บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ภัยจากพี่เลี้ยงเด็ก ตอนที่ 1 (พี่เลี้ยงขโมยเด็ก)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› ภัยจากพี่เลี้ยงเด็ก ตอนที่ 1 (พี่เลี้ยงขโมยเด็ก)




ท่านที่มีลูกหลานเล็กๆ ก่อนตัดสินใจหาพี่เลี้ยงเด็ก กรุณาอ่านเรื่องนี้ก่อน ไม่ได้ขู่ให้ตกใจกลัว แต่เตือนสะติว่าเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้น เพื่อที่จะได้เพิ่มความระมัดระวังและมีความรอบคอบในการจัดหาพี่เลี้ยง ทารกเกิดใหม่ไม่เหมือนกันทุกคน บางคนก็เลี้ยงง่าย ไม่ร้องไม่อ้อน แต่บางคนร้องได้ร้องดี ร้องเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตื่นนอนเป็นร้อง ทั้งนี้ก็อยู่ที่ยีนส์ของพ่อกับของแม่ เด็กที่ ไอ.คิว.สูงมักจะร้องมากตอนเป็นทารก พ่อแม่บางคนทนรับสภาพนี้ไม่ไหว ทำบางอย่างลงไปด้วยอารมณ์โมโหจนลูกตายก็มี บางคนจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาช่วย เด็กอยู่กับพี่เลี้ยงจะเงียบไม่งอแง แรกๆก็ชมว่าพี่เลี้ยงเก่ง แต่พอพี่เลี้ยงออกไปแล้ว ลูกกลับมาร้องอีก กว่าจะรู้ว่าลูกตัวเองโดนยานอนหลับบดใส่ผสมไปกับนมที่ให้ลูกดื่ม ก็เกือบจะสาย เรื่องลูกติดยานอนหลับยังเป็นเรื่องเล็ก ที่ผมจะนำมาเล่าต่อไปนี้ ถึงตายดีเดียว

ครั้งที่ผมรับราชการอยู่ที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลใต้ ช่วงนั้นมีคดีจับคนเรียกค่าไถ่เกิดขึ้นมาก คดีที่กินใจกระทบกระเทือนความรู้สึกมากก็คือ คดีคนร้ายจับตัว ด.ช.วีระชัย ฯ อายุ ๖ ขวบไปเรียกค่าไถ่ เหตุเกิดท้องที่ สน.บางรัก ด.ช.วีระชัยฯเป็นลูกของพ่อค้าคนจีน ซึ่งประกอบอาชีพค้าขายอาหาร ร้านชื่อดังย่านสีลม ก.ท.ม. มีฐานะร่ำรวย ด.ช.วีระชัยฯเป็นเด็กน่ารัก พ่อแม่เอาใจ มีพี่เลี้ยงเป็นหญิงชาวโคราชอายุ ๒๐ กลางๆ ชื่อ น.ส.กิ่งแก้ว ลอสูงเนิน ด.ช.วีระชัยฯเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนอนุบาลแถวถนนมหาพฤฒาราม ในย่านใกล้เคียงกับที่พักอาศัย ทุกเช้าจะมีรถบ้านขับไปส่งที่โรงเรียนและรับกลับตอนเลิกเรียน โดยมีกิ่งแก้วฯพี่เลี้ยงคอยรับคอยส่ง เป็นเช่นนี้อยู่หลายปี เป็นที่ทราบกันดีในบรรดาครูบาอาจารย์ ตอนเย็นเลิกเรียนอาจารย์ผู้ปกครองเห็นกิ่งแก้วฯมารอรับก็จะไปตาม ด.ช.วีระชัยฯให้ ครูอาจารย์ที่โรงเรียนรู้จักกิ่งแก้วฯมากกว่าพ่อและแม่ของ ด.ช.วีระชัยฯ และ ด.ช.วีระชัยฯกับกิ่งแก้วฯก็มีความรักความผูกพักพันกัน ชนิดที่เรียกได้ว่า เด็กติดพี่เลี้ยงมากกว่าพ่อแม่

ปัญหาเรื่องลูกเล็กๆติดพี่เลี้ยงเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่บางรายไม่สนใจ กลับนึกดีใจที่ลูกติดพี่เลี้ยง ตัวเองจะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวก ทิ้งลูกไว้กับพี่เลี้ยง นั่นแหละภัยกำลังจะมาถึงโดยไม่รู้ตัว ผมยังเชื่อว่าไม่มีใครรักลูกมากเท่าพ่อแม่ รองๆลงไปก็ปู่ย่าตายาย เพราะเด็กคือสายโลหิต การตามใจเด็กในทุกๆทางมิได้หมายความว่ารักเด็กเสมอไป การเลี้ยงเด็กจำเป็นจะต้องสอนให้เด็กเรียนรู้ไปในตัว นั่นคือเราไม่สามารถตามใจเด็กไปเสียทุกอย่าง แต่ตรงกันข้ามกับพี่เลี้ยงเด็กซึ่งมักจะตามใจ อาหารหรือขนมหวานบางอย่างไม่ควรให้เด็กได้ลิ้มรส แต่เผลอๆพี่เลี้ยงแอบป้อนให้ เด็กเลยชอบจนกลายเป็นติด พ่อแม่ให้อาหารตามสูตรคุณภาพซึ่งไม่ค่อยมีรสชาติ เด็กไม่ชอบจึงร้องหาแต่พี่เลี้ยง

สำหรับรายคุณกิ่งแก้วฯ อยู่มาวันหนึ่งกิ่งแก้วฯเกิดปัญหากับครอบครัวเด็ก ถูกไล่ออกจากบ้าน ด.ช.วีระชัยฯมิได้รู้ในเรื่องนี้ด้วย ตกเย็นกลับบ้านไม่เห็นกิ่งแก้วฯวีระชัยฯก็ได้แต่ร้องไห้ จะหากิ่งแก้วฯ พ่อแม่ไม่รู้จะอธิบายลูกอย่างไรก็เลยโบ้ยไปว่ากิ่งแก้วฯเป็นคนไม่ดี และหนีออกจากบ้านไป เด็กอายุเพียง ๖ ขวบไม่รับรู้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น โหยหาแต่พี่เลี้ยงเพราะทุกคืนนอนอยู่ด้วยกัน พ่อแม่คิดว่าใช้เวลาไม่กี่วันลูกก็คงจะหายคิดถึงไปเอง แต่พ่อแม่คิดผิดถนัด ด.ช.วีระชัยฯหยุดร้องไห้ กลายเป็นเด็กเงียบขรึม ภาวะซึมเศร้าเริ่มเข้าสู่จิตใจเด็ก พ่อแม่พยายามผลัดเปลี่ยนกันไปส่งและรับลูกที่โรงเรียน หวังที่จะเข้าไปนั่งในจิตใจเด็กแทนพี่เลี้ยง

สิ่งที่พ่อกับแม่มองข้ามไปก็คือ ไม่ได้บอกกับครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนว่า ได้ไล่กิ่งแก้วฯพี่เลี้ยงของลูกออกจากบ้านไปแล้ว วันหนึ่งเวลากลางวันใกล้เที่ยง เป็นระยะเวลาหลังจากที่กิ่งแก้วฯถูกไล่ออกไปประมาณ ๑ อาทิตย์ กิ่งแก้วฯไปหา ด.ช.วีระชัยฯที่โรงเรียน ครูทุกคนรู้จักกิ่งแก้วฯอยู่แล้ว ช่วยตาม ด.ช.วีระชัยฯมาพบ ด.ช.วีระชัยฯโผเข้ากอดกิ่งแก้วฯด้วยความดีใจ แล้วกิ่งแก้วฯก็พา ด.ช.วีระชัยฯออกจากโรงเรียนไป

ครั้นถึงเวลาเลิกเรียน แม่ของ ด.ช.วีระชัยฯไปรับที่โรงเรียน พอรู้ว่าลูกไปกับกิ่งแก้วฯอดีตพี่เลี้ยง แม่ถึงกับลมใส่ ครูก็บอกว่าไม่เคยได้ทราบเรื่องที่พี่เลี้ยงถูกไล่ออก ทุกครั้งเห็นพี่เลี้ยงมารับมาส่งก็เลยอนุญาตให้ ด.ช.วีระชัยฯไปกับพี่เลี้ยง เป็นอันว่าวันนั้นกิ่งแก้วฯไม่ได้พา ด.ช.วีระชัยฯส่งบ้าน รอจนค่ำ พ่อและแม่ของ ด.ช.วีระชัยฯจึงได้ไปแจ้งกับพนักงานสอบสวน สน.บางรัก ไม่มีใครทราบชะตากรรมของวีระชัยฯ ตำรวจก็ได้แต่ปลอบใจผู้ปกครองว่า พี่เลี้ยงคงไม่ทำอันตรายเด็ก เพราะพี่เลี้ยงกับเด็กรักกัน ตำรวจออกติดตามหาตัวกิ่งแก้วฯ ข้อมูลเกี่ยวกับกิ่งแก้วฯมีไม่มาก พ่อแม่เด็กทราบเพียงว่ากิ่งแก้วฯเป็นคนโคราช ไม่ทราบบ้านเลขที่ ตำบล อำเภอ ข้อมูลประชากรจากกองบัตรประชาชนยังไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ไม่สามารถตรวจสอบหาภูมิลำเนาของกิ่งแก้วฯได้ ประมาณ ๕ วันต่อมาพ่อแม่ของวีระชัยฯก็ได้รับจดหมาย บอกให้นำเงินสดจำนวน ๒๐๐,๐๐๐.-บาทไปไถ่ตัว ด.ช.วีระชัยฯ จดหมายไม่ได้ลงชื่อว่ามาจากผู้ใด เพียงแต่บอกว่า ให้นำเงินสดจำนวนดังกล่าวใส่ถุงมัดให้แน่น กำหนดวันเวลาส่งเงินค่าไถ่ชัดเจน เป็นเวลากลางวัน โดยให้คนนำเงินค่าไถ่เดินทางโดยรถไฟสายกรุงเทพ-โคราช (นครราชสิมา) ขบวนนี้ปลายทางอุบลราชธานี คนร้ายกำหนดจุดที่ส่งเงินค่าไถ่ ระหว่างสถานีรถไฟสีคิ้วกับสถานีสูงเนิน โดยให้สังเกตธงสีแดงปักไว้ ซึ่งจะอยู่ทางด้านขวาของขบวนรถ เมื่อขบวนรถไฟผ่านเห็นธงแดงให้โยนห่อเงินลงข้างทาง ห้ามหยุดขบวนรถและห้ามแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อคนร้ายได้เงินครบถ้วนแล้วจะส่งตัวเด็กกลับบ้าน หากไม่ทำตามที่คนร้ายบอก จะไม่ได้ตัวเด็กคืน

วิธีการของคนร้ายแก๊งนี้ แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปหลายปีแล้ว ก็ยังทันสมัย ท่านลองคิดตาม คนร้ายบังคับให้ส่งเงินค่าไถ่โดยขบวนรถไฟ หากจะให้ตำรวจนอกเครื่องแบบติดตามเพื่อจู่โจมจับกุมตอนที่คนร้ายไปเก็บเงิน ทำไม่ได้เพราะต้องนั่งรถไฟเท่านั้น รถยนต์ใช้ไม่ได้ จะหยุดขบวนรถไฟก็เป็นเรื่องใหญ่ คนร้ายจะรู้ตัว จะกระโดดจากขบวนรถซึ่งมีความเร็วก็เสี่ยง จะวางกำลังดักที่ภาคพื้นดินก็ทำลำบาก ไม่รู้ว่าจุดส่งเงินอยู่ตรงไหน ระยะทางจากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่งห่างเป็นสิบๆกิโล เป็นเรื่องปกติของพ่อแม่ที่รักลูก ยอมเสียเงินค่าไถ่ เสียเงินเท่าใดไม่ว่าขอให้ลูกปลอดภัย พ่อและแม่ของเด็กจึงได้มอบเงินสองแสนบาทให้ฝ่ายสืบสวนของ สน.บางรัก นำไปส่งให้คนร้ายตามที่นัดหมาย จำได้ว่าขบวนรถไฟที่ตกลงกันนั้น เป็นขบวนรถเร็ว ออกจากกรุงเทพฯเวลาประมาณสิบโมงเช้าเศษๆ ไปถึงโคราชประมาณบ่ายสี่โมง นายตำรวจระดับรองสารวัตรสืบสวน สน.บางรักพร้อมกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ

จากปากคำของนายตำรวจผู้ถือเงินค่าไถ่ไปให้โจร เล่าให้ฟังว่า ขบวนรถเร็วกรุงเทพฯ-อุบลราชธานีในวันนั้นผู้โดยสารไม่มาก ตำรวจนอกเครื่องแบบจึงจองนั่งด้านข้างขวาขบวนรถ เพื่อช่วยกันสังเกตจุดที่คนร้ายนัดหมาย พอขบวนรถไฟเข้าเขตสถานีสีคิ้ว สายตาตำรวจทุกคู่ต่างเพ่งเล็งไปยังข้างทางด้านขวาของขบวนรถ ทำเลสองข้างทาง (ในปี พ.ศ.ที่เกิดเหตุ) ช่างเหมาะสมเหลือเกิน ห่างเส้นทางรถไฟไปประมาณ ๕๐ เมตร เป็นป่าทึบต่อเนื่องเป็นพืด ถ้านั่งในขบวนรถจะไม่มีสิทธิ์มองเห็นผู้คนที่ซุ่มอยู่ในป่า จากสถานีสีคิ้วไปถึงสถานีสูงเนินระยะทางประมาณ ๑๕ กม. ใช้เวลาเดินทางสิบกว่านาที ความเร็วของขบวนรถเร็วประมาณ ๙๐ กม./ชม. ตำรวจมองไม่เห็นธงแดง เลยไม่ได้โยนเงินลงข้างทาง (หลังจากคดีนี้คลี่คลายแล้วจึงได้ทราบว่า ธงแดงของคนร้ายนั้นก็คือ การเอาผ้าแดงผืนใหญ่ประมาณ ๑ ศอกผูกติดกับกิ่งไม้ข้างทางรถไฟ แต่ความเข้าใจของตำรวจคิดว่า ต้องเป็นธงสีแดงผูกติดเสาปักกับพื้นดิน การสื่อความหมายเข้าใจไม่ตรงกัน จึงทำให้เกิดการผิดพลาด) เมื่อแผนเกิดผิดพลาด ทางปฏิบัติต้องรายงานให้ผู้อำนวยการสืบสวนทราบ ว่าจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร สมัยนั้นการติดต่อสื่อสารไม่สะดวก ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ตำรวจชุดปฏิบัติการตั้งใจทำงาน เมื่อมองไม่เห็นธงแดงก็เลยไม่ได้โยนเงินให้คนร้าย จะนั่งขบวนรถไฟเที่ยวกลับเพื่อสังเกตธงแดงอีกครั้ง เมื่อตรวจสอบขบวนรถแล้วจะมีอีกทีก็มืด อีกประการหนึ่งเป็นการผิดข้อตกลงของคนร้าย ตำรวจจึงตัดสินใจเข้าไปหาข่าวในหมู่บ้าน สืบหาที่อยู่ของกิ่งแก้วฯ โดยเชื่อว่ากิ่งแก้วฯต้องเป็นคนมีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.สีค้วหรือไม่ก็ อ.สูงเนิน

ผู้ที่จะช่วยในการหาข่าวได้เป็นอย่างดีก็คือตำรวจท้องที่ ชุดสืบสวนจาก สน.บางรักจึงได้ประสานกับตำรวจท้องที่ โดยเริ่มต้นค้นหาที่นามสกุลของกิ่งแก้วฯ คือ “ลอสูงเนิน”ได้ผลคนที่เกิดและอาศัยที่ อ.สูงเนิน จะใช้นามสกุลที่ลงท้าย “สูงเนิน” เป็นส่วนใหญ่ จากตำรวจท้องที่ก็ได้มีการประสานต่อไปยังผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนราษฎร์ ชุดสืบสวนของ สน.บางรักได้กำชับการหาข่าวเรื่องนี้แล้วว่า ให้ทำอย่างลับๆ สิ่งที่ชุดสืบสวน สน.บางรักคาดไม่ถึงก็คือ คนต่างจังหวัดจะรู้จักและเป็นญาติกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ปรากฏว่าผู้ใหญ่บ้านผู้หนึ่งที่ตำรวจท้องที่ไปขอความร่วมมือ เป็นญาติห่างๆกับกิ่งแก้วฯ ข่าวที่ตำรวจกำลังติดตามหาตัวกิ่งแก้วฯก็ถึงหู คนร้าย ทำให้คนร้ายรู้ตัวและวางแผนแก้ไขสถานการณ์

เด็กชายวระชัยฯไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกๆพบพี่เลี้ยงก็ดีใจโผเข้าหา กิ่งแก้วฯไม่ได้พากลับบ้าน บอกว่าจะพาไปเที่ยว ความที่เด็กติดพี่เลี้ยงก็เลยตามพี่เลี้ยงไป แต่พออยู่ไปข้ามคืนก็คิดถึงพ่อแม่อยากจะกลับบ้าน กิ่งแก้วฯก็พยายามล่อหลอกต่างๆนาๆ ความสะดวก ความสุขสบายที่บ้านนอกไม่เหมือนกับที่กรุงเทพฯ ด.ช.วีระชัยฯเอาแต่ร้องไห้ ยิ่งตอนที่คนร้ายรู้ตัวว่าตำรวจแกะรอยมาถูกทาง จึงได้พากันหลบหนี การหนีก็ต้องหอบหิ้วเอาตัว ด.ช.วีระชัยฯไปด้วย ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ การหลบหนีเกิดอุปสรรคเพราะ ด.ช.วีระชัยฯร้องไห้ไม่ยอมหยุด คนร้ายจึงวางแผนจัดการกับ ด.ช.วีระชัยฯ ผู้ที่จะทำให้ ด.ช.วีระชัยฯหยุดร้องได้มีเพียงคนเดียว คือ กิ่งแก้วฯ คนร้ายชายที่ร่วมแก๊งมี ๒ คน หารือว่าจะทำอย่างไรกับวีระชัยฯ จะปล่อยไว้ก็เกรงอันตรายเพราะเด็กจำหน้าได้ จะฆ่าเด็กเพื่อปิดปาก กิ่งแก้วฯก็เกิดสงสารเพราะเลี้ยงดูมาแต่เล็ก คนร้ายชายจึงให้เป็นหน้าที่ของกิ่งแก้วฯที่จะตัดสินใจ
กิ่งแก้วฯพยายามพูดปลอบประโลมวีระชัยฯว่าจะพากลับบ้าน ขอให้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ รุ่งเช้าจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ว่าแล้วกิ่งแก้วฯก็อุ้มวีระชัยฯไว้กับอก ฮัมเพลงกล่อมไป ใจก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี กิ่งแก้วฯกลัวถูกจับติดคุก แต่ถ้าหากไม่มีวีระชัยฯก็จะไม่มีพยานหลักฐาน ไม่นานวีระชัยฯก็หลับสนิท กิ่งแก้วฯค่อยๆบรรจงวางวีระชัยฯลงกับพื้นดินมีผ้าปูรอง วีระชัยฯหลับอย่างมีความสุข ท่ามกลางความฝันว่ารุ่งขึ้นจะได้กลับบ้านพบพ่อแม่ กิ่งแก้วฯตัดสินใจครั้งสุดท้าย ใช้มีดปลายแหลมใบมีดคมกริบยาวประมาณ ๑ คืบ เสียบเข้าตรงบริเวณขั้วหัวใจของวีระชัยฯจนสุดใบมีด แม้จะหลับอยู่วีระชัยฯก็ร้องกรีดด้วยความเจ็บปวดแล้วสิ้นลมหายใจอย่างน่าเวทนา คนร้ายอีก ๒ คนก็ช่วยกันขุดหลุมฝังศพของวีระชัยฯ แล้วแยกย้ายกันหลบหนี เวรกรรมมีจริง เห็นกันในชาตินี้ การสังหารเด็กของกิ่งแก้วฯรู้ถึงหูผู้คนย่านนั้น ชาวบ้านที่รู้ข่าวถึงจะเป็นคนรู้จักกับกิ่งแก้วฯ แต่ทุกคนรับไม่ได้กับการกระทำของกิ่งแก้วฯ คืนนั้นเองกิ่งแก้วฯก็ถูกจับกุมตัวได้ โดยความร่วมมือของชาวบ้าน แต่คนร้ายที่เป็นชายอีกสองคนไม่ใช่คนในพื้นที่ ชาวบ้านไม่รู้จัก หลบหนีการจับกุมไปได้อย่างหวุดหวิด

กิ่งแก้วฯถูกตำรวจจับกุมตัว ชั้นแรกทำปากแข็งปฏิเสธไม่รู้เรื่อง ด.ช.วีระชัยฯหายตัว แต่เมื่อโดนตำรวจซักถามอย่างหนัก ก็ต้องยอมจำนน เพราะมีพยานหลักฐานยืนยันดิ้นไม่หลุด ครูโรงเรียนยืนยันว่ากิ่งแก้วฯรับตัว ด.ช.วีระชัยฯไปจากโรงเรียน ชาวบ้านใกล้เคียงยืนยันว่ากิ่งแก้วฯพาเด็กเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านด้วย ในที่สุดกิ่งแก้วฯถึงกับร้องไห้โฮ สำนึกได้ว่าไม่ควรที่จะฆ่าเด็กพร้อมกับรับสารภาพว่า ได้ฆ่า ด.ช.วีระชัยฯแล้วพาไปยังสถานที่ฝังศพ ตำรวจตามไปขุดเอาศพ ด.ช.วีระชัยฯมาทำการชันสูตรตามระเบียบ

ตำรวจคุมตัวกิ่งแก้วฯไปควบคุมที่ สน.บางรัก หนังสือพิมพ์ทุกข์ฉบับลงข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง ญาติพี่น้องผู้ตายและคนทั่วไปที่ทราบข่าว ต่างพากันไปตระโกนด่าสาปแช่งกิ่งแก้วฯที่โรงพัก แม้แต่ผู้ต้องหาคดีอื่นในห้องควบคุม ต่างพากันด่าประณามว่ากิ่งแก้วฯเป็นคนที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ผู้ต้องหาทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คดีแบบนี้ต้องถูก “ยิงเป้า”แน่นอน กิ่งแก้วฯได้แต่ร้องไห้เหมือนจะรู้สำนึกผิด แต่ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว คืนนั้นเองตอนกลางดึก กิ่งแก้วฯได้ฉีกเสื้อยืดซึ่งเป็นเสื้อตัวเดียวที่เธอสวมใส่ เธอฉีกออกเป็นเส้นๆแล้วผูกมัดต่อเป็นเส้นยาว เธอตัดสินใจที่ผูกคอตัวเองกับซี่กรงห้องควบคุม
ยังไม่จบง่ายๆครับ โปรดติดตามอ่านตอนที่ ๒
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์