บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
โจรค่าไถ่ ตอนที่ 2 (เสี่ยงช่วยชีวิตตัวประกัน)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› โจรค่าไถ่ ตอนที่ 2 (เสี่ยงช่วยชีวิตตัวประกัน)




ขบวนไล่ล่าตามหาตัวประกันพากันมุ่งหน้าไปจังหวัดฉะเชิงเทรา ชุดหลักๆมี ๓ ชุด แต่ละชุดมีหัวหน้าโจรเป็นตัวนำ ชุดของผมได้นายชำนาญฯ อีก ๒ ชุดก็มีนายชินฯกับนายประไพฯ แล้วยังมีกำลังลิ่วล้อเข้ามาสมทบอีกรวมแล้วเกือบสามสิบคน ปรากฏว่าคนที่รู้จักเส้นทางมีคนเดียว คือนายประไพฯ คนอื่นๆต้องตามนายประไพฯ เดินทางด้วยรถยนต์ ดูแล้วเป็นขบวน “คอนวอยส์” ผมกลัวที่สุดว่านายประไพฯจะแกล้งพาไปผิดทาง จะทำให้มืดค่ำเสียก่อน จึงได้วิทยุกำชับชุดที่คุมตัวนายประไพฯ จะทำยังไงก็ได้ขอให้พบตัวเด็กก่อนค่ำ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชุดควบคุมตัวนายประไพฯใช้วิธีไหน สังเกตเห็นรถแล่นด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้าไปตามถนนบางนา – ตราด เสร็จแล้วก็ไปหยุดเอาตรงช่วงที่ถนนเส้นนี้ตัดกับคลอง เป็นคลองใหญ่พอสมควรชนิดเรือหางยาวแล่นได้ ถ้าจำชื่อคลองไม่ผิด น่าจะเป็นคลอง “ปลัดเปรียง” รถในขบวนทุกคันจอดแอบข้างทางตามกัน

ผมสังเกตดูสองฟากถนนในช่วงนั้น มีแต่ทุ่งนาข้าวสุดลูกหูลูกตา ไม่มีบ้านผู้คนอยู่เลย ผมคิดในใจว่าโดนหลอกแหง ผมลงจากรถไปหานายประไพฯ ตำรวจชั้นหัวหน้าชุดก็พากันตามไป มันเกิดอะไรขึ้น สอบถามได้ความว่า การเดินทางถ้าจะใช้รถยนต์ไปได้แค่นั้นเอง ต้องเดินทางต่อด้วยเรือหางยาวและเป็นวิธีเดินทางวิธีเดียวเท่านั้น ผมถามนายประไพฯว่า บ้านที่คุมตัวเด็กอยู่ตรงไหน นายประไพฯชี้มือไปทางขอบฟ้าทิศตะวันตก ผมมองตามมือ ณ จุดไกลโพ้นประมาณสักสิบกิโล มองเห็นมีต้นไม้ขึ้นเขียวๆ ไม่เห็นบ้านคน มีแต่ต้นหญ้าต้นกกเต็มไปหมด แล้วคลองที่จะใช้เดินทางเป็นคลองธรรมชาติ เล็กๆและคดเคี้ยว เป็นเส้นทางบังคับตัดตรงไม่ได้ สิ่งสำคัญจะไปหาเรือหางยาวที่ไหน

ผมละเชื่อเลยว่าโจรชุดนี้จะต้องชำนาญการลักคนเรียกค่าไถ่ จะเป็นการวางแผนชั้นยอด หรือจะเป็นเพราะความกลัวก็ไม่รู้ มันจึงสร้าง CUT OUT (ตัดตอน) ไว้มากมายเหลือเกิน ได้ตำรวจท้องที่ช่วย กว่าจะได้เรือหางยาวมี ๕ ลำก็เป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็น ผมภาวนาขอให้เจอเด็กที่บ้านแห่งนี้ อย่าได้ไปฝากต่อที่ไหนอีกเลย
ช่วงที่พวกเราไปไล่ล่ากันนี้ เป็นฤดูกาลน้ำหลาก น้ำจึงมาก เวลาเดียวกันต้นข้าวก็เจริญงอกงาม พอนั่งในเรือหางยาวแล้วจะมองสองข้างทางไม่เห็นอะไรเลย ต้นข้าวต้นกกและวัชพืชบังหมด พวกเราฝากความหวังไว้กับนายประไพฯ ขอให้มันเป็นโจรกลับใจคิดทำดีบ้างเถิด

ธรรมชาติของเรือหางยาว เสียงจะดังแปดหลอด เสียงมาก่อนหลายสิบนาทีกว่าตัวเรือจะมาถึง ผิดกับเครื่องบินไอพ่นเจ็ท เห็นตัวก่อนที่จะได้ยินเสียง ตำรวจลูกน้องแนะนำว่า พอใกล้ถึงต้องดับเครื่องเรือแล้วพายไป มิฉะนั้นเสียงเรือจะทำให้พรรคพวกคนร้ายไหวตัว พาเด็กหลบหนี พวกเราจึงคอยซักถามนายประไพฯตลอดเวลาว่าถึงยังๆ เพื่อให้แน่ใจต้องจัดคนยืนหัวเรือคอยชะเง้อดูข้างทาง ปรากฏว่าพอนั่งเรือไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง สภาพคลองหมดไป มีแต่แผ่นน้ำกับผักปอดผักตบผักชวา คนขับเรือหางยาวขับมุ่งตรงไปยังกลุ่มต้นไม้เขียวๆซึ่งนายประไพฯบอกว่าเป็นที่พักเด็ก เรือหางยาวใช้ความเร็วไม่ได้ พวกวัชพืชไปพันใบพัดเรือ เป็นการเดินทางที่ทุลักทุเลที่สุด ดีไปอย่างที่เร่งเครื่องยนต์ไม่ได้ ทำให้เสียงเครื่องยนต์เบา แต่ถึงจะเบาก็เล่นเอาหูชาทีเดียว

ตะวันใกล้ตกดินแล้ว มองเห็นจุดหมายปลายทางชัดเจน ในกลุ่มต้นไม้นั้นมีบ้านไม้ทรงไทยเก่ายกไต้ถุนหลังคามุงแฝก ปูกรวมเป็นกลุ่ม มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมร่มรื่น คะเนว่าเหลือระยะห่างประมาณกิโลกว่าๆ ผมสั่งให้ดับเครื่องเรือแล้วใช้ถ่อใช้พายช่วย อุปกรณ์เหล่านี้คนเรือเตรียมไว้ประจำเรืออยู่แล้ว

ผมนึกชมอยู่ในใจว่า คนร้ายชุดนี้ช่างมีหัว เลือกทำเลได้ดีเหลือเกิน ได้เปรียบกรณีถ้าจะมีผู้บุกจู่โจม คนที่อยู่ในบ้านจะมองเห็นผู้จู่โจมก่อนมีเวลาหลบหนี และระยะทางใกล้ๆเพียงสี่ห้าร้อยเมตรก็ต้องใช้เวลาเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง เรือมันผ่านเข้าไปไม่ได้ คนนั่งหัวเรือต้องใช้มือช่วยแหวกวัชพืชให้เรือผ่าน

เหลือระยะประมาณห้าสิบเมตรจะถึงบ้านดังกล่าว มองเห็นคนในบ้านมีการเคลื่อนไหว แน่นอนคนร้ายรู้ตัวแล้ว พวกเราสั่งติดเครื่องยนต์เร่งเครื่องเข้าสู่เป้าหมาย เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น เรือบางลำไปไม่ได้ วัชพืชเข้าไปพันใบพัด ลำไหนไปได้ก็มุ่งหน้าไป ลูกน้องผมหลายคนไม่ทันใจ กระโดดจากเรือหางยาวตั้งใจจะว่ายน้ำเข้าไป พอโดดลงไปน้ำมิดหัว ว่ายน้ำก็ไม่ได้ติดผักปอด สรุปโดลงไปในน้ำกับไปบนเรือความเร็วพอๆกัน

เป็นการทำงานที่โคตรเหนื่อยและลุ้นระทึก พอเรือเข้าใกล้จอดไม่ถึงฝั่งติดกอสวะ ทุกคนเว้นผู้ที่มีหน้าที่คุมตัวผู้ต้องหา ต่างกระโดดลงจากเรือเพื่อช๊าจเข้าบ้านคนร้าย โดดปั๊บก็จมปุ๊บ น้ำยังลึกอยู่ ทุกคนเปียกกันหมด พอเข้าถึงฝั่งก็พากันวิ่งกรูเข้าบ้าน ภาพที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าช๊าจ เหมือนกับในหนังไทยเลย วิ่งดาหน้ายังกับกองทัพเวลาเข้าปะทะ มีให้เห็นในหนัง “นเรศวร” ต่างกันที่ตอนพวกเราวิ่งเข้าช๊าจ มือข้างหนึ่งชูปืนสั้นขึ้นฟ้า (ผมกลัวนัก เรื่องปืนลั่นโดนกันเอง) ทุกคนชูปืนขึ้นฟ้า แหกปากตะโกนลั่น “ตำรวจ ๆ” ( กลัวคนร้ายยิงสวน เพราะไม่รู้ว่าเป็นเข้าหน้าที่ ) ผมวิ่งขึ้นไปบนบ้านพร้อมกับตำรวจนอกเครื่องแบบอีกหลายคน พบแต่คนผู้หญิงอยู่บนบ้าน หญิงคนหนึ่งกอดเด็กผู้ชายซึ่งกำลังร้องไห้ ต้องเป็นตัวประกันแน่ ผมถามเด็กว่า “ ตี๋หรือเปล่า” เด็กพยักหน้ารับแล้วร้องไห้หนักขึ้นไปอีก ผมบอกว่าตำรวจมาช่วยพากลับบ้าน ผมเห็นภาพประทับใจที่เด็กชายตี๋กับผู้หญิงอีกสองคนกอดกัน ต่างก็ร้องไห้ ระยะเวลา ๕ วันที่เด็กชายตี๋เข้าไปอยู่ในครอบครัวใหม่ เกิดความรักความผูกพัน ท่ามกลางความร่ำไห้นั้นอาจจะเกิดความรู้สึกลึกๆที่ต่างกัน เด็กชายตี๋ฯคงจะพะวักพะวงที่ต้องจากครอบครัวใหม่ไปสู่ความอบอุ่นของพ่อแม่ ส่วนหญิงสองคนนั้นก็คงจะสงสารเด็กที่ตนได้ปกป้องให้ความอบอุ่นยามห่างไกลพ่อแม่ แต่ตนเองอาจจะต้องมีโทษทัณฑ์ ไม่ร่วมกับคนร้ายก็ให้ที่พักพิง ผมแยกเอาตัวเด็กชายตี๋ฯออกมา สอบถามหญิงสองคนทราบว่า คนหนึ่งคือนางทวี ณรังษีเจ่าของบ้าน กับ น.ส.เฉลาฯบุตรสาว เธอทั้งสองบอกว่าเป็นเพียงผู้ดูแลและเลี้ยงดูเด็ก ส่วนคนที่เอาตัวเด็กมาและคอยควบคุมตัว ได้วิ่งหนีไปแล้ว

ผมบอกแล้วว่าบ้านที่คุมตัวประกันทำเลดี บุกเข้าจับลำบาก เวลาเดียวกันถ้าจะคิดหนีจากบ้านดังกล่าวก็ลำบากเช่นกัน เพราะมีทางเดียวเท่านั้นคือไปโดยเรือ ผมสั่งลูกน้องระดมค้นหา พบว่ามีคนนั่งเรือแปะ (เรือขนาดเล็ก นั่งได้ประมาณแค่สองคน) เรือแปะดังกล่าวไปได้ไม่ไกลเพราะติดผักตบ แต่คนติดตามก็เข้าใกล้ไม่ได้ติดผักตบวัชพืชเช่นกัน มีทางเดียวคือส่งเสียง บอกให้ยอมให้จับกุมแต่โดยดี ชายคนดังกล่าวไม่ฟังเสียง กระโดดลงน้ำหายไป ตำรวจเอาเรือไปจนถึงจุดที่กระโดด มองไม่เห็นตัวชายดังกล่าว ยุทธวิธีตำรวจถูกนำออกมาใช้ “ออกมานะ ไม่งั้นยิง” แล้วก็มีเสียงผืนดังขึ้นหลายนัด เหตุการณ์ก็ยังเงียบ เข้าใจว่าคนร้ายคนดำหนีไปโผล่จุดใดจุดหนึ่งใต้กอผักตบ โผล่แค่จมูกหายใจ จึงทำให้มองหาไม่พบ ยุทธวิธีตำรวจถูกนำไปใช้อีก “ ยิงเข้าไปในกอผักตบเลย ไม่ออกมาตายแน่” เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด (ความจริงพวกเรายิงขึ้นฟ้านะครับ ไม่ได้ไปไล่ยิงดังที่พูด เดี๋ยวไปโดนคนร้ายตายจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นไปอีก เป็นการขู่เท่านั้น” ได้ผลครับ สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงดังมาจากกอหญ้า “ผมยอมแล้วครับ” ตำรวจสั่งให้ชูมือสองข้างขึ้นมาก่อนแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน (กลัวโดนคนร้ายส่องเอาเหมือนกัน) ในที่สุดก็ได้ตัวชายผู้นี้ เขาคือนายปรีชา หรือแดง ดิษฐวิมล

ภารกิจเสร็จสิ้น ทำงานได้สำเร็จตัวประกันไม่ตาย นำตัวเด็กชายตี๋ฯส่งคืนพ่อแม่ ส่วนคนร้ายที่จับกุมตัวเด็กและผู้เกี่ยวข้องถูกนำตัวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อทำการสอบสวนต่อไป บางคนที่มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นอาจถูกกันเป็นพยาน ผลคดีจะเป็นประการใดไม่ทราบ ผมเป็นชุดสืบสวนงานนี้เสร็จก็ไปจับงานอื่นต่อไป คดีเด็กชายตี๋ฯนับว่าเป็นคดีหนึ่งที่ทำงานสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว รวมระยะเวลาตั้งแต่เด็กชายตี๋ฯถูกจับกุมตัวไป จนถึงเวลาที่พบตัวนำส่งพ่อแม่เป็นเวลา ๕ วัน คดีนี้มีการแถลงข่าวใหญ่โชว์ผลงาน โดยมี พล.ต.ท.สุวรรณ รัตนะชื่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นประธาน ทีมสืบสวนหัวหน้าใหญ่ของผมคือ พ.ต.อ.ธนู หอมหวล (ยศขณะนั้น) เป็นผู้กำกับการสืบสวนตำรวจนครบาลใต้

ชื่อตัวบุคคลที่ผู้กล่าวข้างต้น เป็นชื่อและนามสกุลจริง หากท่านยังมีชีวิตอยู่ต้องขออภัยหากมีอันใดล่วงเกิน เหตุเพราะต้องทำตามหน้าที่ แต่ในโลกแห่งความจริง เราคือเพื่อนมนุษย์ ฝากถึงเด็กชายตี๋ฯหรือวรวิทย์ พัฒนกำจรกิจ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็คงจะอายุประมาณสามสิบปี ถ้าได้อ่านเรื่องนี้ จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า ชีวิตมีคุณค่า
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์