บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ตำรวจโจร
ปกติผมจะเขียนเรื่องลงทุกวันเสาร์ แต่สัปดาห์นี้ต้องออกมาคั่น ๑ ชุด เพราะเรื่องสุดท้ายเขียน “โจรค่าไถ่” วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวพาดหัว “ ต.ช.ด.จับคนเรียกค่าไถ่” และยังมีการขยายผลออกไปกว้างขวาง มีผู้เสียหายหลายรายถูกตำรวจชุดเดียวกันนี้ ทำการทารุณและรีดเอาทรัพย์ ข่าวนี้กระทบกระเทือนต่อภาพพจน์ของตำรวจ (ปกติความเลื่อมใสศรัทธาที่ได้รับจากประชาชน ก็น้อยอยู่แล้ว)

ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเสื่อมศรัทธานะครับ ตำรวจดีที่ทำงานเพื่อประชาชนมีอีกเยอะ ตำรวจดีมีมากกว่าตำรวจเลว ไม่เช่นนั้นองค์กรนี้คงจะอยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะชุดที่เข้าทำการสืบสวนจับกุมแก๊ง ต.ช.ด.นี้ ก็เป็นตำรวจดีชุดหนึ่ง
ในเรื่อง “โจรค่าไถ่” ที่มีความตอนหนึ่งว่า “ผมกับตำรวจลูกน้องที่บุกเข้าไปช่วยเหลือตัวประกัน ต้องปฏิบัติการแบบโจร……….” ผมหมายถึงตอนที่พวกเรานำกำลังช๊าจเข้าไป เพื่อช่วยเหลือตัวประกัน ต้องใช้ความรวดเร็วจู่โจมเข้าไป ไม่ให้คนร้ายมีโอกาสตั้งตัว ถ้าคนร้ายมีเวลาคิด อาจจะฆ่าตัวประกันแล้วหลนหนี แต่ถ้าฝ่ายปราบปรามปฏิบัติการแบบสายฟ้าแลบ คนร้ายไม่มีเวลาคิด จะหลบหนีเอาตัวรอดก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นตอนตำรวจกรูเข้าไป ต้องวิ่งเข้าใส่ ใช้สปีดแบบวิ่งร้อยเมตร ต้องแหกปากตะโกนให้รู้ว่าเราเป็นใคร ( เนื่องจากแต่งกายนอกเครื่องแบบ ) มิเช่นนั้นอาจจะโดนยิงสวน ตายฟรีได้เพราะโจรอาจอ้างเหตุสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ในสมัยนั้นทำได้ครับ เพราะก่อนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี พ.ศ.๒๕๔๐ ใช้บังคับ อำนาจการออกหมายค้นหมายจับ อยู่กับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ คือข้าราชการตำรวจระดับสารวัตรขึ้นไป ตัวผมก็สามารถออกหมายได้ และกรณีผู้มีอำนาจออกหมายไปปฏิบัติการด้วยตนเอง ไม่ต้องมีหมายเป็นเอกสาร หากเป็นคดีธรรมดาๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการต้องช่วยชีวิตตัวประกัน ผู้ปฏิบัติจะต้องแต่งเครื่องแบบ แสดงตนให้ชัดเจนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ แสดงบัตรประจำตัว แสดงหมายค้น ให้เจ้าของบ้านอ่านและให้เซ็นรับทราบ แล้วจึงให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านหรือผู้ที่อยู่ในบ้านขณะนั้น เป็นผู้นำพาการตรวจค้น ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายสมัยเก่า (ก่อนปี พ.ศ.๒๕๔๐) แต่ปัจจุบันทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว การออกหมายค้นและหมายจับ ออกโดยศาลแต่ผู้เดียว และการจะออกหมายเช่นว่านั้นได้ ต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ ตำรวจต้องสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เสนอสำนวนไปพร้อมกับคำร้องขอให้ออกหมาย ศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อนุมัติก็มีเยอะไป นับว่าเป็นการคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นความสะดวกสบายของคนร้าย คดีจับคนเรียกค่าไถ่ที่เกิดขึ้นในตอนหลังปี ๒๕๔๐ ญาติตัวประกันจึงต้องเสียเงินค่าไถ่เป็นส่วนใหญ่ เมื่อจ่ายเงินไปแล้ว ตัวประกันถูกปล่อยออกมา จึงค่อยไปร้องทุกข์แจ้งความ ทำให้มีพยานหลักฐาน ยื่นขออนุมัติออกหมายต่อศาลได้

กรณีตำรวจโจร จับคนไปเรียกค่าไถ่ มีเรื่องฝากให้คิด ในช่วงที่ผมรับราชการตำรวจ เรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้น เคยจับกุมตัวดำเนินคดีไปหลายราย บางเรื่องก็เป็นเพียงบัตรสนเท่ห์ร้องเรียน เชื่อไหมครับ เหยื่อที่ถูกจับตัวไป ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เป็นผู้จำหน่ายระดับสูงๆขึ้นไป ได้รายชื่อมาจากผู้เสพหรือผู้จำหน่ายย่อยที่ล่อซื้อมาได้ ในช่วงที่มีการปราบปรามยาเสพติดอย่างหนัก จนมีบางคนใช้คำพูดว่า “ทำสงครามกับยาเสพติด” ตำรวจท้องที่ต้องส่งบัญชีรายชื่อ ผู้เสพ ผู้ติด ผู้จำหน่าย และผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด มี ๔ บัญชี ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามยาเสพติด และยังจะต้องเสนอแผนการปราบปราม รวมทั้งการที่จะทำให้การแพร่ระบาดลดน้อยลง จนหมดไปในที่สุด ควบคู่ไปด้วย

บัญชีผู้เสพและผู้ติดยาเสพติด สองบัญชีนี้ไม่ยาก เพราะคนเสพ คนติดยามองเห็นง่าย สภาพร่างกายมันฟ้อง แต่บัญชีผู้จำหน่ายต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ส่วนมากจะได้จากการนำเอาผู้ติด ผู้เสพยาเสพติดที่ถูกจับได้มาซักถาม ว่าซื้อจากใคร สถานที่ใด คนติดยาจะบอกหมด ถ้าไม่ยอมบอก ไม่ยอมพูด ปล่อยให้อยากยาสักพักหนึ่ง พออยากยาขึ้นมา อะไรที่แกปกปิดไว้ก็บอกหมด แถมยังพาไปชี้สถานที่อีกด้วย อันนี้ต้องระวัง ตำรวจต้องเช็คข้อมูลก่อน ป้องกันพวกขี้ยาที่หมั่นไส้หรือไม่พอใจใครอยู่แล้ว โบ้ยส่งเดชไป จะเกิดการเสียหาย วิธีการตรวจสอบก็ไม่ยาก ถ้าผู้เสพหรือผู้ติดหลายราย จากหลายๆแห่ง พากันยืนยันผู้จำหน่ายรายเดียวกัน ก็น่าจะเชื่อ หรือไม่ก็ลองเอาผู้ติดยาที่เราจับมาได้ ให้เข้าไปซื้อดู ซึ่งภาษาตำรวจเรียกว่า “ล่อซื้อ”

สำหรับบัญชีผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด บัญชีนี้น่าเป็นห่วง ผู้ที่มีหลักฐานว่าคบค้าหรือสมาคมอยู่กับผู้จำหน่ายยาเสพติด หรือผู้ใดให้การสนับสนุนยานพาหนะ เงินทองแก่ผู้ค้ายาเสพติด ผู้นั้นอยู่ในข่าย เป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด บัญชีนี้หมิ่นเหม่มาก เพราะทุกวันนี้บางทีเราก็ไม่ทราบจริงๆว่าใครค้ายาฯบ้าง การไปสังสรรค์ การไปร่วมทานอาหารหรือพบปะคุยกัน บางทีอาจจะพลอยเข้าไปอยู่ในบัญชีนี้ก็ได้

มาเข้าเรื่องตำรวจโจร ผมเชื่อว่าผู้อ่านเรื่องของผมมีหลายกลุ่ม มีทั้งตำรวจและประชาชนธรรมดาและนักกฎหมาย ขอให้ทำใจเป็นกลาง ผมไม่ได้ว่าร้ายหรือกล่าวหาผู้ใด เพียงแต่เอาเรื่องจริงๆที่ประสบมานำเสนอ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับที่ท่านได้รับทราบ อย่าเพิ่งโกรธเคืองกัน ทุกเรื่องที่ผมเล่า เป็นเรื่องจริง ตรวจสอบหลักฐานได้
ทำไมยาเสพติดยังไม่หมดไป มีหลายสาเหตุ ที่ผมนำมากล่าวอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

๑ การปราบปรามปัจจุบัน จับกุมแต่ผู้จำหน่ายรายย่อย ผู้จำหน่ายรายใหญ่ๆจริงๆจับกุมได้น้อย เพราะมันจับยาก การที่จะจับได้ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้จำหน่ายย่อย นั่นก็คือ ต้องมีการเจรจาต่อรองกับผู้จำหน่ายย่อยที่จับกุมตัวมาได้ ให้พาไปจับกุมแหล่งใหญ่ที่อยู่เหนือตนขึ้นไปอีก การต่อรองนี้เองทำให้เกิดช่องทางเรียกผลประโยชน์ เช่นถ้าผู้ต้องหาที่ถูกจับได้สามารถเจรจาให้ผู้จำหน่ายยาให้ตน นำยามาส่งแล้วตำรวจจับรายใหม่นี้ได้ ผู้ต้องหารายเก่าจะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ การปล่อยตัวไม่ได้ปล่อยเฉยๆ เงินในตัวมีเท่าไหร่รวมทั้งยาเสพติดที่ยึดได้ ตำรวจไม่คืนอยู่แล้ว ผู้จำหน่ายบางรายฉลาด กลัวถูกตำรวจล่อซื้อ ให้โอนเงินค่ายาส่งไปให้ก่อนแล้วจึงจะส่งยาให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ปัญหานี้ โดยจัดเงินไว้สำหรับล่อซื้อรายละ ๒ ล้านบาท แต่เงินล่อซื้อนี้ จะขาดหายไปไม่ได้ การซื้อขายยาเสพติดจึงต้องใช้วิธี “ยื่นหมู ยื่นแมว” คือรับเงินพร้อมส่งยาเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดการยิงสู้กันอยู่บ่อยๆ ฝ่ายที่ค้ายาก็มีหน่วยคุ้มกัน มีอาวุธเช่นเดียวกัน ผู้จำหน่ายรายใหญ่จริงๆ หรือตัวการใหญ่ไม่ถูกจับกุม แล้วยาเสพติดจะหมดไปได้อย่างไร

๒ แหล่งผลิตยังจับกุมไม่ได้เลย อ้างว่าผลิตนอกประเทศแล้วส่งเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดน ตราบใดแหล่งผลิตยังมีอยู่ คนติดยายังมี ยากที่จะทำให้ยาเสพติดหมดไป

๓ รัฐบาลมีนโยบายว่า หากทำให้คนเลิกยาเสพติดได้ ความต้องการยาเสพติดในประเทศไทยหมดไป ยาเสพติดก็จะจะหน่ายไม่ได้ จึงได้ออกกฏหมาย ให้ผู้ติดยาเสพติดเป็นผู้ป่วย จะต้องได้รับการบำบัดรักษา ตั้งศูนย์บำบัดขึ้นมาหลายแห่ง เมื่อผู้ติดยาถูกจับกุม จะไม่มีโทษ แต่จะส่งเข้ารับการบำบัด มีคณะกรรมการควบคุมการบำบัด เมื่อเห็นว่าเลิกยาได้แล้วจะปล่อยตัวคืนเข้าสู่สังคม มีปัญหาตามมาอีก คนติดยากลายเป็นผู้จำหน่ายเสียเอง เพราะถ้าถูกจับได้ไม่ติดคุก แค่ถูกเอาตัวไปบำบัด การบำบัดสะดวกสบาย ไม่เหมือนการเป็นนักโทษ ถ้าทำตัวดีๆแค่ ๓-๔ เดือนก็ถูกปล่อย พวกนี้เลยไม่เข็ดหลาบ กลับไปขายยาอีก มีการตีความว่า เพียงใดถึงจะเรียกว่า “ผู้ติดยา” เพียงใดเรียก “ผู้จำหน่าย” ถือเอาจำนวนยาเสพติดของกลางที่ถูกยึดได้เป็นเกณฑ์ ถ้ามียาเสพติดอยู่ในตัวไม่เกิน ๒๐ เม็ด ถือว่าเป็นผู้ติดยา มียาเสพติดไว้เพื่อเสพ ถ้าเกิน ๒๐ เม็ด ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย โทษในข้อหามียาเสพติดไว้เพื่อจำหน่ายสูงมาก ทำให้ผู้จับกุมเกิดช่องทางหาเงินอีก คือทำบันทึกการจับกุม ลดจำนวนของกลางให้เหลือไม่เกิน ๒๐ เม็ด นอกนั้นเปลี่ยนเป็นเงิน หรือไม่ก็ต้องหาเงินมาจ่ายเป็นการแลกเปลี่ยน ส่วนยาเสพติดส่วนที่เกิน ๒๐ เม็ด ยึดเข้าบัญชีดำหรือบัญชีผีไป

๔ ผู้ค้ายาเสพติดรวมถึงผู้ค้าของเถื่อนทั้งหลายฉลาด มีวิธีการเอาตัวรอดไม่ให้ถูกจับกุม วิธีง่ายๆก็คือ จะนำเงินสดจำนวนมากติดตัวไปด้วย แยกห่อซุกเก็บไว้อย่างดี เช่นถ้าติดตัวไปสัก ๕ แสน ก็แยกเป็นหลายๆห่อ ห่อแรกสัก ๖ หมื่นหรือ ๑ แสน ห่อที่สองสัก ๒ แสน อีกห่อสัก ๓ แสน เป็นต้น เวลาตำรวจเข้าตรวจค้น ถ้าพบของกลาง (ของผิดกฏหมาย) จะดูยศ ดูจำนวนตำรวจ ถ้าเป็นชั้นนายสิบ ปกติจะมาคู่คือสองคน ก็เสนอเงินห่อแรกไปก่อน หกหมื่นเป็นจำนวนที่ลงตัว เพราะเท่าที่เห็นมา บางรายจะจบอยู่แค่ตรงนี้ คือแบ่งกันลงตัวคนละสามหมื่น ถ้ามีนายตำรวจมาด้วยสามหมื่นไม่ได้ ต้องเสนอขั้นต้นสัก ๒ แสน ( พิจารณาดูว่าแบ่งกันแล้วลงตัว ไม่น่าเกลียด ก็เป็นอันใช้ได้ ) เดี๋ยวนี้ข่าวว่า เงินจำนวนแสนไม่มีความหมาย ต้องเสนออย่างต่ำเป็นหลักล้านขึ้นไป

ปัญหานี้ระดับผู้บังคับบัญชาก็ทราบ แต่ก็แก้ไขให้หมดไปไม่ได้ ขาดพยานหลักฐาน เนื่องจากสมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย อีกประการหนึ่ง ตำรวจเงินเดือนน้อย เวลาเดียวกันให้อำนาจไว้เยอะมาก จึงเหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว เงินมันยั่วยวนใจ และเรื่องพรรค์นี้ เขาทำกันเงียบสนิท ไม่มีกะโตกกะตาก และต้องรวดเร็วด้วย ถ้าให้บุคคลที่สามรู้หรือมัวชักช้า จะพูดกันไม่รู้เรื่อง จะว่าตามเนื้อผ้า รีบบันทึกส่งดำเนินคดีทันที

มีพรรคพวกผมหลายราย ลูกถูกจับยาเสพติด ค้นพบยาบ้าในตัวหลายสิบเม็ด ตำรวจจะเอาเงินสามหมื่นบาท โทรศัพท์ไปขอเงินที่บ้าน พอดีพี่สาวซึ่งเป็นทนายความรับสาย ส่งเสียงเอะอะโวยวาย หาว่าตำรวจรีดไถเงิน จะฟ้องผู้บังคับบัญชา ตำรวจคนจับไหวทัน รีบบันทึกการจับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี จากนั้นอีกหลายวันพ่อแม่มาปรึกษาผม สงสารลูกกลัวเสียอนาคต ผมช่วยไปดูสำนวนให้ สำนวนมากสอบสวนแน่นมาก ผู้ต้องหารับสารภาพ ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องไปประกันตัว ถูกฟ้องศาล ต้องจ้างทนาย ยื่นคำร้องขอความปราณีต่อศาลให้รอลงอาญา วิ่งเต้นกว่าคดีจะถึงที่สุด หมดเงินไปหลายแสน เรื่องนี้คิดเอาเองก็แล้วกัน แต่ก็ยังมีตำรวจดีๆอีกเยอะ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่เงินสินบน หนึ่งในจำนวนนั้น เป็นลูกน้องผมผู้หนึ่ง รับราชการเป็นตำรวจทางหลวง เขาคือ จ.ส.ต.คงศักดิ์ อุดมสุด อยู่สถานีตำรวจทางหลวงเพชรบุรี ขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจตรารถยนต์ เส้นทางถนนเพชรเกษม อยู่กับเพื่อนตำรวจอีก ๑ คน ตรวจพบยาเสพติดน้ำหนักประมาณ ๕๐ กิโล ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน ผู้ต้องหาเสนอเงินสดให้ ๒ ล้านบาท จ.ส.ต.คงศักดิ์ฯไม่รับเงิน จับกุมตัวดำเนินคดี ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบ (ขณะนั้น พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ เป็น ผบ.ตร.) ท่านได้มอบเงินสดส่วนตัวของท่านให้ จ.ส.ต.คงศักดิ์ฯไปห้าแสนบาท
เรื่องทั้งหมดที่ผมกล่าวมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ทำให้ตำรวจกลายเป็นโจร ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้ตำรวจดีๆกลายเป็นโจร หลักใหญ่ใจความก็คือ วุฒิการศึกษาของพลตำรวจต่ำ (แค่จบมัธยม ๖ อบรมอีก ๖ เดือน) แต่พลตำรวจ ให้คุณให้โทษและใกล้ชิดประชาชนมากกว่านายตำรวจยศสูง การศึกษาสูง ผลตอบแทนที่รัฐให้กับพลตำรวจต่ำมาก มันก็เลยต้องช่วยตนเอง เคยมีข่าวตำรวจค้ายาเสพติดเสียเอง ความจริงตำรวจไม่ใช่นักค้ายาหรอกครับ แต่ไปต่อรองลดยอดยาเสพติด บันทึกการจับกุมให้ของกลางน้อยลง แล้วยาเสพติดที่เหลือจะเอาไปไว้ที่ไหน คืนญาติผู้ต้องหาไปเดี๋ยวมันก็เอาไปขายอีก ก็เลยต้องเอาติดตัวไป สถานที่เก็บยาเสพติดที่ดีที่สุดคือที่โรงพัก วันดีคืนดีเดือดร้อนเงินขึ้นมา ก็ให้ลูกน้องเอายาไปปล่อย ถูกตำรวจหน่วยอื่น “ล่อซื้อ” ถูกจับกุม เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
มาถึงเรื่องของตำรวจ ต.ช.ด. ผมฟันธงว่า ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดแน่นอน ก็ดันให้ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ปราบปรามผู้ก่อการร้าย ตามแนวตะเข็บประเทศ ไปทำการสืบสวนหาข่าวและปราบปรามยาเสพติด มันจึงเป็นเรื่องขึ้นมา ตำรวจ ต.ช.ด. เป็นตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนมาให้มีความชำนาญยุทธวิธีการรบ มีความแข็งแกร่ง ทรหด กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ปฏิบัติการถึงลูกถึงคน อดีตเคยได้รับการยกย่องว่า เป็นตำรวจหน่วยเดียวที่มีวินัยดีที่สุด คำชมในอดีตคงจะไม่เหลือหรออีกแล้ว เพราะผู้บังคับบัญชา ใช้คนไม่ถูกกับงาน รู้จักขบวนการยาเสพติดน้อยไป มันคือเงินทั้งนั้น ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆด้วย ยังจำเหตุการณ์ที่พบเงินในท่อพ๊าสติกที่ทางภาคใต้ได้ไหม นั่นเพียงส่วนเล็กน้อย ขบวนการยาเสพติด มันมีกลไกลึกลับซับซ้อน ไม่อาจรู้ได้ว่ามีใครบ้างอยู่เบื้องหลัง พลาดท่าโดนแทงข้างหลังทันที ท่านผู้อ่านไม่ต้องเชื่อผมทีเดียว วิเคราะห์ติดตามเรื่องให้ลึกๆ “ที่ใดมีควัน ที่นั่นย่อมมีไฟ” เรื่องนี้ขอให้เป็นบทเรียน ผู้ปราบปรามที่ทำอะไรโฉ่งฉ่าง ไม่ยึดหลักปฏิบัติตามตัวบทกฏหมาย ผลมันก็เป็นเช่นนี้ พรรคพวกที่ยังอยู่พึงสังวรณ์ ทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกไม่ต้อง เลิกเสียเถอะครับ.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์