บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ฆ่าห่อศพ




เป็นเรื่องฆาตรกรรม โดยฝีมือของอดีตเสือพราน ประกอบอาชญากรรมและอำพรางศพ แบบผู้มีประสบการณ์ ตำรวจใช้เวลาในการแกะรอย กว่าจะรู้ตัวคนร้ายก็สาย เขารอดพ้นจากถูกดำเนินคดี ชนิดที่มือปราบมือกฎหมายชั้นเซียน ก็ไม่สามารถเอาตัวเขาไปดำเนินคดีได้
อาชญากรรมเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นชีวิตในสังคมปัจจุบัน ทุกคนต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เงินยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ไม่มีเงินก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตและความรัก เวลาเดียวกันท่านจะทราบถึงการทำงานของตำรวจ ความละเอียดอ่อนในการหาข้อมูล การปะติดปะต่อเรื่อง การเชื่อมโยงข้อเท็จจริง ตลอดจนการวิเคราะห์ เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งทีเดียว เป็นงานที่ท้าทายและชวนติดตาม การสืบสวนแต่ละเรื่องต้องใช้เวลา คดีบางเรื่องก็ลึกลับมืดมนจนแคะไม่ออก บางเรื่องก็คลี่คลายได้ง่ายๆ พวกเราทำงานกันเหนื่อย พอคดีคลี่คลายจับผู้กระทำผิดได้ เราก็หายเหนื่อย แต่สำหรับเรื่องนี้อารมณ์มันค้างๆ อธิบายไม่ถูก ลองติดตามดู
เมื่อประมาณต้นกันยายน ๒๕๔๘ ร้อยเวรสอบสวน สน.พหลโยธินได้รับแจ้งว่า มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมาอย่างแรง จากห้องแบ่งเช่าอยู่บนชั้นที่ ๒ ของอาคารพาณิชย์ ภายในซอยภาวนา ถนนลาดพร้าว จึงไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ


ห้องที่เป็นต้นกลิ่นประตูห้องปิดสนิทใส่กุญแจ ที่ขอบล่างของประตูมีผ้าเช็ดตัวสีขาวอัดอยู่เต็มช่องว่างระหว่างบานประตูกับธรณี ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจงใจที่จะปกปิดเจ้ากลิ่นอุจจาดนี้ แต่กลิ่นก็ยังโชยออกมาจนได้ พอพังประตูเข้าไปร้อยเวรก็ต้องผงะ กลิ่นเน่าที่ถูกอัดอยู่ในห้องทะลักออกมา ทุกคนที่ไปดูที่เกิดเหตุแทบอาเจียน ต้องช่วยกันเปิดหน้าต่างห้องระบายกลิ่น พอกลิ่นจางจึงค่อยสำรวจ พบว่าเป็นห้องว่างเปล่า มีชุดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวผู้หญิงอยู่ในตู้พ๊าสติกและวางกองอยู่กับพื้น ห้องแบ่งเช่านี้มีห้องน้ำในตัว ต้นกลิ่นออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเปิดประตูห้องน้ำก็พบร่างคน ถูกหุ้มห่อด้วยพ๊าสติกอ่อนแบบใส ห่อพันทั้งตัวหัวจรดเท้า พันทับกันหลายชั้นประมาณ ๑๐ ชั้น ประกอบกับอาการของศพเน่าขึ้นอืด ทำให้พ๊าสติกที่มัดไว้รัดรูป ดูแล้วเหมือนกับมัมมี่ ที่บริเวณรอบคอและเท้ามีเชือกมัดทำเป็นห่วง ห่วงที่คอกับห่วงที่เท้ามีเชือกโยงถึงกัน ลักษณะทำไว้เพื่อสะดวกในการหิ้วหามหรือสะพายบ่า ในเบื้องต้นไม่ทราบว่าเป็นศพหญิงหรือชาย ส่งศพไปชัณสูตรที่สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากการชัณสูตรพลิกศพ ผู้ตายเป็นหญิง เสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ วัน สภาพศพเน่าเฟะ ตรวจไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย หญิงผู้ตายน่าจะเป็นผู้เช่าห้องพัก ตรวจสอบหลักฐานการเช่าแล้ว เธอคือ น.ส.โสรยาฯ อายุ ๒๖ ปี แต่ที่ตำรวจต้องการทราบมากที่สุดก็คือ ใครเป็นคนฆ่าเธอ ฆ่าเพราะสาเหตุใด


จากการสอบสวนห้องข้างเคียงพอได้ความว่า โสรยาฯเป็นหญิงทำงานกลางคืน ไม่ทราบว่าทำอยู่ที่ใด การที่มีผู้ชายมาพักค้างคืนด้วยจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา เธอไม่มีคู่นอนประจำ ก่อนเกิดเหตุในตอนกลางคืน ห้องข้างเคียงได้ยินเสียงชายหญิงมีปากเสียงทะเลาะกัน ดังมาจากห้องที่เกิดเหตุ ตอนเช้ามีคนเห็นผู้ชายออกจากห้องที่เกิดเหตุไปและกลับมาพร้อมถุงกระดาษช๊อปปิ้งถุงใหญ่ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าชายคนดังกล่าวนั้นเป็นใคร เพียงแต่บอกรูปพรรณและหากเห็นหน้าอีกครั้งจำได้


ผมบอกในตอนต้นแล้วว่า บางคดีบทมันจะง่ายก็ง่ายจนแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลย คดีนี้ตอนแรกทำท่าจะมืดมน ไม่รู้ว่าชายคู่นอนโสรยาฯเป็นใคร คนกรุงเทพฯไม่ค่อยสนใจคนข้างเคียงอยู่แล้ว รู้เพียงว่าเป็นชายสูงอายุ ประมาณ ๕๐ ปี บอกรายละเอียดรูปพรรณสัณฐานได้นิดหน่อย แล้วจะตามจับใครที่ไหนกันล่ะ


คดีนี้นับว่าโชคยังช่วยตำรวจ ดูจากลักษณะการห่อศพ คนร้ายรายนี้ต้องมีประสบการณ์ในการห่อ ท่านคงพอจะนึกภาพออก เวลาที่ท่านไปซื้ออาหารบางอย่างตามห้างสรรพสินค้า พนักงานขายจะห่อของด้วยพ๊าสติกบางๆใสๆ เมื่อห่อแล้ว พ๊าสติกจะแนบแน่นกับตัวสินค้า จนกลิ่นอาหารไม่ออกมา รายนี้ก็เหมือนกัน ลักษณะการห่อต้องเป็นคนห่อเป็น ห่อรัดแน่นไร้ตะเข็บรอยต่อ จนเป็นรูปร่างตัวคน แขนและขาทั้งสองข้างถูกมัดรวมเข้ากับลำตัว ดูแล้วเป็นท่อนคล้ายมัมมี่ คนร้ายเตรียม การจะหิ้วห่อศพออกจากที่เกิดเหตุ หากศพถูกเคลื่อนย้ายไปทิ้งที่อื่น ยกตัวอย่างไปทิ้งแม่น้ำ หรือทิ้งข้างถนนในต่างจังหวัด หรือเอาไปเผา ผมว่าหมดปัญญาที่จะสืบสาวราวเรื่อง ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำให้คนร้ายเปลี่ยนแผน แทนที่จะเคลื่อนย้ายศพออก กลายเป็นทิ้งศพไว้ในที่เกิดเหตุ ทำให้มีพยานหลักฐานติดตามได้ มันต้องมีอุปสรรคอะไรสักอย่างเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ฝ่ายสืบสวนต้องขบคิด


เวลาเกิดคดีอาญาสำคัญๆ โดยเฉพาะคดีที่ยังไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด เราจะประชุมปรึกษาหารือกันในระดับสถานีตำรวจ เป็นการระดมสมองช่วยกันวิเคราะห์ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ มันเป็นเพราะอะไร ถ้าในระดับสถานีตำรวจยังคิดกันไม่ออก ก็ต้องไปเข้าศูนย์ฯใหญ่ คือศูนย์การสืบสวนนครบาล เป็นที่รวมนักสืบฝีมือดีทั้งหมดของตำรวจนครบาล
จากการระดมสมองฟันธงว่า คนร้ายต้องการเคลื่อนย้ายศพออกไปจากที่เกิดเหตุ การเคลื่อนย้ายศพในลักษณะเป็นตัวคนสมบูรณ์( ไม่หั่น )เช่นนี้ ย่อมเสี่ยงต่อการที่จะมีผู้พบเห็น จะต้องกระทำในตอนกลางคืน สิ่งสำคัญในการเคลื่อนย้ายศพคือยานพาหนะ คนร้ายจะทำเช่นนี้ได้จะต้องมีรถยนต์ส่วนตัว ไม่สามารถใช้รถสาธารณะได้


โชคช่วยตำรวจ หรือไม่ก็เป็นความซวยของผู้กระทำผิด จากการระดมสมองของตำรวจ สน.พหลโยธิน ในประเด็นปัญหาการเคลื่อนย้ายศพ ศพถูกหุ้มห่อพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายออกไป แต่คนร้ายไม่ทำ หรือว่ามีปัญหาเรื่องรถขนย้าย หรือว่ากลัวคนพบเห็นขณะขนศพ


ประเด็นกลัวคนพบเห็นขณะย้ายศพ ผู้สืบสวนได้ไปดูสถานที่เกิดเหตุประกอบ วิเคราะห์ว่าทำได้ ตอนกลางคืนช่วงดึกสามารถนำออกไปได้โดยไม่ผ่านสายตาผู้ใด จากห้องที่เกิดเหตุไปยังจุดขึ้นรถระยะใกล้ๆ ถ้าจะให้ดูเป็นธรรมชาติไม่พิรุธ ก็ใช้เสื่อหรือผ้าห่อทับศพไปอีกที จะดูคล้ายกับการขนย้ายของธรรมดาๆ สรุป ว่า การเคลื่อนย้ายศพโดยไม่ให้ใครเห็นสามารถทำได้
ประเด็นเรื่องรถขนย้ายศพ ต้องเป็นรถส่วนตัวเท่านั้น รถแท็กซี่หรือสามล้อรับจ้างไม่น่าจะได้ พอพูดกันถึงประเด็นเรื่องรถก็เข้าเป้าพอดี เมื่อก่อนหน้าที่จะพบศพ ๒ วัน เวลากลางคืน พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธินได้รับแจ้งเหตุ มีผู้บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนและทำร้ายร่างกาย พยายามลักทรัพย์ เหตุเกิดที่บ้านหลังหนึ่งในซอยภาวนา ถนนลาดพร้าว ห่างจากจุดที่เกิดเหตุพบศพประมาณ ๔ – ๕๐๐ เมตร ตำรวจไล่เรียงเวลาดูแล้วพบว่า คดีที่มีผู้มาแจ้งเหตุบุกรุกเวลากลางคืนนั้น น่าจะเป็นคืนเดียวกันกับที่ น.ส.โสรยาฯถูกฆ่า (เวลาตายของ น.ส.โสรยาฯ ทราบจากการประมาณการของแพทย์ผู้ชัณสูตรศพ) สองเรื่องนี้มันเกี่ยวพันกันยังไงครับ บอกแล้วว่าผู้สืบสวนต้องเป็นนักวิเคราะห์ เชื่อมโยงประเด็น ปะติดปะต่อเรื่อง


คดีเรื่องบุกรุกในเวลากลางคืนดังกล่าว ผู้เกี่ยวข้องถูกเรียกตัวมาสอบสวนละเอียดอีกครั้ง มีบางสิ่งบางอย่างสะดุดใจนักสืบขึ้นมา ได้ความว่าเจ้าของบ้านเป็นผู้มีฐานะ มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้าคราวน์คันใหญ่ ๑ คัน เจ้าของบ้านไม่ได้ขับขี่เอง ได้จ้างพนักงานขับรถไว้เป็นชายชื่อ “สุพจน์ฯ” แต่นายจ้างได้เลิกจ้างนายสุพจน์ฯไปประมาณ ๑ เดือนก่อนเกิดเหตุ ในคืนเกิดเหตุคดีบุกรุก เป็นเวลากลางคืนดึกมากประมาณตีสองเศษ เด็กผู้หญิงรับใช้ในบ้านต้องตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคนสต๊าทเครื่องยนต์รถของนายจ้าง เธอออกไปดูก็พบสุพจน์ฯกำลังสต๊าทเครื่องยนต์รถโตโยต้า (นายสุพจน์ฯคงจะก๊อปปี้กุญแจรถไว้ ๑ ชุด ในขณะที่ยังทำงานเป็นคนขับรถอยู่) เธอเห็นก็เดาออกว่า นายสุพจน์ฯกำลังจะขโมยรถยนต์ เธอขัดขวางโดยปิดประตูรั้วบ้านล็อกกุญแจประตู นายสุพจน์ฯนำรถยนต์ออกไปไม่ได้ ตรงเข้าทำร้ายร่างกายหญิงเด็กรับใช้ เสียงดังทำให้เจ้าของบ้านตื่น นายสุพจน์ฯจึงได้หลบหนีไป


สารวัตรสุรจิตฯสารวัตรสืบสวน สน.พหลโยธินเริ่มสงสัยว่า สองคดีนี้ต้องเกี่ยวข้องกัน โดยตั้งสมมุติฐานว่า นายสุพจน์ฯต้องการขโมยรถยนต์นายจ้างเก่าไปใช้ในการขนศพ จึงมีการเปรียบเทียบรูปพรรณสัณฐานของนายสุพจน์ฯกับของคนร้ายที่เป็นคู่นอนของโสรยาฯ ผลออกมาตรงกันเป๊ะ นายสุพจน์ฯคือคนร้ายฆ่าห่อศพร้อยเปอร์เซ็นต์ สารวัตรสุรจิตฯและผู้บังคับบัญชาของตำรวจ สน.พหลโยธินโล่งอก คดีคลี่คลายแล้ว คดีนี้เป็นข่าวพาดหัวตัวไม้หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ผู้คนสนใจ ผู้บังคับบัญชาเร่งรัดการสืบสวน สารวัตรสุรจิตฯต้องทำงานหนักในการสืบสวนติดตามจับกุมนายสุพจน์ฯ


โชคดีที่นายจ้างเก่าจดชื่อและที่อยู่ของคนขับรถไว้ สารวัตรสุรจิตฯจึงตามหาบ้านของสุพจน์ฯได้ง่าย ( เรื่องประวัติคนรับใช้ ไม่ว่าคนทำความสะอาด คนทำสวน คนขับรถหรือคนงานอื่นๆ นายจ้างควรจะทำประวัติหรือถ่ายบัตรประจำตัวไว้ทุกคน ) แถมยังได้เบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ของสุพจน์ฯอีกด้วย ความหวังในการจับกุมตัวสุพจน์ฯเริ่มปรากฏ สารวัตรสุรจิตฯนำลูกน้องไปซุ่มสังเกตที่บ้านสุพจน์ฯ ที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานีหลายวัน ไม่พบวี่แววสุพจน์ฯ พบแต่ภรรยากับลูกเล็กๆอีก ๒ คน เวลาเดียวกันก็ได้ทำการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของสุพจน์ฯควบคู่ไปด้วย ในเดือนแรก โทรศัพท์ของสุพจน์ฯไม่มีการใช้เลย เมื่อโทรเข้าไปก็ไม่มีการรับสาย ลักษณะเหมือนปิดเครื่อง สารวัตรสุรจิตฯรอเวลาไม่ไหว ตัดสินใจเข้าไปชนกับภรรยาของนายสุพจน์ฯ สอบถามกันให้รู้เรื่องไปเลย ก็ได้ความว่า ภรรยาทราบแต่เพียงนายสุพจน์ฯไปทำงานเป็นคนขับรถให้กับนายจ้างที่กรุงเทพฯ ช่วงที่ทำงานนานๆจึงจะกลับไปนอนที่บ้าน อ.ลาดหลุมแก้ว ช่วงก่อนเกิดเหตุนายสุพจน์ฯกลับไปอยู่บ้าน บอกว่าถูกให้ออกจากงาน วันเกิดเหตุสุพจน์ฯออกไปจากบ้านแล้วไม่ได้กลับหรือส่งข่าวให้ทางบ้านทราบอีกเลย สิ่งหนึ่งที่สารวัตรสุรจิตฯได้ทราบเพิ่มเติมก็คือ นายสุพจน์ฯเป็นอดีตทหารพราน


สารวัตรสุรจิตฯสั่งลูกน้องเฝ้าสังเกตบ้านภรรยาและบ้านญาติของสุพจน์ฯ โดยหวังว่าสุพจน์ฯต้องย้อนกลับไปหาลูกเมียและญาติๆ เฝ้ากันเป็นเดือนไร้วี่แวว ชุดสืบสวนของ สน.พหลโยธินเริ่มอ่อนเพลีย ความหวังที่จะจับกุมผู้กระทำผิดได้เริ่มค่อยๆเลือนหาย ทุกคนคิดว่ามือระดับอดีตเสือพรานคงไม่ยอมให้จับกุมง่ายๆ แต่อยู่มาความหวังก็จุดประกายขึ้นมาอีก โทรศัพท์ของนายสุพจน์ฯเริ่มใช้งาน แต่ใช้ในระยะ เวลาสั้นๆ สามารถตรวจสอบพื้นที่ๆใช้เครื่องได้ อยู่ในพื้นที่ๆ ๑ ( AREA ONE ) คือแถวชาน กทม. ย่านรังสิต นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา ฯลฯ


เมื่อมีการใช้โทรศัพท์ก็ช่วยในการสืบสวนติดตามได้เยอะ เรื่องนี้ตำรวจคิดมากไปเอง ไม่กล้าโทรเข้าเครื่องของสุพจน์ฯโดยตรง เพราะคิดว่าเจ้าของเครื่องเคยเป็นทหารพราน ย่อมมีการระแวดระวัง จะทำให้รู้ตัวหยุดใช้โทรศัพท์และเตลิดหนีไป จึงตัดสินใจรอให้เข้าใกล้ชิดตัวอีกสักหน่อยจึงค่อยโทร กะว่าเมื่อโทรแล้วก็เข้าล็อกเอาตัวกันเลย เบอร์โทรศัพท์ปลายทางที่เครื่องของสุพจน์ฯโทรไปถึง ถูกตรวจสอบและมีการเรียกตัวไปสอบสวน


เรื่องแทนที่จะง่ายกลายเป็นยากขึ้นไปอีก เมื่อผู้สนทนาปลายทางต่างยืนยันตรงกันว่า ผู้ที่ใช้โทรศัพท์ของนายสุพจน์ฯโทรหา คือนาย “ธวัชชัยฯ” เป็นสัปเหร่อ มีหน้าที่ทำความสะอาดศพอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ์ รังสิต


สารวัตรสุรจิตฯนำตัวนายธวัชชัยฯสัปเหร่อไปทำการสอบสวน ได้ความว่า เมื่อต้นเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น นายธวัชชัยฯได้ทำความสะอาดศพชายไม่ทราบชื่อ เป็นศพไม่มีญาติ ตำรวจ สภ.อ.เมืองปทุมธานีส่งมา แจ้งว่า พบศพที่ศาลาท่าน้ำวัดหงส์ปทุมมาวาส อ.เมืองปทุมธานี ร่องรายบาดแผลที่ศพไม่มี ค้นหาหลักฐานเอกสารใดๆในตัวไม่พบ เมื่อส่งศพไปผ่าชัณสูตร มีการถอดเสื้อผ้าศพออก พบว่ามีโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋ากางเกง ๑ เครื่องซึ่งปิดสัญญาณ แพทย์ชัณสูตรลงความเห็นว่าหัวใจวาย ส่งศพไม่มีญาติไปฝังที่สุสานมูลนิธิสว่างอริยะธรรม จ.นครนายก ได้ถ่ายรูปผู้ตาย เก็บเสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะตาย และโทรศัพท์ไว้เป็นหลักฐาน


สารวัตรสุรจิตฯประสานให้ภรรยาของนายสุพจน์ฯ ไปดูรูปและเสื้อผ้าที่ รพ.ธรรมศาสตร์ พอเห็นรูปและเสื้อผ้าจำได้ว่าเป็นของสามี จึงไปขุดศพขึ้นมาจัดการตามประเพณี เป็นอันว่าคดีฆ่าห่อศพก็ปิดลง ลองพิจารณาดูเถอะครับ ตำรวจพยายามคลำหาติดตามร่องรอย ลุ้นกันแทบแย่ พอพยานหลักฐานใกล้เข้ามา คิดว่าจะพิชิตคดีได้โบว์แดง พอเข้าใกล้ก็ไกลออกไปอีก ในที่สุดก็จับได้แต่ศพ มันเป็นความภูมิใจที่ยิ้มไม่ออก แทนที่จะเจอคนกลับเจอศพ แต่ยังไงๆคดีก็ยุติ (มาตรา ๓๙ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป โดยการตายของผู้กระทำผิด ) คดีปิดลงอย่างสมบูรณ์


คดีอาชญากรรมเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นชีวิตคนที่ต้องต่อสู้ ปากกัดตีนถีบ ดิ้นรนหาเช้ากินค่ำ เพื่อความอยู่รอด ไม่อาจรอดพ้นกิเลสตัณหา มีครอบครัวอยู่แล้วยังทิ้งครอบครัว ไปแสวงหาความสุขนอกบ้าน ครั้นตกงานไม่มีเงิน ครอบครัวก็เดือดร้อน รักใหม่เริ่มระหองระแหง ตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แล้วตัวเองที่เป็นต้นเหตุกลับหนีปัญหา ทิ้งภาระให้ครอบครัว


เมื่อตรวจสอบเวลาการตายของ “สุพจน์ฯ”แล้ว น่าจะตายหลังจากที่ได้ฆ่าสาวชู้รัก สุพจน์ฯคงคิดมาก แก้ปัญหาที่ตนสร้างไว้ไม่ตก ไหนจะเรื่องคดีที่ทิ้งศพไว้เป็นพยานหลักฐาน กลัวจะถูกจับกุม ไหนจะเรื่องตกงาน ไม่มีเงินเลี้ยงดูครอบครัว เป็นความผิดพลาดในชีวิต ซึมเศร้าคิดมาก ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว


คดีอาชญากรรมที่สุพจน์ฯก่อขึ้น และจบชีวิตตนเองลงในที่สุด น่าจะเป็นอุทธาหรณ์สอนใจ ให้พึงระมัดระวังในการดำเนินชีวิต อย่าให้เกิดความผิดพลาด และรักครอบครัวให้มากๆ
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์