บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
โจรงัดเซฟ ตอนที่ 1
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› โจรงัดเซฟ ตอนที่ 1
ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อจะฝากเตือนท่านที่เก็บทรัพย์สินของมีค่าไว้ในตู้เซฟ อย่าคิดว่าตู้เซฟจะปลอดภัย กลับตรงกันข้าม ตู้เซฟกลายเป็นสิ่งดึงดูดให้โจรเข้าบ้าน เพราะมันคิดว่าท่านต้องมีของมีค่าจำนวนมาก จึงต้องหาตู้เซฟมาใส่ และเป็นความสะดวกของคนร้ายไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาของมีค่า ผู้ที่มีตู้เซฟแล้วคงไม่เก็บของมีค่าไว้นอกตู้ ความสะดวกเช่นนี้คล้ายกับการให้บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว แต่ความรู้สึกของคนที่โดนโจรเข้าบ้าน นอกจากจะเสียดายของมีค่าที่ต้องใช้เวลาหาด้วยน้ำพักน้ำแรง ยังจะต้องหวาดผวาไปตลอดชีวิต ด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัยแม้แต่ในบ้านของท่านเอง

บทความเรื่องนี้ช่วยท่านได้ ผมว่าตู้เซฟยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เก็บของมีค่า แต่ต้องเลือกหาซื้อให้เป็น ต้องรู้ว่าจุดอ่อนของตู้เซฟอยู่ตรงไหน ท่านควรจะเก็บเซฟไว้อย่างไรจึงจะปลอดภัย แม้แต่ตู้นิรภัยรับฝากของที่ธนาคารยังไม่ปลอดภัยเลย โดนมือดีเจาะไปแล้ว ท่านควรจะรู้ด้วยว่า ความรับผิดชอบของธนาคารกรณีเช่าตู้นิรภัยมีมากน้อยเท่าใด

เมื่อวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ๕ ธันวาคมที่เพิ่งผ่านไป หลายคนมีความสุขกับงานเฉลิมฉลอง ชื่นชมไฟประดับ ดอกไม้ไฟ พลุหลากสี แต่พรรคพวกผมที่อยู่หมู่บ้านปาริชาติที่พุทธมณฑลสาย ๕ ไม่ได้มีความสุขไปกับเขาด้วย เพราะถูกไอ้โจรห้าร้อยตัดตู้เซฟ สูญของมีค่าไปมูลค่าเกือบ ๒ ล้านบาท บ้านเพิ่งตกแต่งเสร็จเข้าไปอยู่ได้ไม่ถึงปี ตู้เซฟใหม่ “โอตานี่”หนักเกือบครึ่งตัน สูงเกือบถึงหัวอก มันจับเคลื่อนที่ยังกับของเบา เปิดฝาเซฟออกโดยไม่สนรหัส มันทำงานเวลากลางวันแสกๆ ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ได้ไปเกือบ ๒ ล้าน ทิ้งไว้แต่ร่องรอยเจียร์ที่บานพับฝาเซฟ ให้สารวัตรไพทูลฯกับสารวัตรอิทธิพลฯ มือสอบและมือสืบของ สภ.โพธิ์แก้ว นครปฐม ปวดหมองอยู่จนทุกวันนี้
ช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจนครบาล ๔ เคยพิชิตแก๊งโจรปล้นเซฟมาแล้ว ( เป็นผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาของผม คือกองสืบสวนตำรวจนครบาล ๔ ร่วมกับชุดสืบสวนกองปราบปราม ) ถ้าท่านติดตามอ่านเรื่องนี้ จะทราบถึงวิธีการสืบสวน ดูแล้วไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เพียงผู้สืบสวนให้ความสนใจ เก็บรายละเอียดจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ นำมาปะติดปะต่อ เป็นเรื่องเป็นราว สืบสาวถึงตัวการได้ เคยได้บอกไปแล้วว่า อาชญากรรมทิ้งร่องรอยเสมอ ค้นหามันให้พบ

ผมเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล ๔ อยู่สองปี เกิดคดีคนร้ายปล้นทรัพย์ยกตู้เซฟ ๓ คดี ในจำนวน ๓ คดีนี้ มียาม (รปภ.)เสียชีวิตไป ๑ คน แต่ละสถานที่ๆถูกปล้น มียาม รปภ.เฝ้าทั้งสิ้น รปภ.ไม่มีความหมายสำหรับโจรแก๊งนี้ และยังมีเรื่องพิลึกกึกกืออีกเรื่อง ธนาคารใหญ่ในท้องที่ สน.หัวหมาก ถูกโจรงัดแงะเข้าไปเจาะตู้นิรภัยรับฝากของ เกิดคดีใหญ่ๆขึ้นหลายครั้งเช่นนี้ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ก็ต้องนอนไม่ค่อยหลับเป็นธรรมดา ฝ่ายสืบสวนต้องทำงานอย่างหนัก ในที่สุดก็ไม่พ้นความสามารถไปได้

คดีปล้นยกเซฟที่ทำให้ได้ร่องรอยคนร้าย คือคดีปล้นเซฟของบริษัทซิตี้ลิสซิ่งจำกัด ซอยลาดพร้าว ๘๗ ท้องที่ สน.โชคชัย บริษัทดังกล่าวนี้เป็นบริษัทใหญ่ อยู่ติดถนนเรียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา ธุรกิจหลักรับจัดไฟแน้นซ์รถยนต์ มีลูกค้ามากจนต้องเปิดรับชำระค่างวดผ่อนรถในวันเสาร์ด้วย คนร้ายแก๊งนี้ก็เป็นลูกค้าของบริษัท จึงคาดเดาได้ถูกต้องว่า ยอดเงินที่รับชำระจากลูกค้าในวันเสาร์เป็นหลักล้าน และจะต้องเก็บเงินไว้ที่บริษัทเพราะวันเสาร์ธนาคารปิด ฉะนั้นบริษัทนี้ต้องมีเซฟขนาดใหญ่แน่นอน แก๊งโจรกรรมเซฟจึงยกโขยงมาลงงานที่นี่ คืนเกิดเหตุเป็นคืนวันเสาร์ เวลาประมาณห้าทุ่มเศษ กลุ่มคนร้ายชายฉกรรจ์ก็พากันไปที่บริษัทดังกล่าว คืนนั้น นายประภาศ จรัสกาย ทำหน้าที่เฝ้ายามด้านหลังบริษัท ถูกแก๊งโจรจับตัวได้เป็นคนแรก ยามบ้านเราก็พอรู้ๆกัน อาวุธประจำกายที่สำคัญคือกระบอง แถมมีกุญแจมือห้อยประดับให้ดูแล้วโก้ เอาเข้าจริงแล้วไม่ได้เรื่อง กลายเป็นเครื่องมือให้คนร้ายใช้เป็เครื่องพันธนาการไป นายประภาศฯถูกแก๊งคนร้ายจับมือสองข้างไพล่ด้านหลัง แล้วเอากุญแจมือแสนโก้ของยามนั่นแหละ ใส่ข้อมือสองข้างติดกันไว้ด้านหลังลำตัว เท่านั้นยังไม่พอ ข้อเท้าทั้งสองข้างของนายประภาศฯ ถูกสวมด้วยกุญแจมืออีกคู่ นายประภาศฯไม่มีโอกาสส่งเสียงร้องบอกเพื่อนซึ่งเป็นยามอยู่หน้าบริษัท เพราะคนร้ายมีความชำนาญและรวดเร็วกว่า คนร้ายคนหนึ่งใช้ผ้าเทปกาวหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า เทปหนังไก่ พันรอบหัวนายประภาศฯ เริ่มตั้งแต่หน้าผาก พันต่อเนื่องไปจนถึงคอ พันต่อซ้อนกันอย่างถี่ยิบ ปิดตาปิดหูปิดจมูกปิดปาก โดยพันทับกันหลายทบหลายเที่ยวจนดูคล้ายมัมมี่ แล้วคนร้ายใช้เชือกไนลอนผูกโยง จากกุญแจที่ใส่ข้อมือไปยังกุญแจที่ใส่ข้อเท้า รัดเข้าหากันจนแน่น ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนได้ ท่านลองทำท่าทางตามที่ผมบอกจะพบว่า การมัดลักษณะนี้มันทรมานน่าดู อนิจจา ตอนที่ผมทราบเหตุและไปแกะผ้าเทปออก นายประภาศฯได้ขาดใจตายไปก่อนแล้ว เหตุเพราะขาดอากาศหายใจ

ด้านหน้าบริษัทมียามอีก ๑ คนคือ นายพงษ์ศักดิ์ นันทเสนีย์ นั่งโก้อยู่ในตู้ยาม คนร้ายขับรถไปจอดที่ถนนในระยะห่าง แล้วคนร้ายลงจากรถไปสอบถามเส้นทาง ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ฯพยายามจะอธิบายบอกทางตามประสาคนไทยใจดี ก็ปรากฏว่ามีคนร้ายอีกคนหนึ่งย่องไปทางด้านหลัง ใช้อาวุธปืนจี้ แล้วนายพงษ์ศักดิ์ฯก็ถูกพันธนาการเช่นเดียวกันกับที่นายประภาศฯโดน แต่ของนายพงษ์ศักดิ์ฯไม่โหดเท่า เพราะไม่มีกุญแจมือห้อยโก้เหมือนนายประภาศฯ จึงโดนแค่เชือกมัดมือสองข้างไว้ทางด้านหลังแล้วผูกโยงติดกับข้อเท้าทั้งสองข้าง นายพงษ์ศักดิ์ฯถูกหิ้วไปทิ้งไว้ในห้องน้ำที่อยู่ติดกับตู้ยาม แล้วคนร้ายก็เข้าไปปฎิบัติการในบริษัท

นายพงษ์ศักดิ์ฯเป็นคนฉลาดจึงสามารถเอาชีวิตรอดได้ ท่านผู้อ่านจำเอาวิธีการของนายพงษ์ศักดิ์ฯไปเป็นตัวอย่างในการแก้ปัญหาก็ได้นะครับ นายพงษ์ศักดิ์ฯบอกว่า เขาเกือบจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจ อาจเป็นความสะเพร่าของคนร้ายหรือไม่ก็เป็นความโชคดีของพงษ์ศักดิ์ฯ ผ้าเทปที่พันผ่านบริเวณปากถูกพันทาบเพียงครั้งเดียว นายพงษ์ศักดิ์ฯพยายามทำลิ้นของตนให้แข็ง แล้วใช้ลิ้นดุนผ้าเทปถูไปกับพื้นซีเมนต์ห้องน้ำ ใช้น้ำลายถ่มถุยช่วย ทำให้ผ้าเทปยุ่ย โชคดีที่พื้นห้องน้ำเป็นซีเมนต์ ไม่ได้ปูกระเบื้อง พื้นห้องน้ำหยาบไม่เรียบ ถูไปถูมากับพื้นหลายๆครั้ง ผ้าเทปขาดเป็นรูตรงบริเวณที่ใช้ปลายลิ้นดุน เป็นรูขนาดปลายนิ้วก้อย สามารถหายใจทางปากผ่านรูดังกล่าว เลยรอดตาย แต่นายพงษ์ศักดิ์ฯก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้ เพราะถูกมัดโยงจนตัวเป็นวงกลมคล้ายกิ้งกือ กว่าจะมีคนมาพบตอนที่เปลี่ยนกะเวรยามก็เกือบสว่าง พอถูกแก้มัด นายพงษ์ศักดิ์ฯเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น มีโอกาสถ่ายทอดเหตุการณ์ให้ผมได้ทราบ และหลังจากคดีนี้แล้ว นายพงษ์ศักดิ์ฯก็บอกลาอาชีพยาม กลับไปทำนาที่ต่างจังหวัดตามเดิม

จากการสอบสวนและตรวจสถานที่เกิดเหตุ พบว่าตู้เซฟขนาดใหญ่ น้ำหนักประมาณครึ่งตัน อยู่บนชั้นที่ ๔ ของอาคารบริษัทหายไป ที่แปลกก็คือ คนร้ายเคลื่อนย้ายเซฟไปทางบันได ไม่ใช้ลิฟต์ ผมสันนิษฐานว่า คงหลีกเลี่ยงกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่ติดตั้งไว้ในลิฟต์ (เข้าใจว่าคนร้ายคงหาข้อมูลไว้ก่อนแล้ว) ในตู้เซฟดังกล่าวมีเอกสารสำคัญและเงินสดประมาณ ๕ ล้านบาท รวมทั้งบัตร เอ.ที.เอ็ม.อีก ๕ ใบ เงินในบัญชีที่ใช้กับบัตร เอ.ที.เอ็ม.ดังกล่าวยังเหลืออยู่จำนวนแสนบาททุกบัญชี ที่น่าเป็นห่วงก็คือ บัตร เอ.ที.เอ็ม.แต่ละใบอยู่ในซองซึ่งจดเลขรหัส (PIN)ไว้ด้วย

ผมและทีมงานสืบสวนได้ขอความร่วมมือเจ้าของบริษัท ไม่อายัดบัตร เอ.ที.เอ็ม. เจ้าของบริษัทยินยอมร่วมมือ วิธีนี้เรียกว่า “กุ้งฝอยตกปลากะพง” คือยอมเสียเงินอีกหลายแสนบาทเพื่ออ่อยเหยื่อจับคนร้าย ซึ่งก็ได้ผล ตำรวจประสานกับธนาคารเจ้าของบัตร เอ.ที.เอ็ม. เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของบัตร เป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควรเพราะบัตร เอ.ที.เอ็ม.สามารถถอนต่างธนาคารได้ หลังจากตรวจสอบข้อมูลพบว่า คนร้ายใช้บัตร เอ.ที.เอ็ม.ถอนเงินออกจากบัญชีหลายครั้ง คนร้ายเป็นคนมีไหวพริบ เลือกใช้บัตรกับตู้ถอนเงินที่ไม่ติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิด พอได้ข้อมูลว่าคนร้ายได้ใช้บัตรถอนเงินแล้ว เราจึงขอให้ทางผู้เสียหายอายัดบัตรได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหาย

รายการถอนเงินด้วยบัตรของคนร้ายถูกนำมาตรวจสอบ คนร้ายถอนเงินจากตู้ เอ.ที.เอ็ม.ซึ่งอยู่แถวถนนรามอินทรา ตู้ดังกล่าวไม่ได้ติดกล้องจึงไม่มีภาพ แต่เราได้รายชื่อผู้ที่ทำรายการถอนเงินต่อจากคนร้าย จึงได้ไปทำการสอบสวนบุคคลดังกล่าว ได้ผลครับ คนร้ายคิดว่าฉลาดแล้ว เลือกถอนเงินจากตู้ที่ไม่มีกล้อง แต่ความโลภของคนร้ายทำให้ทิ้งร่องรอย จากปากคำของพยานที่เข้าคิวรอถอนเงินต่อจากคนร้าย เป็นผู้หญิง เธอหมั่นไส้คนร้ายมากเพราะทำรายการนาน ใช้บัตรหลายใบ กดถอนเงินหลายหน ใช้เวลานานมาก คนยืนรอต่อคิวเป็นแถวยาว เธอรู้สึกโกรธอยากรู้ว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร ช่างเป็นคนไม่มีมรรยาท เธอจึงจำรูปร่างหน้าตาคนร้ายอย่างติดหูติดตา จำได้แม้กระทั่งรถยนต์พาหนะและเลขทะเบียน

เธอบอกว่า คนร้ายเป็นชายล่ำเตี้ย ผิวคล้ำ อายุประมาณ ๓๕-๔๐ ปี ผมสั้นๆลักษณะคล้ายทหาร ผูกนาฬิกา ROLEX เรือนทอง นุ่งกางเกงขาสั้น สวมรองเท้าแตะ ขับรถยนต์เบ๊นซ์รุ่น ๑๙๐ E สีแดง แต่ที่น่าเสียดาย เธอจำหมายเลขทะเบียนรถได้เพียงสองตัว เป็นทะเบียนกรุงเทพฯ และที่กระจกด้านหน้ารถติดสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ของหน่วยทหาร ทำให้พวกเราเขวไปพัก ตอนแรกคิดเป็นพวกทหารหรือตำรวจ แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่ใช่
รถเบ๊นซ์ ๑๙๐ E สีแดงทุกคันที่จดทะเบียนกรุงเทพฯ ถูกตำรวจค้นหาข้อมูลจากต้นขั้วทะเบียน ที่กรมการขนส่ง นำไปตรวจสอบ ปรากฏว่ามีประมาณ ๒๐ กว่าคัน รถบางคันก็เป็นชื่อของบริษัทไฟแนนซ์ การตรวจสอบรถ ๒๐ กว่าคันใช้เวลาหลายเดือนก็ยังตรวจสอบกันไม่หมด

ระหว่างนั้นตำรวจ สน.คันนายาวได้รับแจ้ง พบตู้เซฟถูกนำไปทิ้งไว้กลางทุ่งนา ในเขตท้องที่ สน.คันนายาว ไปตรวจสอบแล้วเป็นตู้เซฟขนาดใหญ่มีร่องรอยถูกตัดเปิดฝา เป็นตู้เซฟของผู้เสียหายรายอื่น ไม่ใช่ของบริษัทซิตี้ลิสซิ่ง คนร้ายยกตู้เซฟไปตัดเปิดตู้ เอาสิ่งของในตู้ไป แล้วเอาตู้เปล่าๆไปทิ้งไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตู้เซฟของบริษัทซิตี้ลิสซิ่ง เราก็ไม่มองข้าม เพราะเชื่อว่าน่าจะเป็นคนร้ายแก๊งเดียวกัน และคนร้ายน่าจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ทิ้งตู้ หรือมิฉนั้นก็ต้องเป็นเส้นทางผ่านของคนร้าย

จากการสอบสวนพยานบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่พบตู้เซฟ ให้การว่า ก่อนพบเซฟ เห็นรถยนต์ปิกอัพสภาพกลางเก่ากลางใหม่วิ่งผ่านไปตรงจุดที่ทิ้งตู้เซฟ เชื่อว่าน่าเป็นรถปิกอัพของคนร้ายที่บรรทุกตู้เซฟไปทิ้ง แต่พยานเห็นรถในระยะไกล จำทะเบียนและยี่ห้อรถไม่ได้

จากการที่พบตู้เซฟถูกนำไปทิ้ง ทำให้เราได้พื้นที่ๆจะเริ่มต้นสืบสวน น่าเชื่อว่าคนร้ายน่าจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จึงได้เจาะจงตรวจสอบรถเบ๊นซ์ ๑๙๐ E ที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ในเขตพื้นที่ ZONE ที่พบตู้เซฟ พบว่ามีอยู่เพียงรายเดียวคือนายบุญเลิศฯ ชุดสืบสวนได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับนายบุญเลิศฯ จนได้ที่อยู่ เจ้าหน้าที่ทำได้เพียงซุ่มสังเกตการณ์ ไม่อาจซักถามผู้ใด เพราะเกรงว่า จะเป็นการทำให้คนร้ายรู้ตัว และอีกประการหนึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่า นายบุญเลิศฯ เป็นผู้กระทำผิดปล้นเซฟหรือไม่ ชุดสืบสวนซุ่มสังเกตการณ์เป็นเวลานาน ไม่พบว่ามีผู้ใดในละแวกนั้นใช้รถเบ๊นซ์ ๑๙๐ E สีแดง (ภายหลังที่จับตัวคนร้ายได้แล้วจึงทราบว่า นายบุญเลิศฯได้นำรถยนต์เบ๊นซ์ ๑๙๐ E สีแดงไปขายให้กับเต็นท์รถแถวรัชดา แล้วใช้รถปิกอัพแทน)

ภาพนายบุญเลิศฯจากกองบัตรประชาชนถูกนำให้พยานดู พยานดูภาพแล้วไม่สามารถยืนยันได้ เพราะภาพถ่ายในตอนทำบัตรประชาชนในสมัยนั้นดูแล้วไม่ค่อยเหมือนใบหน้าคน ชุดสืบสวนวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสืบสวน น่าเชื่อว่านายบุญเลิศฯเป็นคนร้ายแก๊งปล้นเซฟ หลักฐานเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะขออนุมัติศาล ให้ออกหมายจับได้ มีทางเดียวก็คือต้อง “อุ้ม”

ผมไม่อยากใช้คำๆนี้เลยครับ แต่มันจำเป็นจริงๆ ถ้าจะรอให้ได้พยานหลักฐานครบถ้วน เพื่อปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พิจารณาแล้วไม่สามารถหาพยานหลักฐานใดๆได้อีก เพื่อการปราบปรามผู้กระทำผิด แม้จะไม่ถูกต้องบ้างก็จำเป็นต้องทำ ไม่เช่นนั้นโจรมันจะได้ใจ สุจริตชนจะเดือดร้อน ทีมงานตัดสินใจแล้วต้องทำ เป็นไงเป็นกัน ติดตามอ่านตอนที่สองครับ.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์