปิดร้านจำหน่ายได้สบาย มากกว่าเพชรที่ร้านของภรรยาผมอีก นับรวมๆประมาณ ๒๐๐ ชิ้น เกินฐานะคนธรรมดาที่จะซื้อหามาไว้ใช้ ไอ้เผือกแจงไม่ได้ว่าซื้อหามาจากไหนบ้าง ประกอบกับมีประวัติทางด้านงัดแงะย่องเบาอยู่แล้ว ได้แต่ร้องแบะๆพูดไม่เป็นภาษาคน ตำรวจจึงเอาตัวและเครื่องเพชรทองรูปพรรณไปแถลงข่าวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จำได้ว่าเป็นช่วงกลางๆเดือนมกราคม หนังสือพิมพ์ถ่ายรูปของกลางลงข่าวหน้าหนึ่ง พอหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย ผู้เสียหายเฮโลแจ้งความดำเนินคดีกับไอ้เผือก เป็นอันว่า โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจปีนั้นสามารถกู้หน้าไว้ได้
มาปี ๕๑ ยังไม่ถึงเทศกาลวันหยุด มีบ้านคหบดีในหมู่บ้านสินธนาถูกงัด ของมีค่าถูกขโมยไป บ้านผู้เสียหายอยู่ในท้องที่ สน.บึงกุ่ม ท้องที่รับผิดชอบของสืบ๔ โจรไม่ดูตาม้าตาเรืออีกแล้ว ไม่รู้จักฝีมือนักสืบเจ้าเก่า บอกแล้วว่าพวกนี้ดักดานไม่ได้ย้ายไปไหนกับเขา จะมีก็เพียง พ.ต.อ.วีระศักดิ์ฯได้ขยับขยายไปเป็นรองผู้การเสียที คนใหม่มาแทนคือ พ.ต.อ.สรรักษ์ จูสนิท นี่ก็ฝีมือระดับพระกาฬอีกคน มาร่วมก๊วนกับลูกน้องมือดีๆ ไอ้โจรมึงตายแน่
โชคดีที่บ้านที่เกิดเหตุในหมู่บ้านสินธนาติดตั้งทีวีวงจรปิดไว้ โจรไม่รู้เรื่องเครื่องมือไฮเทค เจ้าของบ้านซ่อนกล้องไว้อย่างมิดชิด ตำรวจเอาภาพที่ถูกบันทึกไว้มาดู นักสืบเจ้าเก่าเห็นภาพคนร้าย เฮ้ยนี่มันคล้ายไอ้เผือกนี่หว่า มันพ้นคดีมาแล้วเหรอ ว่าแล้วทีมงานสืบสวนก็พลิกแผ่นดินตามไอ้เผือก เริ่มจากประวัติเก่าที่ถูกจับ ติดคุก มันรับสารภาพจึงพ้นโทษเร็ว การตามหาตัวไอ้เผือกไม่พ้นความสามารถของตำรวจ แต่ที่แปลกใจก็คือ ไอ้เผือกพัฒนาไปเยอะ คราวนี้เปิดร้านอาหารในเมือง อยู่ถนนรามคำแหง ในร้านอาหารมีเฟอร์นิเจอร์มุกเต็มไปหมด ได้ความว่า ตอนคุณเผือกไปติดคุก มีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนนักโทษและผู้คุม พ้นโทษมาก็เลยอุดหนุนผลิตภัณฑ์ฝีมือนักโทษ ซื้อเอาไปประดับตกแต่งที่ร้านอาหาร ผู้กำกับสรรักษ์ฯให้ลูกน้องไปรวบตัวคุณเผือกมาอีกครั้ง ตรวจค้นบ้านพบของกลางที่ได้มาจากการโจรกรรม ๒๐ กว่ารายการ คุณโจรเขามีน้ำใจนักกีฬา พอถูกจับได้ก็รับสารภาพ ว่าทำการโจรกรรมประมาณ ๑๐ กว่าครั้ง ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เอาทรัพย์สินที่ได้ไปขาย เอาเงินไปเลี้ยงดูภรรยาซึ่งมีหลายคน และเอาเงินไปใช้จ่ายในการเปิดร้านอาหาร คุณเผือกรับว่าทำงานคนเดียว เครื่องมืองัดแงะคือไขควงปากแบนอันใหญ่ทำด้วยเหล็กแข็ง น่าชมเชยในความมีประสบการณ์ของคุณเผือก ที่เลือกหาบ้านเป้าหมายได้เก่ง สอบถามได้ความว่า วันๆไม่ได้ทำอะไร ขับรถเก๋งตระเวนไปตามหมู่บ้านใหญ่ๆ สังเกตบ้านที่เห็นแล้วน่าเชื่อว่ามีทรัพย์โดยเฉพาะเครื่องเพชรและทองรูปพรรณ ซึ่งก็ไม่เคยพลาด
คราวนี้คุณเผือกคงจะต้องนอนในคุกอีกหลายปี เพราะต้องถูกเพิ่มโทษฐานกระทำความผิดซ้ำอีกด้วย ผมว่ายังไงๆคุณเผือกแกก็ไม่เลิกอาชีพนี้ ผมกลัวลูกน้องผมที่เคยจับคุณเผือกจะเกษียณหรือย้ายไปเสียก่อน แล้วใครจะตามจับคุณเผือกละทีนี้.