บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน




เรื่องจริงที่น่าเศร้ามาก เพื่อนฆ่าเพื่อน ทำลงได้ยังไง และทำอย่างใจเย็นด้วย ผมจึงใช้หัวข้อเรื่องว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน” คำว่า “ไว้ใจทาง”ในเรื่องนี้ ท่านจะได้ทราบยุทธวิธีการวางแผนใช้เส้นทางให้ได้เปรียบในการหลบหนี เป็นยุทธวิธีการรบของทหารตำรวจ แต่สำหรับเรื่องนี้ โจรนำมาใช้ ส่วนผู้เป็นเหยื่อ มุ่งหวังแต่เรื่องผลประโยชน์ทางการค้าอย่างเดียว คิดเพียงว่าทำอย่างไรถึงจะได้เงิน ไม่มีอะไรที่จะทำกำไรได้ดีไปกว่า “การซื้อถูก ขายแพง” ทำอย่างนี้ได้มันก็ต้องเลี่ยงกฏหมาย ผลก็คือความเศร้า

ยุทธวิธีการใช้เส้นทางในลักษณะนี้ หน่วยปฏิบัติการ “ล่อซื้อ”ยาเสพติด พวกมือปืนดักยิง เขาใช้กัน ท่านรู้ไว้ไม่ต้องเอาไปใช้นะครับ เพียงแต่อยากให้เกิดแนวคิด ถ้ามีใครนัดหมายลักษณะนี้ ให้นึกถึงเรื่องที่ผมเขียน “มันเป็นเส้นทางโจร”

เหตุเกิดใกล้ๆกับบ้านผม เมื่อเดือนมิถุนายน ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตอนใกล้ๆสาง ชาวบ้านที่ใช้เส้นทางลัด ถนนเลียบมอเตอร์เวย์กับถนนกรุงเทพกรีฑา ต่างสงสัยเมื่อเห็นรถยนต์เบ๊นซ์สีดำติดฟีล์มมืด ทะเบียนขอนแก่น จอดดับเครื่องสนิทข้างทาง ในรถมีคนนอนสลบไสล ๓ คน ด้านหน้ารถ ๒ คน ด้านหลังรถ ๑ คน ชาวบ้านคงขับรถผ่านไปผ่านมาหลายคัน ไม่มีใครสังเกต จนกระทั่งสว่างก็มีคนพบว่า ที่กระจกรถยนต์ดังกล่าว มีรอยกระสุนปืนทะลุผ่าน พอชะโงกดูใกล้ๆจึงรู้ว่า สามคนที่อยู่ในรถไม่ได้นอนหลับ แต่ถูกยิงตาย ตำรวจท้องที่คือ สน.ประเวศไปตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ พื้นที่นี้อยู่ในความรับผิดชอบของ กองกำกับการสืบสวนนครบาล ๔ ซึ่งมีนักสืบฝีมือดีอยู่หลายคน โดยเฉพาะหัวหน้านักสืบคือ พ.ต.อ.วีระศักดิ์ มีนวนิชย์ เป็นปรมาจารย์ของบรรดานักสืบทีเดียว

จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เชื่อว่าผู้ตายทั้งสามถูกยิงจากในรถ มีร่องรอยเขม่าดินปืนติดอยู่ที่เบาะรถ จากทางออกของกระสุนปืน บอกให้ทราบถึงวิถีกระสุน สามารถหาตำแหน่งของมือปืนที่ยิงได้

- ผู้ตายที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งผู้ขับขี่ กระสุนปืนเข้าที่ขมับซ้าย ทะลุออกกระจกหน้าขวา
- ผู้ตายที่นั่งคู่กับผู้ขับขี่ กระสุนเข้าที่ท้ายทอย ทะลุออกกระจกหน้ารถ
- ผู้ตายคนสุดท้ายนั่งอยู่ที่เบาะหลังค่อนไปทางด้านขวาของรถ มีรอยกระสุนเข้าที่ขมับซ้าย กระสุนฝังใน

* นักสืบหาวิถีกระสุนแล้วฟันธงได้เลย มือปืนต้องนั่งอยู่ในรถตรงตำแหน่งที่นั่งเบาะหลังด้านซ้าย ขณะยิงนั่งอยู่ด้วยกันในรถ และมือปืนมีเพียงคนเดียว จ่อยิงทั้ง ๓ ศพโดยใช้เวลาอันรวดเร็ว ถ้าไม่เร็วพออาจจะมีเหยื่อคนหนึ่งคนใดโดดหนีออกจากรถได้ เพราะการยิงปืนในรถนี่เอง ทำให้ร้านค้าซึ่งอยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ระยะห่างประมาณ ๑๐๐ เมตรเศษ ไม่ได้ยินเสียงปืนเลย
การสืบสวนคดีนี้ไม่ยาก ตรวจสอบทะเบียนรถก็ทราบแล้ว ผู้ขับขี่รถที่ถูกยิงตายเป็นญาติกับเจ้าของรถ สอบถามรายละเอียดจากเจ้าของรถทราบว่า ผู้ขับขี่ที่ถูกยิงชื่อนายวุฒิฯ มีอาชีพจำหน่ายเสื้อผ้าและโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ขอนแก่น ก่อนเกิดเหตุเข้ามาติดต่อการค้าที่กรุงเทพฯ ในตอนสายๆของวันเดียวกันนั้นเอง หลังจากโทรทัศน์ได้แพร่ภาพกระจายข่าวเรื่องฆ่ากันรายนี้ ญาติพี่น้องผู้ตายมาดูศพ และเข้าให้รายละเอียดกับพนักงานสอบสวน ได้ความว่า
ผู้ตายทั้งสามเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ค้าขายพวกสื่อสารไอ.ที. แต่ละคนมาจากคนละที่คนละทาง พากันมาสิ้นชีวิต ณ จุดเดียวกัน ก่อนเกิดเหตุผู้ตายทั้งสามกับผู้ให้ข้อมูล ได้พบปะเจรจาซื้อขายโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ชนิดที่ถ่ายรูปได้ กับฝ่ายเสนอขายซึ่งเป็นผู้ชาย ๒ คน (ขณะเกิดเหตุโทรศัพท์รุ่นนี้กำลังฮิต) เจรจาซื้อขายกันที่ร้านอาหาร “แบลคแคนยอน” ภายในห้างเซ็นทรัลถนนรามอินทรา

เป็นการซื้อขายโทรศัพท์หนีภาษี ซื้อขายกันในราคาเครื่องละ ๑๐,๐๐๐.-บาท ราคาถูกกว่าซื้อขายกันในท้องตลาดครึ่งต่อครึ่ง หนึ่งในจำนวนผู้ตายสามคน เคยซื้อโทรศัพท์ลักษณะนี้ไปแล้ว ๒ ครั้งๆละ ๑๐ เครื่อง แต่คราวนี้ฝ่ายผู้ขายต้องการจำหน่ายล๊อทใหญ่ ทีเดียว ๑๐๐ เครื่อง ซื้อจำนวนต่ำกว่านี่จะไม่ขาย จึงเป็นเหตุให้ต้องเรียกเพื่อนซี้อีก ๒ คน ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พลอยมาตายด้วย

เข้าใจว่าคงมีการเจรจาติดต่อกันมาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง ที่นัดพบกันที่ร้านอาหาร แบลคแคนยอน เซ็นทรัลรามอินทรา เป็นนัดที่จะต้องรับเงินและส่งมอบสินค้า การค้าของผิดกฎหมาย และค้ากับคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นก็เป็นอย่างนี้แหละครับ คือต้องมีการนัดดูเงิน แน่ใจว่ามีเงินซื้อจริงแล้วจึงจะพาไปเอาสินค้า แล้วก็ส่งมอบเงินกับสินค้ากันลักษณะยื่นหมูยื่นแมว ยังกับเป็นเรื่องซื้อขายเฮโรอินที่พวกตำรวจเขาล่อซื้อ ท่านผู้อ่านครับ หากการซื้อขายใดต้องกระทำในลักษณะนี้ ต้องระวังให้จงหนัก เชื่อได้เลย คู่ค้าของท่านไม่เป็นโจรก็เป็นตำรวจ

การซื้อขายโทรศัพท์มือถือนัดดังกล่าว เงินไม่ใช่น้อย ๑๐๐ เครื่องก็ตก ๑ ล้านบาทพอดี พ่อค้าโทรศัพท์จากขอนแก่นเตรียมเงินสดมา ๘ แสนบาท เงินอยู่ในกระเป๋าหนังสีดำ ถือมาเปิดให้ดู ส่วนอีก ๒ แสนอยู่ในตัวนายภัทรฯ คนที่นั่งตายอยู่ที่เบาะนั่งด้านหลังรถ ฝ่ายขายเห็นเงินแล้ว เชื่อว่าผู้ซื้อต้องการซื้อสินค้าจริงๆ ฝ่ายผู้ขายก็ได้แสดงสินค้าให้ดู โดยเอาโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มาให้ดูเป็นตัวอย่างเพียงเครื่องเดียว โดยบอกว่าสินค้าที่เหลืออยู่ในโกดังที่เก็บ จะพาไปเอา ให้เดินทางไปด้วยกัน เวลาเดียวกัน นายตั้มฯเจ้าของร้านขายโทรศัพท์มือถือซึ่งมีร้านอยู่ที่มาบุญครอง ก็ขอติดตามไปด้วย บอกว่าเตรียมเงินมาด้วย ๒ แสน จะขอแบ่งซื้อจากเพื่อน พูดง่ายๆงานนี้ขอรวยด้วยคน ฝ่ายขายก็บอกว่า ไปเลยพี่พอมีเครื่องเหลือเจียดให้ได้

ว่าแล้วผู้ซื้อทั้งสามก็นำเงินติดตัวไปรวมทั้งสิ้น ๑ ล้าน ๒ แสนบาท เดินทางไปรับสินค้าคือโทรศัพท์มือถือ โดยฝ่ายเสนอขายกับฝ่ายซื้อนั่งไปในรถคันเดียวกัน ฝ่ายขายมาด้วยกันสองคน แน่นอนฝ่ายขายผู้หนึ่งรู้จักมักคุ้นกับผู้ซื้อ และเป็นผู้ประสานให้มีการซื้อขายครั้งนี้ ก็คือ นายเต๋าฯ เป็นเพื่อนนักเรียน “ศรีปทุม” รุ่นเดียวกับนายภัทรฯ เมื่อจบการศึกษาแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป นายภัทรฯไม่ได้ทำงานการอะไร พ่อแม่มีกิจการอยู่ที่จังหวัดราชบุรี นายภัทรฯพบกับนายเต๋าฯคุยกันจึงได้ทราบว่า นายเต๋าฯไปอยู่หาดใหญ่ มีอาชีพค้าของเถื่อน จึงเป็นที่มาของการซื้อขายโทรศัพท์มือถือหนีภาษีครั้งนี้ ส่วนฝ่ายขายอีกคนหนึ่ง เป็นผู้ที่นายเต๋าฯพามา เป็นคนแปลกหน้าผู้เดียวที่ฝ่ายซื้อไม่คุ้นเคย ทั้งหมดนั่งรถไปคันเดียวกัน ๕ คน โดยนายวุฒิฯเป็นผู้ขับขี่ นายตั้มฯนั่งคู่ไปด้านหน้า นายภัทรฯฐานะที่เป็นผู้รู้จักทั้งสองฝ่าย นั่งด้านหลังตรงกลาง โดยมีนายเต๋าฯนั่งหลังด้านขวา และชายแปลกหน้านั่งหลังซ้าย ขนาบนายภัทรฯ

ผู้ให้ข้อมูลมีรายละเอียดเพียงแค่นี้ บอกว่าทั้งหมดออกเดินทางไปจากเซ็นทรัลรามอินทราเมื่อเวลาประมาณ ๔ ทุ่ม หลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อ จนทราบว่าเป็นศพ การสืบสวนเรื่องนี้ไม่ยาก ฆาตรกรรมรายนี้ไม่ได้วางแผนมาแต่เริ่มแรก คือครั้งแรกมีการค้าขายกันจริง จึงมีการติดต่อเจรจากันทางโทรศัพท์หลายครั้ง มาครั้งที่เกิดเหตุ ฝ่ายขายไม่มีโทรศัพท์ส่งให้ แต่อยากได้เงิน จึงวางแผนหลอกว่ามีของจำนวนมากจะขาย แล้วชิงเอาเงินไป ทำให้ทิ้งร่องรอย นั่นคือหลักฐานการใช้โทรศัพท์นั่นเอง นักสืบจึงสามารถแกะรอยตามหาตัวนายเต๋าฯนักค้าของเถื่อน ใช้เวลาสืบเสาะติดตามประมาณ ๑๐ กว่าวัน ก็สามารถจับกุมตัวนายเต๋าฯได้ ที่ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของนายเต๋าฯ

นายเต๋าฯยอมรับสารภาพผิด พาไปจับตัวนายนิรันดร์ฯมือสังหาร เป็นอดีตทหารพลร่มป่าหวาย หนีราชการ จับกุมได้ที่บ้านเช่าซึ่งอยู่ใน อ.เมืองเพชรบูรณ์ ทั้งสองรับว่า ได้ร่วมกันวางแผนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ แล้วฆ่าผู้ซื้อทั้ง ๓ คน ค้นเอาเงินในตัวผู้ตายไปได้รวมล้านกว่าบาท ตำรวจค้นพบเงินสดยังเหลืออยู่ห้าแสนกว่าบาท

จากคำรับสารภาพของนายเต๋าฯ ว่าเป็นเพื่อนร่วมสถานบันมากับนายภัทรฯ นายเต๋าฯเป็นคนเพชรบูรณ์แต่ไปได้ภรรยาเป็นคนหาดใหญ่ ตอนที่อยู่หาดใหญ่ ที่นั่นมีของหนีภาษีแยะ เคยเอาโทรศัพท์หนีภาษีไปขายผ่านนายภัทรฯ ตอนแรกค้าขายจริงๆ แต่ตอนหลังๆไม่มีของแต่อยากได้เงิน พอดีนายเต๋าฯมีเพื่อนเป็นทหารพลร่มหนีทหาร คือนายนิรันดร์ฯ เคยฆ่าคนตายมาแล้ว นายนิรันดร์ฯร่วมวางแผน หลอกว่ามีโทรศัพท์หนีภาษีราคาถูกขาย แล้วฆ่าแล้วชิงเงิน
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า นายเต๋าฯวางแผนฆ่าแม้กระทั่งเพื่อนของตนเอง ส่วนนายภัทรฯผู้เป็นเพื่อน หลงเชื่อสนิทมิได้เฉลียวใจ ก่อนตายขอยืมเงินจากยายมา ๒ แสนบาท หวังจะเอาไปซื้อโทรศัพท์จากนายเต๋าฯ คิดว่าซื้อมาปุ๊บขายปั๊บก็ได้กำไร คืนเงินยืมให้กับยายได้ แล้วนายภัทรฯยังไปชวนเพื่อนๆมาทำธุรกิจ หวังจะให้เพื่อนรวยทางลัด ฝ่ายหนึ่งหวังกำไรจากการค้าขายของผิดกฏหมาย ความโลภทำให้หูตามัว สมองขาดการยั้งคิด เพราะเชื่อสนิทในความเป็นเพื่อน จึงต้องมาตายเพราะ “วางใจคน” จงอย่าเชื่อใครง่ายๆแม้ผู้นั้นจะเป็นญาติหรือเพื่อนสนิท เพราะอาจถูกหลอกให้มาเป็นนกต่อก็ได้

ส่วนเรื่อง “เส้นทาง” ผมไปดูที่เกิดเหตุแล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาจะไม่กล้าก่ออาชญากรรมตรงจุดนี้ เพราะอยู่ในย่านชุมชนพอสมควร อาคารบ้านเรือนใกล้เคียงมี และจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ขณะกระทำผิดจะไม่มีคนรู้เห็น และถ้าหากมีคนพบเห็น หรือว่าฝ่ายผู้ซื้อมีรถอีกคันขับตามมา จะทำอย่างไร จุดที่เกิดเหตุให้คำตอบครับ เป็นยุทธวิธีโจรเลยทีเดียว ห่างจากจุดที่ยิงไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นสะพานลอยสำหรับให้คนข้ามถนน คือข้ามถนนจากเลียบมอเตอร์เวย์ด้านหนึ่ง ไปลงถนนเลียบมอเตอร์เวย์อีกฝั่งหนึ่ง (ถนนมอเตอร์เวย์ท่านคงทราบ มีรั้วกั้นขอบถนนตลอดแนว) เมื่อคนร้ายยิงเหยื่อแล้ววิ่งข้ามสะพานลอยไปฟากตรงข้าม มีรถยนต์อีกคันหนึ่งคอยรับแล้วพาหนี สมมุติว่าฝ่ายผู้ขายมีรถยนต์อีกคันขับติดตามมา รับรองว่าขับตามคนร้ายไม่ได้หรอกครับ เพราะตรงจุดดังกล่าวมีรั้วกั้น รถจากคู่ขนานไม่สามารถขับไปอีกฟากของมอเตอร์เวย์ได้ ต้องไปหาที่เลี้ยวที่กลับรถอีกเป็นสิบๆกีโล และถ้าหากมีคนเห็นเหตุการณ์แล้ววิ่งตามคนร้ายไป รับรองตามไม่ทัน เพราะเมื่อคนร้ายข้ามสะพานคนข้ามไปอีกฟากถนน ก็ขึ้นรถยนต์ที่พรรคพวกจอดรอรับหลบหนีไป เส้นทางคู่ขนานอีกฟาก ไม่มีรถยนต์วิ่งสัญจร ผมอยู่ใกล้ๆกับจุดที่เกิดเหตุรู้ดี ก็เพราะมือปืนเป็นอดีตทหาร จึงรู้จักเลือกทำเล เหมาะสำหรับการถอยร่น เขาเรียนเขาสอนกัน ทำเลอย่างนี้แหละที่เขานัดส่งของผิดกฎหมาย โดยเฉพาะส่งเฮโรอินหรือยาบ้า ถ้าใครนัดท่านไปทำธุระกรรมที่ทำเลอย่างนี้ ก็ควรพิจารณาหาทางแก้ไว้บ้างนะครับ เข้าตำรา “อย่าไว้ใจทาง” จงรอบคอบ อย่าประมาท แล้วท่านจะปลอดภัย.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์