ฆาตกรรมต่อเนื่อง
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ ตำรวจนครบาลจับกุมตัว นายวิทยาหรือหอย ใจขาน อายุ ๓๐ ปี รปภ.ฆาตกรฆ่าต่อเนื่องได้ เหมือนกับยกภูเขาออกจากอกบรรดานักสืบของตำรวจนครบาล และช่วยคลายความหวั่นหวาดของคนที่ทำงานรักษาความปลอดภัยลงไปได้ เพราะมีคดีที่เจ้าหน้าที่ รปภ.ถูกฆ่า ถูกทำร้ายโดยไม่มีสาเหตุเกิดขึ้นใน กทม. ๑๐ กว่าคดี ตำรวจมืดมนเพราะหาสาเหตุไม่ได้ พอไม่มีสาเหตุก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสืบจากจุดไหน พวก รปภ.เองก็หวาดกลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนคอยจ้องเล่นงานทำร้าย รปภ. ไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนเข้าเมื่อไร เมืองไทยไม่ค่อยมีมาตกรต่อเนื่องให้เห็นบ่อยนัก แต่ในต่างประเทศเกิดขึ้นบ่อย ส่วนมากฆาตกรจะมีอาการทางจิต ไม่ถึงกับจิตบกพร่องหรือจิตฟั่นเฟือน แต่เป็นพวกจิตไม่ปกติ พวกที่มีความรู้สึกฝังใจลึกๆ ไม่ชอบใครก็ไม่ชอบจริงชนิดฝังใจ ถ้ารักใครก็รักแบบหัวปักหัวปำจนหลงโงหัวไม่ขึ้น
ผมเคยมีตำรวจลูกน้องคนหนึ่งเกลียดหมาที่วิ่งตามถนน เกลียดเข้ากระดูกดำ ชนิดเอาเป็นเอาตายกันเลย ผมเคยนั่งรถยนต์ไปกับลูกน้องคนนี้ พอเห็นหมาวิ่งบนถนน ลูกน้องผมบอกให้ชนและทับมันให้ตายไปเลย ผมบอกว่าไม่ได้ รถจะพังมากกว่าหมาตาย วันดีคืนดีลูกน้องผมคนนี้จะขับขี่รถยนต์จี๊ปไปตามถนนเพื่อล่าหมา โดยเฉพาะ พอเห็นหมาก็จะขับรถพุ่งเข้าใส่ ขนาดหมาวิ่งหนีลงข้างทาง แกยังขับรถ ตามไปทับ รถวิ่งไล่ไม่ทันก็ควักปืนพกยิงใส่เลย สาเหตุที่ ลูกน้องผมเกลียดหมา เพราะว่า เคยขับขี่รถจักรยานยนต์ความเร็ว สูงแล้วหมาวิ่งตัดหน้า ลูกน้องผมเหยียบ เบรคตัวโก่ง ก็ยังไม่วายชนหมา ผลปรากฏว่ารถจักรยานยต์พัง ตัวเองบาดเจ็บ เกิดความแค้นหมาชนิดฝังใจตั้งแต่นั้นมา
สำหรับนายวิทยาฯเป็น รปภ.ที่จริงจังต่อวิชาชีพ เกลียดพวก รปภ.ที่ขาด วินัย อู้งาน หลับยาม ถือว่าเป็นพวกที่ขาดความรับผิดชอบ ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อ ชาชีพ และเอาเปรียบนายจ้าง ดังนั้นเมื่อนายวิทยาฯออกเวร จะตระเวนไปตาม สถานที่ต่างๆที่มีเวรยาม รปภ. ถ้าพบ รปภ.คนไหนหลับยามก็จะเข้าไปเตือน ไปปลุก ผลปรากฏว่าถูกด่าหาว่าเสือก (ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ หากไม่ใช่เจ้านาย หรือไม่ได้มี หน้าที่เกี่ยวข้อง เข้าไปเตือนหรือสอน คนที่ถูกเตือนจะโกรธทันที เรื่องอะไรมึง ต้องเสือก) เลยกลายเป็นเรื่องความรู้สึกชิงชังยามที่ไม่มีวินัยอย่างฝังจิตฝังใจ คราวนี้ ถ้านายวิทยาฯพบยามที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นยามของบริษัทใด ถ้าหลับยามแกจะตีให้ ตายไปเลย ตีแล้วยังไม่พอแถมฉกเอาทรัพย์สินของยามผู้นั้นไปด้วย แล้วแกยังมีวิธี พรางตบตาผู้อื่น โดยจับเอายามที่ถูกตีจนเสียชีวิตไปแล้ว ให้อยู่ในท่านั่งแล้วเอาผ้า ห่มคลุม เวลาใครผ่านไปมาก็จะมีความรู้สึกว่า ยามผู้นั้นนั่งหลับยาม ไม่มีใครคิดว่า เสียชีวิตไปแล้ว
นายวิทยาฯอาจจะสะใจ แต่ตำรวจกับพวก รปภ.ที่ทราบเรื่องพากันปวดหัว คดีทำร้าย,ฆ่า รปภ. เกิดในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล ๔ รวม ๑๕ คดี อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นอีกก็ได้ ตำรวจตั้งประเด็นการสืบสวนคนร้ายอาจประสงค์ต่อ ทรัพย์ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะยามที่ถูกทำร้ายและตาย ก็มิได้มีทรัพย์สินอะไร ครั้นตั้งประเด็นว่าน่าจะมีสาเหตุกันมาก่อนแล้วตามมาล้างแค้น แต่ก็พบว่า ยามที่เป็นผู้เสียหายแต่ละคน ไม่เคยมีสาเหตุกับใครมาก่อนเลย จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การสืบสวนคลี่คลายเป็นไปอย่างล่าช้า จนเกิดคดีลักษณะเดียวกันนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง ๑๕ คดีอาชญากรรมย่อมทิ้งร่องรอยเสมอ ไม่มีอาชญากรรมใดที่สมบูรณ์ร้อย เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่นักสืบกำลังปวดหัวกับการคลำหาตัวคนร้าย เกิดเหตุ รปภ.ห้างสรรพสินค้าโลตัสถนนเกษตรนวมินทร์-นวลจันทร์ ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่เหยื่อไม่ถึงกับเสียชีวิต จึงได้ทราบว่าคนร้ายได้เอาโทรศัพท์มือถือของเหยื่อไปด้วย ไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับคนร้ายเลย เพราะ รปภ.ผู้นี้ถูกตีขณะกำลังนั่งหลับยาม นักสืบแกะรอยติดตามโทรศัพท์ของเหยื่อ ในที่สุดก็ได้หลักฐาน มีการใช้โทรศัพท์ ติดต่อไปที่หนองคาย เมื่อเช็คสอบจากผู้รับสายปลายทางก็ได้รายละเอียดว่า ผู้ที่ใช้โทรศัพท์ของเหยื่อเป็น รปภ.ด้วยกัน แต่อยู่คนละบริษัทกับผู้ถูกทำร้าย ตำรวจติดตาม หาตัวผู้ต้องสงสัยผู้นี้ ทราบชื่อเป็นนายวิทยาหรือหอย จึงได้ประมวลพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับ
คดีคลี่คลายเมื่อได้หลักฐานว่า คนร้ายเอาโทรศัพท์ของเหยื่อไปใช้ แต่ตำรวจต้องใช้เวลาในการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน กว่าจะได้หลักฐานเพียงพอ ขออนุมัติหมายจับต้องใช้เวลา ระหว่างนั้นคนร้ายได้ไปประกอบอาชญากรรมลักษณะเดียวกันอีก ๖ คดี รปภ.ตายไป ๔ คน บาดเจ็บสาหัสอีก ๓ คน (รายที่ทำร้าย รปภ.
โชว์รูมรถยนต์ฮอนด้า ถนนนวมินทร์ รปภ.ตาย ๑ เจ็บสาหัส ๑)เมื่อจับกุมตัวได้ นายวิทยาหรือหอยผู้ต้องหารับสารภาพ สาเหตุที่ทำไป เพราะเกลียดยามที่หลับในขณะปฏิบัติหน้าที่ ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวทางสื่อไปแล้ว นับเป็นตัวอย่างของฆาตกรรมต่อเนื่อง ฆ่าได้แม้ไม่มีสาเหตุโกรธเคือง เรื่องนี้น่าศึกษาติดตาม จะถือว่าผู้ก่อคดีเป็นโรคจิต จิตบกพร่องจิตฟั่นเฟือนหรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิด กฏหมายเรายกเว้นโทษเฉพาะผู้กระทำผิดในขณะไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ผู้ต้องหารายนี้ทำผิดด้วยความตั้งใจหรือจงใจ ถือว่ามีเจตนากระทำและมีความรับผิดชอบชั่วดีในขณะกระทำ ต้องรับโทษตามกฎหมาย.