บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ภัยจากพี่เลี้ยงเด็ก ตอนที่ 2 (เด็กตัวประกันถูกฆ่า โจรถูกประหาร)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› ภัยจากพี่เลี้ยงเด็ก ตอนที่ 2 (เด็กตัวประกันถูกฆ่า โจรถูกประหาร)
กิ่งแก้วฯถูกควบคุมตัวในห้องควบคุมของ สน.บางรัก ห้องควบคุมผู้ต้องหาหญิงและชายแยกกัน อยู่คนละฟากมีช่องทางเดินตรงกลาง แบ่งเป็นห้องซอยหลายห้อง สภาพห้องขังด้านหลังและด้านข้างทั้งสองด้านเป็นกำแพงคอนกรีต มีเฉพาะด้านหน้าที่ติดกับทางเดินเป็นลูกกรง ทำด้วยเหล็กกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้ว จากพื้นถึงเพดาน กิ่งแก้วฯถูกขังเดี่ยว

กิ่งแก้วฯไม่เคยทำผิด ไม่เคยถูกคุมขังมาก่อน ไม่คุ้นเคยกับห้องขัง ถูกผู้ต้องหาชายข่มขู่ เกิดความเครียดคิดสั้น ประมาณตีสองคืนนั้น กิ่งแก้วฯเตรียมเชือกซึ่งทำจากเสื้อฉีกเป็นเส้นผูกโยงติดต่อกัน กิ่งแก้วฯคิดว่าผู้ต้องหาชายห้องตรงข้ามหลับแล้ว จึงค่อยๆไต่ลูกกรงสูงขึ้นไปแล้วเอาเชือกผูกลูกกรงด้านบน เตรียมผูกปลายเชือกอีกด้านหนึ่งเข้ากับคอเพื่อโดดลงมา การกระทำของกิ่งแก้วฯหาได้รอดพ้นสายตาของผู้ต้องหาชายซึ่งนอนอยู่ในห้องควบคุมตรงข้าม ผู้ต้องหาชายเก๋ากว่าคิดอยู่แล้วว่ากิ่งแก้วฯจะต้องชิงฆ่าตัวตาย พอเห็นกิ่งแก้วฯเริ่มปีนลูกกรงก็ตะโกนเรียกสิบเวรซึ่งอยู่หน้าห้องควบคุม สิบเวรเข้ามาทันการ หยุดการกระทำของกิ่งแก้วไว้ได้ จากนั้นกิ่งแก้วฯก็ถูกจับตาและเข้มงวดเป็นพิเศษ ผู้ต้องขังชายต่างบอกกิ่งแก้วฯว่า“ ผูกคอตายมันง่ายไป มึงต้องตายโดยการถูกยิงเป้า ”คดีนี้กลายเป็นคดีใหญ่ โหดเหี้ยมสะเทือนขวัญ กองกำกับการสืบสวนซึ่งเป็นที่รวมบรรดานักสืบจึงต้องเข้ามาช่วยสืบสวนจับกุม จากการสอบสวนปากคำกิ่งแก้วฯให้การว่า ผู้ร่วมกระทำผิดอีก ๒ คนคือ

๑ นายเกษมหรือเสริม สิงห์ลา บ้านอยู่ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ

๒ นายปิ่น พี่งญาติ บ้านอยู่ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

คดีนี้กองปราบปรามก็เข้ามาช่วยสืบสวนจับกุม แบ่งชุดไล่ล่าเป็น ๓ ชุด กองปราบปราม ๑ ชุด สน.บางรัก ๑ ชุด กองสืบสวนนครบาลใต้โดยผมเป็นหัวหน้าอีก ๑ ชุด

ผมรับหน้าที่ตามล่าตัวนายปิ่นฯเพราะเป็นคนบางปะหันด้วยกัน การไล่ล่าเป็นไปอย่างทุลักทุเล ชุดที่ติดตามนายเกษมฯระดมค้นบ้านที่ชัยภูมิ บ้านพ่อบ้านแม่ บ้านญาติพี่น้องถูกค้นหมด ไม่พบตัว ได้ข้อมูลว่าหนีขึ้นเขา ชุดของ สน.บางรักต้องปีนเขาติดตาม กลางคืนกางเต้นนอน พอสว่างเดินต่อ นำอาหารเป็นสะเบียงใส่เป้สะพายหลังไปด้วย ใช้เวลาเป็นครึ่งเดือนไม่พบตัว

ชุดของผมค่อยดีหน่อย แค่บางปะหันอยุธยา ผมเกิดและโตที่นั่น การข่าวก็เลยดี ไม่ต้องเหนื่อยมาก ได้ข้อมูลมาว่า ตอนเกิดเหตุใหม่ๆนายปิ่นฯกับนายเกษมฯพากันหลบหนีมาอยู่บ้านญาติๆที่บางปะหัน ตอนนั้นตำรวจยังไม่ทราบว่าผู้ร่วมกระทำผิดเป็นใครบ้าง เพราะยังจับกุมตัวกิ่งแก้วฯไม่ได้ เป็นความจริงอย่างหนึ่งคือ เมื่อคนร้ายก่อคดีแล้วมักจะหลบหนีกลับภูมิลำเนาเป็นอันดับแรก เพราะต้องสั่งเสียลูกเมียพ่อแม่ บางทีก็ไปขอเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนี สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์ ทั้งโทรศัพท์บ้าน(พื้นฐาน) และโทรศัพท์มือถือ ต้องไปพบปะหากัน ต่างกับสมัยนี้ คนร้ายจะใช้โทรศัพท์ติดต่อ ตำรวจสมัยนี้ไม่เหนื่อยมากเหมือนสมัยก่อน ใช้เทคโนโลยีในการไล่ล่าคนร้าย โดยการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ และตรวจสอบหาตำแหน่ง (BASE) ยิ่งคนร้ายใช้โทรศัพท์มาก การสืบสวนติดตามก็ยิ่งง่ายตามไปด้วย ชุดไล่ล่าที่ขึ้นไปจังหวัดชัยภูมิอ่อนเปลี้ยกลับเข้า ก.ท.ม. ส่วนชุดของผมอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขึ้นๆล่องๆกรุงเทพ-อยุธยาหลายสิบเที่ยว การข่าวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถึงแม้จะยกกำลังกลับแต่ผมวางสายลับให้คอยส่งข่าว สิ่งจูงใจผู้ให้ข่าวก็คือ “ เงิน ” เงินจำนวนมากๆทำให้คนใกล้ชิดกับคนร้ายคอยให้ข่าวความเคลื่อนไหว ไม่ช้าผมก็ได้ข่าวว่านายเกษมฯกับนายปิ่นฯหลบหนีไปด้วยกัน และทั้งคู่หวลกลับไปที่จังหวัดชัยภูมิอีก ( ตามความคิดของคนร้าย สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดคือสถานที่ๆตำรวจตรวจค้นแล้ว ) ผมวางแผนย้อนรอย โดยเดินทางไปประสานกับนายตำรวจรุ่นพี่ซึ่งเป็นผู้บังคับกองอยู่ที่อำเภอจัตุรัส ให้ช่วยหาข้อมูลให้ นายตำรวจรุ่นพี่ผู้นี้ทำงานอย่างมืออาชีพ ทำด้วยตนเองไม่ใช้ลูกน้อง ข่าวจึงไม่รั่วเหมือนตอนที่ตำรวจ สน.บางรักบุกเข้าจับกิ่งแก้วฯ

การหาข่าวใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ทราบแหล่งกบดานของนายเกษมฯ โดยนายเกษมฯพักที่บ้านญาติหลังหนึ่ง ที่ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส ข่าวว่านายเกษมฯพาเพื่อนมาด้วยอีก ๑ คน แต่ไม่ทราบว่าจะพักบ้านหลังเดียวกันหรือไม่ การจู่โจมจับกุมทำกันในตอนตีสี่ของคืนนั้น รอสว่างไม่ได้ แค่ตีห้าคนบ้านนอกก็ตื่นกันแล้ว สมัยนั้นหมายค้นไม่ต้อง เพราะตัวผู้บังคับกองหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ผู้มีอำนาจออกหมายไปค้นด้วยตนเอง คืนนั้นพวกเราไม่ได้นอนกันเลย ศึกษาแผนที่เส้นทางการเข้าจู่โจมจับกุม บ้านเป้าหมายเป็นบ้านแบบไทย ไต้ถุนสูง ปลูกอยู่โดดเด่นกลางทุ่งนา มีบันไดทางขึ้นด้านเดียวที่ชานหน้าบ้าน ห่างจากบ้านไปเล็กน้อยเป็นป่าละเมาะ
คืนที่ปฏิบัติการเป็นคืนเดือนมืด พวกเราวางแผนจะใช้กำลังโอบล้อมบ้าน โดยเกรงคนร้ายจะโดดบ้านวิ่งหนีเข้าป่า สิ่งที่พวกเรากลัวที่สุดก็คือหมา ไม่ทราบว่าบ้านที่จะเข้าจับกุมเลี้ยงหมาไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยประมาณตีสองพวกเราก็เริ่มเดินทางไปยังบ้านเป้าหมาย ไปโดยรถยนต์จิ๊ปกับรถปิกอัพ จอดรถไกลจากบ้านเป้าหมายเป็นกิโล กลัวเสียงเครื่องยนต์รถจะทำให้คนร้ายรู้ตัว

พวกเราปฏิบัติการณ์ไม่ต่างไปกว่าพวกโจร แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำเพื่อให้กลืนกับความมืด ผู้บังคับกองฯแต่งเครื่องแบบแต่มีเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำคลุมทับ ทุกคนใช้อาวุธปืนพกสั้น เราประมาทคนร้ายไม่ได้เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ คนร้ายอาจต่อสู้ พอใกล้ถึงบ้านเป้าหมายระยะห่างประมาณ ๕๐๐ เมตร ถึงแม้จะเดือนมืดแต่ความที่บ้านอยู่เด่นกลางทุ่งนาจึงสามารถมองเห็นเป้าหมายชัด ผู้ที่มีหน้าที่โอบล้อมบ้านก็กระจายตัวออกไป ล้อมบ้านเป็นวงกลม พวกเราเดินย่องไร้เสียงเหมือนกับมีวิชาตัวเบา โชคดีที่ไม่มีเสียงหมา จะมีหมาหรือเปล่าไม่รู้ ตอนนั้นดาวหมาขึ้นแล้ว ถึงมีหมาๆก็จะหลับหมด

ผมพร้อมกำลังส่วนหนึ่งและผู้บังคับกองฯจัตุรัส ทำหน้าที่ช๊าจขึ้นบนบ้าน เราไม่รู้ว่าสภาพบนบ้านจะเป็นอย่างไร ตามแผนต้องเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุด พวกเราแต่ละคนเตรียมไฟไปด้วย ผมสังเกตเห็นกำลังชุดที่โอบล้อมเข้าประจำที่หมดแล้ว ผมนำหน้าพากำลังชุดจู่โจมขึ้นบ้านเป้าหมายอย่างรวดเร็ว บ้านเป้าหมายไช้บันไดแบบไม้ไผ่พาด ขึ้นลงไม่ดีหัวทิ่มได้ ลักษณะบ้านเป็นห้องโล่งเหมือนกับศาลาวัดแต่เล็กกว่า พอขึ้นชานบ้านได้ก็ฉายไฟส่องดู เห็นมีมุ้งหลังใหญ่กางอยู่กลางบ้าน ผมเข้าถึงมุ้งพร้อมตะโกน “เจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่าต่อสู้” ตำรวจคนอื่นๆที่วิ่งตามผมทุกคนตะโกนด้วยเสียงดัง มือข้างหนึ่งถือปืนอีกข้างฉายไฟ ลองคิดดู คนที่กำลังนอนหลับสนิทได้ยินเสียงตะโกนแบบนี้ รับรองขวัญหนีดีฝ่อ ผมตลบมุ้งขึ้นเห็นผู้ชายตัวดำๆนอนอยู่ จะมีคนอื่นนอนอยู่ด้วยหรือไม่มองไม่เห็น เพราะกำลังชุดที่ขึ้นบ้านด้วยกันปลดเชือกผูกมุ้งออก มุ้งหล่นคลุมตัวคนที่นอน ผมดึงตัวชายร่างดำๆออกมา สิ่งแรกที่ผมทำก็คือถามชื่อ ตำรวจที่ไปจับกุมทั้งหมดไม่มีใครรู้จักหรือเห็นหน้านายเกษมฯ ตอนแรกชายที่ผมดึงตัวมาบอกว่าชื่อ “เสริม” ไม่ได้ชื่อ “เกษม” ผมชักใจไม่ดี บอกพรรคพวกให้ค้นหาดูคนอื่นๆว่ามีนายเกษมฯอยู่หรือไม่ พบแต่คนสูงอายุกับผู้หญิงและเด็ก ต้องให้เอาบัตรประจำตัวมาดู โชคดีที่ชายผู้นั้นพกบัตรประชาชนไว้ในกระเป๋าใส่สตางค์ พบว่าชื่อ “เกษม สิงห์ลา” ผมดีใจที่สุดที่สามารถทำงานได้สำเร็จ ผมคาดคั้นนายเกษมฯว่าทำไมโกหกไม่บอกชื่อจริง นายเกษมฯบอกว่า ตนมีสองชื่อ ( เป็นเรื่องธรรมดาทของคนร้ายต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอด )

หลังจากทำหลักฐานเอกสารการบันทึกตรวจค้นจับกุม ลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเรียบร้อยแล้ว ผมกับพวกก็คุมตัวนายเกษม หรือเสริม สิงห์ลาเข้ากรุงเทพฯ ผมไม่ลืมขอบคุณผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรจัตุรัส นายตำรวจมืออาชีพและตงฉิน ท่านผู้นี้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการ ครั้งสุดท้ายก่อนเกษียณได้เป็นนายพล ท่านผู้นี้คือ พล.ต.ต.สิทธิพงษ์ ตั้งใจ

คดีนี้จับกุมคนร้ายได้แล้วสองคน ส่วนนายปิ่น พึ่งญาติคนร้ายอีกคนหนึ่งยังติดตามหาตัวไม่พบ ผมมาได้ข่าวตอนหลังว่า ตอนที่ผมช๊าจเข้าจับนายเกษมฯนั้น นายปิ่นฯก็นอนอยู่บ้านเดียวกัน แต่อยู่คนละมุ้ง ตำรวจค้นไม่ทั่ว นายปิ่นฯซุกตัวในซอกที่เป็นกองเสื้อผ้า ตำรวจมองไม่เห็น ต้องยอมรับครับ ทุกคนมัวให้ความสนใจคนร้ายคนแรกที่จับได้ ไม่ทันคิดว่าจะมีอีกคน ประกอบกับบ้านเป้าหมายมืดไม่มีไฟฟ้า แสงสว่างที่ใช้คือตะเกียงน้ำมันก๊าด ผมเสียดายจริงๆที่พลาดโอกาสที่จะได้ตัวนายปิ่น

การติดตามจับกุมตัวนายปิ่นฯก็ทำไป ส่วนผู้ต้องหาสองคนที่จับกุมได้ก็สอบสวนกันไป การสอบสวนไม่ยุ่งยากเพราะผู้ต้องหารับสารภาพ สำนวนการสอบสวนเสร็จ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยปฏิรูปการปกครอง โดย พลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป ยึดอำนาจการปกครอง คณะปฏิรูปมีคำสั่งให้เสนอสำนวนการสอบสวนเรื่องนี้ไปให้พิจารณา ในที่สุดคณะปฏิรูปมีคำสั่งให้ประหารชีวิต ๑ นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน ๒ นายเกษมหรือเสริม สิงห์ลา โดยการ “ยิงเป้า” ส่วนนายปิ่นฯผู้ต้องหาที่หลบหนี ให้รีบดำเนินการจับกุมตัวให้ได้

ประมาณสองเดือนต่อมา ช่วงใกล้สางวันหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆคุกบางขวางก็ได้ยินเสียงปืน“แบลคแม่น”ดังกังวาลเป็นชุดๆ หลายชุด เพชรฆาตได้ส่งวิญญาณของนางกิ่งแก้วฯและนายเกษมฯ ไปสู่สวรรค์หรือนรกไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้นบรรดาผู้คนที่ผ่านคุกบางขวางในยามค่ำคืน จะเห็นผู้หญิงสาวผมยาวเดินเท้าไม่ติดพื้นอยู่ข้างๆกำแพงคุก คนขับสามล้อรับจ้างบางคนถูกหญิงคนดังกล่าวเรียกให้จอดรับด้วยเสียงเย็นยะเยือก จนเป็นที่กล่าวขาน หนังสือพิมพ์ลงข่าวพาดหัวอีกครั้ง “วิญญาณกิ่งแก้วฯออกอาละวาด” จนผู้คนแถวนั้นต้องทำบุญสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้ วิญญาณกิ่งแก้วฯจึงได้เงียบไป เหตุการณ์นี้สอบถามคนแถวนั้นได้

ส่วนนายปิ่น พึ่งญาติ ไม่รอดจากการติดตามของผม ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่บางปะหัน จะถามข่าวคราวนายปิ่นฯ ครั้งหลังสุด หลังจากเหตุคดีนี้ผ่านพ้นไปประมาณ ๒๐ ปี ผมได้ข่าวว่านายปิ่นฯได้ไปบวชพระ บวชมานานแล้ว ตอนบวชใหม่ๆไม่มีใครบอกผม กลัวนายปิ่นฯจะถูกจับไปยิงเป้า เหตุที่นำข่าวมาบอกเพราะเห็นว่า น่าจะขาดอายุความการดำเนินคดีอาญาแล้ว ประกอบกับการปกครองในตอนนั้น เป็นประชาธิปไตยแล้ว คดีจะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ผู้ต้องหารับสารภาพอาจได้รับการลดหย่อนโทษ ไม่ต้องถูกประหาร เรื่องของพระปิ่นฯเป็นความลับที่ผมรู้แต่เพียงผู้เดียว มาถึงวันนี้ผมยังไม่ได้ติดตามว่าพระปิ่นจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะอายุ ๖๐ กว่าแล้ว ผมคงจะติดตามหาข่าวลำบาก เพราะคนที่คอยส่งข่าวผมก็โดนมะเร็งเล่นงาน ตายไปเมื่อปีที่แล้ว.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์