ตู้ทองเคลื่อนที่อ่านตรงนี้
เตือนสติผู้ที่ชอบทำตัวเป็น ตู้ทองเคลื่อนที่ เวลาเราเห็นใครใส่ทองหรือเพชรนิลจินดา มากเกินพอดี เดินผ่านไป เราชอบเรียกพวกนี้ว่า ตู้ทองเคลื่อนที่ ตู้ทองมันควรต้องอยู่ในร้านทอง แต่นี่มันผิดที่ เลยกลายเป็นสายล่อฟ้าไป ผลเป็นอย่างไร ติดตามอ่าน
คุณพิทักษ์ฯพ่อค้าเนื้อ บ้านอยู่ในท้องที่ สน.วังทองหลาง จะมีโรงเชือดอยู่ที่ไหน หรือว่ารับเนื้อจากผู้อื่นไปส่งตามเขียงไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไอ้ที่สำคัญมันอยู่ที่คอและที่ข้อมือ ทองเหลืองอร่ามๆไปหมด ความจริงทองก็ไม่ได้เส้นโตเท่าไหร่ แค่รวมกันแล้วเกือบ ๒๐ บาท (น้ำหนัก) กับพระห้อยสร้อยอีกพวงเบ้อเริ่ม ยุคทองแพงบาทละหมื่นสาม คุณพิทักษ์ฯจึงจัดอยู่ในประเภทตู้ทองเคลื่อนที่แค่นี้ยังไม่พอ คุณพิทักษ์ฯยังชอบทำอะไรเป็นเวลา ยึดเส้นทางเดิมไม่เคยเปลี่ยน แถมเป็นคนขยันและมัธถยัต ทำงานคนเดียว ไม่จ้างลูกจ้าง ประมาณตีสี่ของทุกวัน คุณพิทักษ์ฯจะขับรถปิกอัพเอาเนื้อวัวไปส่งที่เขียงเนื้อตลาดสะพานสอง ลาดพราว ท้องที่ สน.โชคชัย เมื่อส่งเนื้อที่ตลาดสะพานสองเสร็จก็ไปส่งที่จุดต่อไป คือที่โรงงานทำลูกชิ้นแชมป์ กลางซอยลาดพร้าว ๖๔ ท้องที่ สน.วังทองหลาง คุณพิทักษ์ฯทำตัวเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายปี ทุกวันพอส่งเนื้อของใหม่เสร็จก็เก็บเงินของเก่าไปด้วย คุณพิทักษ์ฯเลยกลายเป็น สายล่อฟ้าไป<
เมื่อก่อนสงกรานต์ปีนี้ไม่กี่วัน คุณพิทักษ์ฯไปส่งเนื้อแล้วหายตัวไป ไม่ได้กลับบ้าน ลูกเมียออกติดตามหา ลูกเมียก็รู้ว่าคุณพิทักษ์ฯส่งเนื้อประจำให้กับโรงงานทำลูกชิ้นแชมป์ และเป็นจุดสุดท้ายที่ส่งเนื้อ จะกลับถึงบ้านตอนเช้าทุกวัน จึงไปสอบถามที่โรงงานแชมป์ก็ได้ความว่า ตอนตีห้ากว่าๆมาส่งเนื้อแล้วยังเก็บเงินไปด้วยเป็นหลักหมื่น เมื่อผิดเวลากลับบ้าน เป็นเรื่องผิดปกติ ก็ต้องไปแจ้งความตำรวจไว้ก่อน
เรื่องนี้ต้องชมเชยยาม ร.ป.ภ.ที่เฝ้าบริษัทแห่งหนึ่ง ในท้องที่ สน.วังทองหลาง ที่ชมเชยก็เพราะยามผู้นี้มีความรับผิดชอบ ไม่หลับยาม ให้ความสนใจกับเหตุการณ์แวดล้อม ช่างสังเกต บริษัทที่ ร.ป.ภ.ผู้นี้อยู่ ซอยเดียวกับลูกชิ้นแชมป์ แต่ห่างกันเป็นร้อยเมตร ตอนตีห้ากว่าๆของคืนเกิดเหตุ ร.ป.ภ.เห็นรถ จ.ย.ย.คันหนึ่ง มีชายขับขี่อีกชายหนึ่งนั่งซ้อนท้าย ขับวนผ่านหน้าบริษัทของ ร.ป.ภ. คงจะขับวนไปวนมาหลายครั้งจึงเป็นที่ผิดสังเกต ร.ป.ภ.ผู้นี้ให้ความสนใจติดตามดู เห็นรถ จ.ย.ย.จอดห่างไปประมาณ ๑๕๐ เมตร ลักษณะดักซุ่ม ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา เห็นรถปิกอัพขับผ่าน จ.ย.ย.ขับจอดข้างทางโบกให้รถปิกอัพหยุด คนขับรถปิกอัพเป็นชายลงจากรถ เดินไปดูที่จ.ย.ย. เวลาเดียวกันชายอีกคนหนึ่งที่หลบอยู่ในมุมมืดก็โผล่ออกมา ใช้ของแข็งที่ถือมา ฟาดไปที่ชายผู้ขับขี่รถปิกอัพ ชายสองคนที่มากับ จ.ย.ย.ช่วยกันอุ้มคนที่ถูกตีขึ้นรถปิกอัพ แล้วชายคนหนึ่งก็ขับรถปิกอัพ ส่วนอีกคนหนึ่งขับ จ.ย.ย.ตามไป ขณะเกิดเหตุไม่มีใครเห็นนอกจากยามผู้นี้ซึ่งดูอยู่ในระยะห่าง จำทะเบียนรถหรือลักษณะคนร้ายไม่ได้เลย แต่ยามผู้นี้ไม่ปล่อยปะละเลย ทำหน้าที่พลเมืองดี โทรแจ้งเหตุไปที่ ๑๙๑ ซึ่งเป็นศูนย์รับแจ้งเหตุของตำรวจนครบาล เรื่องนี้ถ้าหาก ร.ป.ภ.ผู้นี้ ไม่สนใจเหตุแวดล้อม ไม่ทำหน้าที่พลเมืองดีแจ้งเหตุ ตำรวจคงจะต้องทำงานลำบากมากขึ้นไปอีก
อยากจะบอกกับท่านผู้อ่าน ปัจจุบันตำรวจพัฒนาการทำงานไปมาก โดยเฉพาะระบบการรับแจ้งเหตุและการสกัดจับคนร้าย ตำรวจนครบาลจะเป็นแม่แบบ ตำรวจจังหวัดอื่นก็ถือปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน มาถึงตอนนี้อยากจะบอกกล่าวถึงการทำงานของตำรวจ ๑๙๑ เพื่อให้พี่น้องชาวกรุงเทพฯได้อบอุ่นใจ
ศูนย์รับแจ้งเหตุของตำรวจนครบาล อยู่ตรงกองบัญชาการตำรวจนครบาลเก่า สี่แยกพญาไท ตรงข้ามกับโรงพยาบาลสงฆ์ ห้องทำงานเป็นห้องโถงใหญ่ ติดเครื่องปรับอากาศ มีอุปกรณ์สื่อสารอีเล็คโทรนิคทันสมัย ลักษณะเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ ๑๓ ขององค์การโทรศัพท์ มีเจ้าหน้าที่ทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง คอยรับโทรศัพท์หมายเลขสามตัว ๑๙๑ สมัยที่ผมรับราชการอยู่ เบอร์ ๑๙๑ มีอยู่ด้วยกัน ๓๐ คู่สาย ปัจจุบันอาจจะเพิ่มไปมากกว่านี่ก็ได้ เบอร์ ๑๙๑ เป็นเบอร์อัตโนมัติ ชนิดหมุนเข้าเบอร์เดียว เครื่องรับเครื่องใดว่างจะไปดังที่เครื่องนั้น ๓๐ คู่สายอัตโนมัติผมว่ามันก็ไม่น้อย แต่มีชาวบ้านบ่นว่าโทร ๑๙๑ แล้วสายไม่ค่อยว่าง ก็เล่นโทรแจ้งเหตุกันวันละ ๒๐๐๐ กว่าครั้ง ถ้าเฉลี่ยว่าสายหนึ่งๆใช้เวลาประมาณ ๕ นาที ลองคำนวณดูว่าสายโทรศัพท์จะต้องทำงานหนักแค่ไหน เจ้าหน้าที่ ๑๙๑ ได้รับฝึกฝนมาเป็นพิเศษ สมัยก่อนใช้ตำรวจหญิง ปัจจุบันไม่ทราบ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นกะๆไป เจ้าหน้าที่รับแจ้ง ๑๙๑ ต้องมีทักษะพิเศษ อันดับแรกเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ อารมณ์ดีตลอด พูดจาดีสุภาพ คนโทรเข้ามาแจ้งเหตุแต่ละรายอารมณ์ร้อยแปด อันดับที่สองต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการซักถาม แล้วสรุปข้อมูลได้รวดเร็วและถูกต้อง ตามหลักของการข่าว
จากนั้นผู้รับแจ้งจะบันทึกข้อมูล ส่งให้เจ้าหน้าที่วิทยุ แจ้งไปยังผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ กรณีมีปัญหา หัวหน้าหรือนายร้อยเวรจะเป็นผู้วินิจฉัยสั่งการ หากข้อมูลไม่ชัดเจนก็จะ rewind เทปกลับมาฟังอีกครั้ง (โทรศัพท์จะถูกบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐาน)
ส่วนผู้ปฏิบัติก็คือสายตรวจของสถานีตำรวจต่างๆ มีทั้งสายตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ทุกสถานีมีเหมือนกันหมด ๕ สายบ้าง ๘ สายบ้าง แล้วแต่ขนาดของพื้นที่ สายตรวจแต่ละสายจะรับผิดชอบพื้นที่ชัดเจน มากน้อยสารวัตรปกครองป้องกันเป็นผู้กำหนด สายตรวจแต่ละสายจะต้องปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ๆตนรับผิดชอบ และจะต้องรับฟังวิทยุอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รับแจ้งเหตุเกิดในพื้นที่ใด สายตรวจรับผิดชอบนั้นจะต้องไปถึงที่เกิดเหตุภายใน ๓ นาที แต่ทุกวันนี้ที่สายตรวจไปถึงช้าเพราะมัวไประงับเหตุที่จุดอื่น ซึ่งได้รับแจ้งเข้ามาก่อน อย่างไรก็ตามเป็นการการันตีว่า พื้นที่ใน กทม.ทุกตารางนิ้ว มีเจ้าหน้าที่สายตรวจรับผิดชอบตลอด ๒๔ ชั่วโมง และพร้อมที่จะไปถึงยังสถานที่เกิดเหตุภายใน ๓ นาที ถ้าผิดเพี้ยนไปจากนี้ต้องถือว่าเป็นปัญหาเรื่องคนปฏิบัติ หลักการเป็นดังที่ผมว่าไว้จริงๆ
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุในนครบาล (กรุงเทพ) เมื่อมีผู้แจ้งเหตุไปที่ศูนย์รับแจ้ง ๑๙๑ ศูนย์จะแจ้งไปยังสถานีตำรวจท้องที่ ทางสถานีจะเป็นผู้แจ้งไปยังตำรวจสายตรวจ ด้วยวิธีนี้ ทำให้เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นในท้องที่ใด ทุกสถานีตำรวจใน กทม.จะทราบเหตุ เพราะใช้คลื่นวิทยุคลื่นเดียวกัน คือทางข่ายผ่านฟ้า
ที่บอกกล่าวมานี้ก็อยากจะให้คนกรุงเทพฯอบอุ่นใจในความปลอดภัย ท่านอยู่ใกล้ตำรวจ แต่ในต่างจังหวัดผมไม่แน่ใจเพราะพื้นที่กว้างขวางมาก ยิ่ง ๓ จังหวัดภาคใต้ไม่ต้องพูดถึงเลย ตำรวจเองยังเอาตัวไม่รอด ประชาชนจะพึ่งพาได้อย่างไร
ย้อนกลับมาเรื่อง ตู้ทองเคลื่อนที่ ภรรยาของพิทักษ์ฯเห็นว่าการหายตัวไปของสามีเป็นเรื่องผิดปกติ จึงได้ไปแจ้งความที่ สน.วังทองหลาง เจอกับตำรวจที่ เอาถ่านเข้า ก็เลยปะติดปะต่อเรื่องที่มีการแจ้งเหตุคนขับรถปิกอัพถูกทำร้าย จึงได้ทราบหมายเลขทะเบียนรถยนต์ปิกอัพของคุณพิทักษ์ฯ เป็นทะเบียนจังหวัดราชบุรี จากนั้นก็มีการประสานให้สายตรวจทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่ว กทม.ค้นหารถยนต์ปิกอัพทะเบียนราชบุรีของคุณพิทักษ์ฯ ท่านได้ทราบระบบการทำงานของสายตรวจนครบาลแล้ว คงเดาได้ว่า เรื่องแบบนี้ไม่พ้นขีดความสามารถของสายตรวจไปได้ เปล่าครับ ตำรวจสายตรวจตามไม่พบหรอก กลายเป็นชาวบ้านเป็นคนไปเจอ และไอ้ที่ไปเจอนั้นก็ไม่ใช่ว่าได้รับข่าวสารให้ช่วยติดตาม ไปพบรถด้วยเหตุบังเอิญ โดยในตอนบ่ายของวันเดียวกันนั้น ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงกับสถานอาบอบนวด วี.๒ ซึ่งอยู่ในท้องที่ สน.โชคชัย พบรถยนต์ปิกอัพจอดทิ้งไว้เป็นเวลานานผิดสังเกต เข้าไปดูพบว่า ที่กระบะท้ายรถมีเข่งวางอยู่ ๒-๓ ใบ แล้วมีไม้อัดวางทับอยู่ ๓ แผ่น ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเข้าไปดูใกล้ๆ พบว่ามีคนผู้ชายนอนอยู่ใต้แผ่นไม้อัด ผิดวิสัยคนนอนหลับเพราะรถจอดกลางแดด อากาศก็ร้อนอบอ้าว เมื่อเรียกแล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เขย่าขาก็ยังไม่เคลื่อนไหว จึงเปิดไม้อัดออกดู พบว่าเสียชีวิต เหตุผิดปกติลักษณะนี้ ต้องแจ้งตำรวจท้องที่อยู่แล้ว สายตรวจ สน.โชคชัยไปตรวจดู ทะเบียนรถเป็นป้ายราชบุรี เรื่องก็เลยประสานกันเข้าพอดี สน.โชคชัยกับ สน.วังทองหลางอยู่ใกล้กัน ไม่ช้าก็ทราบว่า ผู้ตายคือคุณพิทักษ์ฯคนส่งเนื้อหรือ ตู้ทองเคลื่อนที่นั่นเอง แล้วใครฆ่าเขา ฆ่าเพราะสาเหตุใด เป็นเรื่องที่ฝ่ายสืบสวนของตำรวจนครบาลจะต้องคลี่คลาย
เวลาผ่านไปแค่ ๑๔ วัน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็เปิดห้องแถลงข่าว จับกุมคนร้ายฆ่าคุณพิทักษ์ฯได้ ๒ คนคือ
๑ นายกิจจาหรือจ้อย บ้านอยู่ ต.บางขวัญ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
๒ นายชัชวาลฯหรือเก่ง บ้านอยู่ ต.หมอนทอง อ.บางน้ำเปรียว จ.ฉะเชิงเทรา
ผู้ต้องหาทั้งสองรับสารภาพ กิจจาฯเคยทำงานเป็นลูกจ้างเขียงเนื้อที่รับซื้อเนื้อจากคุณพิทักษ์ฯ รู้จักคุณพิทักษ์ฯพอสมควร กิจจาฯได้ออกจากงานดังกล่าวไปประมาณ ๖ เดือน ภรรยาของกิจจาฯทำงานอยู่ที่โรงงานทำลูกชิ้น ขณะเกิดเหตุก็ยังทำอยู่ ข้อมูลเรื่อง ตู้ทองเคลื่อนที่จึงไม่ยากที่กิจจาฯจะรู้ความเป็นไป ยุคที่เมืองไทยเงินทองหายาก ข้าวสาร,น้ำมันแพง ทองคำกลับขึ้นราคา กิจจาฯจึงได้ชักชวนเพื่อนหาเงินทางลัด วางแผนฉกทอง ความที่ไม่ใช่โจรอาชีพ วางแผนซึ่งตนเองคิดว่าเนี๊ยบ แต่ก็พลาด กิจจาฯนึกว่าเมื่อก่อคดีแล้วตนเองจะปลอดภัย เพราะออกจากงานที่เขียงเนื้อไปนาน ไม่ได้กลับไปติดต่อหรือวนเวียนไปที่เขียงอีกเลย ตำรวจคงสืบไม่ถึง แต่กิจจาฯมีข้อมูล ตู้ทองเคลื่อนที่จากเมียที่ทำงานโรงงานลูกชิ้น วางแผนดักทำร้ายในระหว่างเดินทางกลับ ต้องหาวิธีหยุดรถยนต์ของคุณพิทักษ์ฯให้ได้ กิจจาฯกับเพื่อนดักรอช่วงทางเปลี่ยว โดยตนเองจอดรถมอเตอร์ไซด์ข้างทาง ให้เพื่อนซุ่มในที่มืดใกล้เคียง เมื่อรถคุณพิทักษ์ฯขับมาถึง กิจจาฯเข็นรถมอเตอร์ไซด์พร้อมโบกมือขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่ผ่าน ความที่คุณพิทักษ์ฯเป็นคนมีน้ำใจและรู้จักนายกิจจาฯ จึงหยุดรถยนต์ฯลงไปสอบถาม ได้ความว่ารถมอเตอร์ไซด์เสีย ตกลงจะช่วยกันยกรถมอเตอร์ไซด์ฯขึ้นกระบะท้ายไปที่ร้านซ่อม เวลาเดียวกันนั้น เพื่อนที่คอยอยู่ในมุมมืดก็โผล่ออกมาพร้อมไม้หน้าสามเป็นอาวุธ กระหน่ำตีคุณพิทักษ์ฯแบบไม่ยั้ง คุณพิทักษ์ฯหมดสติ กิจจาฯกับพวกก็เอาคุณพิทักษ์ฯขึ้นรถขับขี่ไป เอารถไปจอดซุกที่เวิ้งสำหรับเป็นลานจอดรถของสถานอาบอบนวด วี.๒ กลัวคนจะมาเห็นศพจึงเอาเข่งเปล่าสำหรับใส่เนื้อซึ่งอยู่ในรถมาวางปิด แล้วหาไม้อัดที่พบอยู่ใกล้ๆมาวางทับ
กิจจาฯนึกว่าตนเองวางแผนดีแล้ว แต่เปล่าเลย ทุกอย่างทำท่าจะไปด้วยดี แม้ยามที่บริษัทใกล้ๆจะมองเห็น แต่เหตุเกิดเวลากลางคืนยังมืดอยู่ ยามเห็นเหตุแต่จดจำอะไรไม่ได้ คดีนี้หากกิจจาฯนำรถไปทิ้งไกล หรือทำลายรถ ทำลายศพ ตำรวจคงจะติดตามยากกว่านี้ แต่ใครจะกล้าขับรถซึ่งมีศพไปด้วย ไม่ใช่กลัวผี กลัวโดนตำรวจเรียกตรวจ ไม่ใช่มืออาชีพทำไม่ได้หรอก
คดีนี้เป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน ตอนคนร้ายถูกจับได้ก็เป็นข่าวอีก ผมอยากรู้จริงๆว่า ทำไมตำรวจไทยเก่งนัก สืบรู้ได้ยังไง ดูจากบันทึกการจับกุมมีแต่ชื่อระดับนายใหญ่ๆทั้งนั้น ผมไม่ค่อยเชื่อว่านายใหญ่ๆจะเก่งไปเสียทุกเรื่อง สิ่งที่ผมต้องการรู้ในคดีที่เกิดขึ้นทุกเรื่อง ใครเป็นผู้สืบสวน เพราะอยากจะรู้ว่า มีวิธีการสืบสวนอย่างไร เรื่องการติดตามจับเป็นอันดับรอง ในที่สุดก็ทราบว่า เป็นฝีมือของลูกน้องเก่าผมเอง คือ พ.ต.ต.สุรจิตร เปลี่ยนประเสริฐ สารวัตรสืบสวนสอบสวน สน.พหลโยธิน กับลูกน้องคู่ใจ นายดาบโปร่งฯ ผมต้องดั้นด้นไปถามสารวัตรสุรจิตรฯให้ได้ ว่าสืบยังไง ไม่งั้นนอนไม่หลับ เวลาแถลงข่าวตำรวจจะพูดลักษณะเดียวกันหมดว่า จากการสืบสวน ถามว่าสืบสวนยังไง ตำรวจจะไม่ตอบ จึงทำให้การทำงานของตำรวจ เป็นมนต์ขลังและเป็นที่น่าเกรงขามอยู่จนทุกวันนี้ ถ้าเผยหมด ความขลังก็จะหมดไป เพราะผู้ที่รู้ก็จะพูดว่าแค่นี้เองหรือไม่เห็นซับซ้อนอะไรเลย ผมต้องคาดคั้นสารวัตรสุรจิตรฯอีก ความที่สารวัตรเกรงใจเนื่องจากเป็นนายเก่า สารวัตรสุรจิตรฯบอกว่า มีสายครับนาย
เรื่องสายหรือผู้ให้ข่าว เป็นหัวใจของการสืบสวน ตำรวจนักสืบทุกคนมีสายหรือผู้ให้ข่าวด้วยกันทั้งนั้น ในวิชาการสืบสวนที่ร่ำเรียนมา จึงมีหลักและวิธีการสร้างสายลับและการควบคุมสายลับด้วย ไม่ยากหรอกครับ ใครที่มีบารมีมาก ใครที่ติดดินมาก รู้จักคนมาก ทุกสาขาอาชีพ ย่อมมีข้อมูลมากกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา ใครจะทำผิดคิดให้ดี ตำรวจไทยเก่งๆมีเยอะ
เรื่องนี้ผู้อ่านได้อะไรบ้าง ต้องมีแน่ ไม่งั้นไม่เอามาลง
๑เตือนสติผู้ที่ชอบทำตัวเป็นตู้ทองเคลื่อนที่ ขนาดมีรถขับขี่เองยังโดน แล้วที่นั่งรถแท็กซี่ หรือเดินตามทางเปลี่ยวๆ จะเหลืออะไร ต้องคิดให้หนัก
๒ พวกที่ชอบทำอะไรเป็นเวลา ทำตัวเป็นนาฬิกา บางครั้งก็มีข้อเสียนะครับ
๓ ผู้ที่ใช้เส้นทางประจำ ถ้ามีเส้นทางอื่นก็เปลี่ยนไปใช้บ้างนะครับ
๔ ทั้งข้อ ๒ และข้อ ๓ ขึ้นอยู่กับเวลาด้วย ถ้าเป็นเวลากลางวัน การจราจรคับคั่ง หรือคนพลุกพล่านก็ไม่เป็นไร ยามกลางคืนดึกสงัดอย่าได้ไว้ใจ
๕ คนรู้จักที่ไม่ใช่ญาติสนิท ไว้ใจได้แค่ไหน บางทีเป็นญาติสนิทกันแท้ๆ ยังโดน
๖ เดินทางเดี่ยวคนเดียวก็เป็นเช่นนี้ ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามีคนร่วมเดินทางด้วย ก็ต้องดูให้แน่ ไว้ใจได้หรือเปล่า มิฉะนั้นจะกลายเป็น เดินทางไปกับโจร
รู้ไว้เป็นข้อมูล อย่าประมาท มีตัวอย่างให้เห็นๆกัน ฟังข้อแนะนำ ไตร่ตรองคิด อะไรไม่ควร พึงหลีกเลี่ยง แล้วจะปลอดภัย.