บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
โจรค่าไถ่ ตอนที่ 1 (จับเด็ก 3 ขวบ เป็นตัวประกัน)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› โจรค่าไถ่ ตอนที่ 1 (จับเด็ก 3 ขวบ เป็นตัวประกัน)




สมัยที่ผมรับราชการเป็นสารวัตร กองสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ (ย้อนหลังไปสัก ๒๐ ปี ) ยุคนั้นคดีจับคนไปเรียกค่าไถ่เกิดขึ้นมาก ตำรวจทำงานกันอย่างเต็มที่ ลุยกันแบบลูกทุ่ง ถึงลูกถึงคน ถ้าเป็นสมัยนี้ ไม่ติดคุกก็ถูกฟ้อง ท่านติดตามอ่านเรื่องนี้ จะเห็นการทำงานของตำรวจสมัยก่อน ทำงานกันอย่างรวดเร็ว มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงานสูง บางอย่างทำได้เลยไม่ต้องขออำนาจศาล บางอย่างอาจทำเกินเลยไปบ้าง ก็ขอได้ให้อภัยนะครับ ทำเพื่อประชาชนคนบริสุทธิ์จริงๆ

เหยื่อโจรเรียกค่าไถ่รายนี้ เป็นเด็กผู้ชาย อายุเพียง ๓ ขวบ ชื่อ เด็กชายตี๋ หรือวรวิทย์ พัฒนกำจรกิจ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านซึ่งเป็นตึกแถว อยู่ในซอยสุขุมวิท ๙๓ บางจาก กทม.นี่เอง อยู่มาวันหนึ่งในช่วงบ่ายๆ คุณสนองฯกับคุณสุถาพรฯ พ่อแม่ของเด็กชายตี๋ฯ ร่ำไห้ไปแจ้งความต่อ ร.ต.ท.มงคล หรุ่นเริงใจ ร้อยเวร สน.พระโขนงว่า เด็กชายตี๋ฯลูกชายหายตัวไปแต่เช้า พอตกบ่ายก่อนมาแจ้งความ มีโทรศัพท์ขู่ เรียกเงินสองแสนห้าหมื่นบาท ถ้าไม่ส่งเงินให้ตามกำหนด จะตัดนิ้วเด็กชายตี๋ฯส่งมาให้ดูต่างหน้า ถ้าไปแจ้งความจะฆ่าเด็ก หัวอกคนมีลูกเล็กๆ โดนเข้าแบบนี้มือเท้าอ่อน ทำอะไรไม่ถูก ตำรวจยังพอเป็นที่พึ่งได้ จึงตัดใจขอให้ตำรวจช่วย เงินสองแสนห้าในสมัยนั้น มากพอดู ซึ่งถ้าเทียบกับราคาก๋วยเตี๋ยว สมัยนั้นชามละ ๒ บาท เดี๋ยวนี้เป็นชามละ ๒๐ ลองเอาสิบคูณดู จำนวนเงินค่าไถ่ก็สูงพอสมควร

พ่อแม่ของเด็กชายตี๋ฯอาชีพขายของชำ คือขายของเล็กๆน้อยๆจิปาถะ คล้ายเซเว่นอีเลฟเว่นในสมัยนี้ หน้าร้านพอมีที่ว่างแกก็ใช้ทำประโยชน์หมด เปิดแผงขายผัก มีแม่ค้าซึ่งเป็นคนจังหวัดนครปฐมเอาผักสดส่งถึงที่ คนร้ายรายนี้ฉลาดพอสมควร โทรศัพท์ขู่ให้ตกใจกลัวโดยไม่ยอมบอกเบอร์เพื่อให้ติดต่อกลับ เพียงแต่บอกว่า ถ้าไม่ทำตามที่บอก จะตัดชิ้นส่วนของเด็กชายตี๋ฯส่งมาให้ ทีละชิ้นๆ แค่นี้พ่อกับแม่เด็กก็ไม่เป็นอันทำมาหากิน คอยแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ พอเสียงโทรศัพท์ดังก็สะดุ้งโหยง ราวกับโดนผีหลอก แต่คนร้ายไม่ยอมโทรศัพท์อีกเลย ปล่อยให้พ่อกับแม่นอนร้องไห้รอรับข่าวทั้งคืน

คดีโจรจับตัวคนเรียกค่าไถ่ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้กำลังในการวางแผนติดตามจำนวนมาก อาจเกี่ยวพันกันหลายท้องที่ ตำรวจกองสืบสวนซึ่งมีหน้าที่สืบจับอย่างเดียว ไม่ต้องเข้าเวรรับแจ้งความ จึงต้องเข้ามาช่วยในคดีเรื่องนี้ การสืบสวนคดีจับคนเรียกค่าไถ่เป็นคดีที่ท้าทายความสามารถ มีความเสี่ยง โดยมีความเป็นความตายของตัวประกันเป็นเดิมพัน ทีมงานสืบคดีประเภทนี้ ต้องใช้คนที่มีประสบการณ์

เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อของเด็กชายตี๋ฯเปิดหน้าร้าน เห็นจดหมายใส่ซองวางอยู่ เปิดดูเป็นจดหมายของโจรติดต่อเรื่องค่าไถ่ คนร้ายบอกให้เตรียมเงินให้พร้อม จะโทรศัพท์บอกสถานที่ส่งมอบเงิน ไม่ลืมที่จะย้ำว่าห้ามแจ้งตำรวจ พ่อของเด็กชายตี๋ฯตัดสินใจถูกที่ไม่เชื่อคนร้าย แอบประสานส่งข้อมูลให้กับตำรวจอย่างลับๆ

สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือที่เรียกกันว่า มือถือ ใช้โทรศัพท์บ้านลูกเดียว การติดตามคนร้ายจึงไม่ยุ่งยาก เพียงติดอุปกรณ์พิเศษเข้าไปที่ชุมสาย ล็อกเบอร์โทรที่คนร้ายจะโทรเข้า เมื่อคนร้ายโทรเข้ามา เครื่องจะบันทึกเสียงโดยอัตโนมัติ เวลาเดียวกันก็มอนิเตอร์เสียงให้เจ้าหน้าที่ได้ฟังกันสดๆด้วย ได้ผล คนร้ายโทรเข้ามา ทีมงานสืบสวนได้ตกลงกับพ่อแม่ของตัวประกันแล้ว ให้พยายามเจรจาถ่วงเวลาพูดคุยกับคนร้ายให้นานที่สุด เหตุผลที่ให้โทรนานก็คือ เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคต้องใช้เวลาในการไล่สาย เพื่อจะทราบว่าคนร้ายโทรมาจากที่ใด คนร้ายถามเรื่องเงินค่าไถ่พร้อมหรือไม่ พ่อของตัวประกันเจรจาต่อรองลดยอดเงิน อ้างว่ายังหาเงินให้ไม่ครบ การพูดคุยใช้เวลาเกือบ ๕ นาที ในที่สุดก็ตกลงที่จะไถ่ตัวเด็กชายตี๋ฯในจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐.- บาท เจ้าหน้าที่เช็คการใช้สายโทรศัพท์แล้ว โทรจากเครื่องสาธารณะจากตู้แถวถนนราชดำริห์

การวินิจฉัยคดีเบื้องต้น (ท่านผู้อ่านช่วยกันเป็นนักสืบไปด้วยนะครับ) ก่อนที่ทีมงานจะปฏิบัติการ ต้องนำข้อมูลร่องรอยหลักฐานมาวิเคราะห์ก่อนว่า คนร้ายน่าจะเป็นใคร เกี่ยวข้องกับคนข้างในหรือไม่ และการปฏิบัติช่วยตัวประกันจะทำกันยังไง

๑ เรื่องแรกต้องค้นหาให้ได้ว่า มีคนใน (พวกเดียวกันเอง) เป็นไส้ศึก คอยส่งข่าวให้ข้อมูลกับโจรหรือไม่ พิจารณาแล้วเรื่องนี้ไม่มี ครอบครัวของเด็กชายตี๋ฯมีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้น

๒ เมื่อไม่มีคนในคอยส่งข่าว จะต้องค้นหาต่อไปว่า คนร้ายจะรู้ความเคลื่อนไหวของเหยื่อ (พ่อและแม่เด็ก) ได้อย่างไร ซึ่งจะต้องค้นหากันต่อไป

๓ จากการที่นำเสียงของคนร้ายที่เจรจาต่อรองค่าไถ่ เจ้าหน้าที่บันทึกเสียงไว้ เปิดฟังกันหลายครั้ง เป็นเสียงพูดของคนผู้ชาย สำเนียงพูดเหน่อๆ แบบคนจังหวัดนครปฐม (ท่านผู้อ่านคงพอทราบ คนนครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี พูดเสียงเหน่อๆ คล้ายๆกัน) ข้อมูลนี้ทำให้กลุ่มบุคคลต้องสงสัยอยู่ในวงแคบ

๔ พยานหลักฐานจากจดหมายของคนร้ายที่เขียนหย่อนไว้ในบ้าน พ่อและแม่ของเด็กชายตี๋ฯเห็นแล้ว บอกว่าลีลาการเขียน ตัวอักษร เหมือนกับลายมือในรายการส่งผัก

การวิเคราะห์เกือบจะฟันธงได้เลยว่า คนร้ายเป็นใคร มันจะต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการส่งผักให้กับพ่อและแม่ของเด็กชายตี๋ฯ และจะต้องเป็นคนนครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวน ครอบครัวของเด็กชายตี๋ฯ สั่งซื้อผักจากนครปฐม ในตอนเช้ามืดจะมีรถปิกอัพสองแถวบรรทุกผักสดมาส่ง พร้อมกับใบแจ้งรายการผักและจำนวนเงิน ซึ่งเป็นลายมือเขียน ทีมสืบสวนฟันธงเลย ต้องตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งผักเป็นรายแรก

ใกล้สว่างของวันต่อมา ประมาณตีห้าเศษๆ รถปิกอัพตกแต่งแบบสองแถวมีหลังคา ทะเบียนจังหวัดนครปฐมก็นำผักสดมาส่งตามปกติ มีคนขับรถเป็นผู้ชาย คนที่คุมผักเป็นผู้หญิงนั่งมาด้วย ปกติจะมีผู้ชายดูแลท้ายรถอีกคน ที่เราเรียกกันว่าเด็กท้ายรถ ในวันดังกล่าวนั้นไม่มีเด็กท้าย เขาหายไปไหน รถส่งผักขับรถมาส่งที่บ้านของเด็กชายตี๋ฯตามปกติ พ่อแม่ของเด็กชายตี๋ฯก็รับของจ่ายเงินตามปกติเช่นกัน การเจรจาพดคุยไม่มีพิรุธ เหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่ผมเชื่อว่าในจิตใจของคนทั้งสองฝ่ายร้อนระอุ ฝ่ายหนึ่งอยากได้เงินและหวาดๆว่าจะถูกซ้อนแผนตะครุบจับหรือไม่ ส่วนอีกฝ่ายที่เป็นพ่อแม่เด็ก คงอยากจะเข้าไปตะบันหน้าอีกฝ่าย พร้อมถามว่า “มึงเอาลูกกูไปไว้ไหน เอาคืนมา” ทุกคนได้แต่เพียงคิดเอาไว้ใจใน เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้รอดพ้นจากการสังเกตของผมและทีมงาน ผมสังเกตที่ชายคนขับรถเป็นสำคัญ หมอนี่นั่งนิ่งไม่พูดจา ส่งผักที่ร้านเด็กชายตี๋ฯเสร็จก็ขับตระเวนไปส่งที่อื่น จนผักหมดคันรถ ปรากฏว่าผู้หญิงคนส่งผักก็มีแผงขายผักเหมือนกันกับพ่อแม่ของเด็กชายตี๋ฯ อยู่ในซอยเดียวกันด้วย แต่เยื้องๆห่างออกไป

ผมมีคำตอบในใจว่า ยายแม่ค้าส่งผักคนนี้จะต้องเป็นคนส่งข่าวข้อมูลให้กับโจร แล้วโจรเป็นใคร ผมเล็งเจ้าคนขับรถไว้ ไอ้หมอนี่นิ่งผิดสังเกต ยังกับเป็นคนใบ้ ผมส่งชุดตำรวจนอกเครื่องแบบขับรถสะกดรอยติดตาม จึงได้พบว่า รถส่งผักคันดังกล่าวส่งผักหมดคันก็เป็นเวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น.เศษ คนขับได้นำรถไปเข้าคิวเป็นรถสองแถวรับจ้าง เส้นทางประตูน้ำ – บางรัก จอดรถอยู่ในซอยเล็กๆ แถวบางกอกบาซา ถนนราชดำริห์ บริเวณใกล้สี่แยกราชประสงค์ มีความเป็นไปได้สูงว่า คนขับรถส่งผักน่าจะเป็นคนร้าย ทะเบียนรถก็เป็นจังหวัดนครปฐม จุดที่จอดคิวรถใกล้เคียงกับตู้โทรศัพท์สาธารณะที่คนร้ายโทรไปขู่เรียกค่าไถ่ ผมและทีมงานฟันธง เจ้าคนขับรถสองแถวคนนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง สิ่งที่ยังไม่รู้อีกอย่างเดียวก็คือ คนขับรถพูดเสียงเหน่อๆเหมือนกับเสียงคนร้ายที่ถูกบันทึกไว้หรือไม่

ผมมอบหมายให้ ร.ต.อ.อาทิตย์ พิมสาร ลูกน้องผมซึ่งอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ หาทางพูดคุยกับเจ้าหมอนี่ ให้ ร.ต.อ.อาทิตย์ฯฟังเสียงคนร้ายจากเทปแล้วลองเปรียบเทียบกับเสียงคนขับรถสองแถว ร.ต.อ.อาทิตย์ฯดำเนินแผน เข้าไปติดต่อเช่ารถสองแถว ทราบว่าคนขับรถชื่อนายชำนาญ ดอกแก้ว สำเนียงพูดแบบคนนครปฐม พูดคุยกันสอบถามแล้วเป็นคนนครปฐมจริงๆ ร.ต.อ.อาทิตย์ฯตกลงเช่ารถของนายชำนาญฯทันที ตอนแรกนายชำนาญฯอิดออด อ้างว่าต้องวิ่งตามคิว ร.ต.อ.อาทิตย์ฯเป็นมวย ดูคิวแล้วว่าถึงคิวรถนายชำนาญฯที่จะต้องออกรถ จึงได้เข้ามาจ้างเหมา ราคาไม่อั้น เข้าใจว่านายชำนาญฯคงร้อนเงินจึงตกลงรับจ้างเหมาคันไปบรรทุกของ ร.ต.อ.อาทิตย์ฯขึ้นนั่งข้างหน้ารถคู่กับนายชำนาญฯ แต่เจ้ากรรม พอจะออกรถปรากฏว่ามีนักศึกษาประมาณ ๓-๔ คนขึ้นไปนั่งบนที่นั่งกระบะท้าย ร.ต.อ.อาทิตย์ฯต้องไปเจรจาอยู่นานกว่านักศึกษาจะเข้าใจและลงจากรถไป เกือบเสียงาน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะมีปฏิบัติการสายฟ้าแลบ อุ้มไงครับ

ร.ต.อ.อาทิตย์ฯเป็นคนบอกทาง นายชำนาญฯขับไปตามถนนพัฒนาการเลี้ยวเข้าทางลัด ผ่านหมู่บ้านเมืองทอง ๒ โครงการ ๒/๓ จุดหมายปลายทางคือกรุงเทพกรีฑา เส้นทางนี้ผมชำนาญฯเพราะผมมีที่ดินอยู่แถวนั้น ตัดสินใจเอาถนนเส้นนี้เป็นจุดปฏิบัติการ สภาพสองข้างทางเปลี่ยว มีแต่ป่าละเมาะและต้นไม้ ไม่มีบ้านผู้คน นายชำนาญฯแสดงความรู้สึกหวาดๆ พูดกับ ร.ต.อ.อาทิตย์ฯว่าทำไมสถานที่ๆจะไปลึกและเปลี่ยวจัง ร.ต.อ.อาทิตย์ฯต้องปลอบว่า ข้างในมีหมู่บ้านใหญ่ ขณะที่นายชำนาญฯเบรครถ ชลอความเร็วลงเพื่อจะข้ามทางรถไฟ ทันใดนั้นก็มีรถยนต์เก๋งและปิกอัพ ๒ คัน ใช้หมายเลขทะเบียนปลอม คันหนึ่งพุ่งขึ้นหน้ารถนายชำนาญฯแล้วปาดหน้ารถบังคับหยุด อีกคันจอดต่อท้ายรถนายชำนาญฯ ชายฉกรรจ์จากรถคันที่ขับตามหลังกรูไปจับตัว ร.ต.อ.อาทิตย์ฯและนายชำนาญฯ ชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าวแยก ร.ต.อ.อาทิตย์ฯไปไว้รถคันหนึ่ง นำตัวนายชำนาญฯไปไว้อีกคันซึ่งมีผมนั่งอยู่ด้วย นายชำนาญฯถูกผ้ามัดตาจนไม่สามารถมองเห็น ถูกบังคับให้นอนราบกับที่วางเท้าที่นั่งตอนหลัง นายชำนาญฯมีอาการตกใจ เข้าใจว่าตนเองถูกปล้น ร้องขอชีวิตยอมให้เอาทรัพย์สินไป มีบางอย่างเกิดขึ้นกับนายชำนาญฯซึ่งผมอธิบายชัดเจนไม่ได้ นายชำนาญฯแสดงออกถึงความกลัวสุดขีด สังเกตเห็นเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด และแล้วคำพูดแบบละครทีวีน้ำเน่า แต่น่ากลัวกว่า ก็ระเบิดขึ้น “มึงรู้ไหมว่าพวกกูเป็นใคร” แน่นอน นายชำนาญฯตอบได้อย่างเดียวก็คือ “ไม่รู้ครับ” (ถึงจะรู้ว่าเป็นใคร ก็ต้องตอบแบบนี้อยู่แล้ว) ละครน้ำเน่าดำเนินการต่อไป “พวกกูเป็นมือปืนรับจ้าง พ่อเด็กให้มาเอาชีวิตมึง ถ้ากูไม่ได้ตัวเด็ก มึงตาย” เพื่อที่จะให้ถ้อยคำที่พูดมีน้ำหนัก สิ้นคำพูดก็มีการอัดกันบ้างนิดหน่อย นายชำนาญฯรีบพูดสวนด้วยเสียงอันดัง “ผมยอมครับ อย่าทำผม แต่ผมไม่รู้ว่าเด็กอยู่ที่ไหน”

จากนั้นรายละเอียดต่างๆก็พรั่งพรูออกจากปากนายชำนาญฯ รับสารภาพว่าร่วมมือกับพวกอีก ๒ คน จับตัวเด็กชายตี๋ฯไปเรียกค่าไถ่ เหตุที่ต้องทำเพราะภรรยานายชำนาญฯเป็นเจ้ามือรับหวยสลากกินรวบ งวดที่ผ่านไปลูกค้าแทงถูก ไม่มีเงินจ่าย รู้ว่าพ่อแม่เด็กชายตี๋ฯมีเงินจึงจับตัวเด็กชายตี๋ฯไปเรียกค่าไถ่ ผู้ที่ร่วมงานอีก ๒ คน คือ นายชิน ดอกแก้วน้องชายซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นเด็กท้ายรถ ( นึกแล้วเชียว ตอนที่จะเข้าปฏิบัติการกับนายชำนาญฯจึงไม่เห็นเด็กท้ายรถ ) ส่วนอีกคนชื่อนายประไพฯ บ้านอยู่บางบ่อ สมุทรปราการ คดีโจรจับตัวคนเรียกค่าไถ่ สิ่งสำคัญคือต้องช่วยเหลือชีวิตตัวประกันไม่ให้ได้รับอันตราย คดีนี้เกิดหลังคดีนางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน คดีนางกิ่งแก้วฯเป็นบทเรียนราคาแพง ตำรวจทำงานผิดพลาดตัวประกันจึงถูกฆ่า คดีเด็กชายตี๋ฯจะให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้
ทีมงานพยายามคาดคั้นถึงสถานที่ซ่อนตัวประกัน พวกเราเชื่อว่านายชำนาญฯไม่ทราบจริงๆ ถ้าทราบต้องเปิดปากพูดแล้ว ปรากฏว่าคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำ นายชำนาญฯมีหน้าที่ติดต่อเจรจาเรื่องเงินค่าไถ่ นายชินฯมีหน้าที่คุมตัวเด็ก จะคุมตัวไว้ที่ใดนายชำนาญฯไม่ทราบ

ชุดปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันต้องทำงานแข่งกับเวลา ถ้าใช้เวลานานเกินไป จะเป็นที่ผิดสังเกต คนร้ายจะไหวตัว อาจเป็นอันตรายต่อตัวประกัน โชคดีที่ในสมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ คนร้ายต้องเดินทางหากันจึงจะสื่อสารกันได้ ตอนที่พวกเราได้ตัวนายชำนาญฯเป็นเวลาสายแล้วประมาณเกือบ ๑๐ โมงเช้า ตำรวจทำงานโดยการประสานทางว๊อกกี้ท๊อกกี้ ชุดของผมคุมตัวนายชำนาญฯไว้ ประสานสั่งการให้กำลังอีกชุดหนึ่งไปเอาตัวนายชินฯที่บ้านซึ่งเป็นห้องแถวอยู่ในซอยสุขุมวิท ๙๓

ตำรวจที่ไปเอาตัวนายชินฯก็ปฏิบัติการเช่นเดียวกับการเอาตัวนายชำนาญฯ คือต้องอุ้มลูกเดียว การอุ้มต้องทำให้ลับและเงียบ ไม่ให้ผู้ใดรู้เห็น ตำรวจชุดที่ไปเอาตัวนายชินฯต้องไปซุ่มดักที่หน้าบ้าน คาดการไว้ไม่ผิดว่านายชินฯต้องอยู่ที่บ้านเพราะจะต้องรอโทรศัพท์จากนายชำนาญฯ โทรศัพท์ที่จะติดต่อกันได้ก็คือโทรศัพท์บ้าน เมื่อนายชำนาญฯไม่โทรติดต่อมา นายชินฯจึงต้องออกจากบ้านไปหานายชำนาญฯที่ท่ารถสองแถว ประมาณใกล้เที่ยงวันเดียวกันนายชินฯก็เดินออกจากบ้าน ลักษณะท่าทางร้อนรน ชุดปฏิบัติการตามไป พอได้โอกาสนายชินฯก็ถูกแก๊งชายฉกรรจ์กระตุกขึ้นรถ ผมไม่ได้ไปด้วยเลยอธิบายไม่ถูกว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ได้รับรายงานทางวิทยุว่า นายชินฯได้ส่งตัวเด็กชายตี๋ฯไปให้นายประไพฯที่บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการอีกทอดหนึ่ง นายประไพฯจะคุมตัวเด็กชายตี๋ฯไว้ที่ใดนายชินฯไม่ทราบ

เรื่องมันชักจะยาวเสียแล้ว ทำท่าจะไม่จบลงง่ายๆ ลองถ้าคนร้ายแบ่งหน้าที่กันทำ ตำรวจลำบากแน่ จะสอบสักเพียงใดก็คนมันไม่รู้จริงๆ มันจะไปบอกได้อย่างไร เวลาหมดไปครึ่งวันแล้ว ถ้ามืดค่ำตัวละครที่เราตะครุบตัวเอาไว้ไม่ได้กลับบ้าน ความแตกแน่ พวกเราต้องทำงานแข่งกับเวลา ก่อนตะวันตกดินต้องเอาตัวเด็กชายตี๋ฯออกมาให้ได้ ผมสั่งให้ชุดปฏิบัติการที่อุ้มนายชินฯ สอบถามที่อยู่ของนายประไพฯ ทราบว่าอยู่หมู่ที่ ๒ ตำบลบางบ่อ ผมสั่งให้คุมตัวนายชินฯพาไปที่บ้านนายประไพฯโดยด่วน โดยขู่ว่าถ้าเด็กชายตี๋ฯเป็นอะไรไป ก็หมายถึงชีวิตของนายชำนาญฯกับนายชินฯด้วย

ประมาณบ่ายสองโมง กำลังส่วนหนึ่งช๊าจเข้าจับกุมนายประไพฯที่บ้าน คาดว่าคนร้ายคงอยู่ที่บ้าน เพื่อความสะดวกในการติดต่อโทรศัพท์ ถ้าออกจากบ้านจะติดต่อส่งข่าวกันไม่ได้ ตอนแรกคิดว่ายังไงๆเด็กชายตี๋ฯจะต้องอยู่ที่บ้านนายประไพฯหรือไม่ก็ต้องเป็นสถานที่ๆใกล้เคียง การเข้าไปเอาตัวนายประไพฯจึงทำอย่างเปิดเผย เอาตำรวจท้องที่ไปร่วมด้วย กว่าจะได้ตัวนายประไพฯก็ทุลักทุเล เพราะเป็นจังหวะที่นายประไพฯออกไปทำธุระนอกบ้าน พอได้ตัวนายประไพฯก็เกิดไทยมุง ชาวบ้านอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในใจของผู้ปฏิบัติช่างไม่ดีเอาเสียเลย เรื่องถูกเปิดเสียแล้ว ถ้าไม่พบตัวเด็กชายตี๋ฯจะทำอย่างไร อาจประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นเดียวกับคดีนางกิ่งแก้ว คือตัวประกันถูกฆ่า นายประไพฯถูกนำตัวสอบสวนเครียด เป็นจริงตามคาด เด็กชายตี๋ฯถูกนำไปฝากไว้ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา

เวรกรรมแท้ๆ นี่ก็บ่ายสามโมงไปแล้ว ยังไม่เจอตัวเด็ก สอบถามเส้นทางที่จะไปสู่บ้านที่เก็บตัวเด็กชายตี๋ฯ ต้องนั่งรถยนต์ไปแล้วนั่งเรือหางยาวต่อ ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง ถ้าหากว่านายประไพฯเอาตัวประกันไปฝากต่อไว้ที่อื่น คงจะต้องตามต่อกันจนถึงเช้า ชาวบ้านก็รู้ข่าวว่าตำรวจจับตัวนายประไพฯ อาจส่งข่าวนี้ให้พรรคพวกที่คุมตัวเด็กทราบเสียก่อน เด็กชายตี๋ฯตายแน่ ผมสั่งให้คุมตัวนายประไพฯเดินทางไปจังหวัดฉะเชิงเทราด่วน ให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อนพลบค่ำ เป็นไรเป็นกัน
ติดตามอ่านต่อตอนที่ ๒ ครับ.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์