บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
โจรขึ้นบ้านจะทำยังไง
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› โจรขึ้นบ้านจะทำยังไง
เห็นข่าวหนุ่ม AF3 ขวัญใจรายการ “ทรูอะคาเดมี่แฟนเทเชีย” นักร้องเสียงดีฉายา “เพน-กวิน ก้อ” วิ่งโล่ไปร้องทุกข์ที่กองปราบปราม ถูกขโมยขึ้นบ้านซึ่งอยู่ในท้องที่ สน.คลองตัน โดนยกเค้าเงินสดและทองรูปพรรณมูลค่าประมาณ ๗-๘ แสนบาท เวลาผ่านไปหลายวันแล้ว ผลการสืบสวนยังไม่คืบหน้า ขอให้ตำรวจกองปราบปรามช่วย ผมเห็นใจผู้เสียหายที่ถูกโจรกรรมในลักษณะนี้ทรัพย์สินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาเป็นเวลานาน ไอ้โจรมันใช้เวลาไม่กี่นาทีเอาไปเรียบ เวลาเดียวกันก็เห็นใจตำรวจครับ เรื่องไหนสืบจับตัวคนร้าย ติดตามเอาทรัพย์กลับคืนมาได้ ตำรวจหน้าบานดีใจเหมือนถูกหวย แต่ถ้าตามไม่ได้สืบไม่ออก มันเป็นความขมขื่นใจของตำรวจ สน.ที่รับผิดชอบคดีจริงๆครับ ผมไม่อยากจะพูดความจริง พูดไปแล้วคนเกลียดขี้หน้า ไม่พูดมันก็เหมือนหลอกกันไปหลอกกันมา ไม่มีความจริงใจ เหมือนทำงานแบบ “ผักชีโรยหน้า” ผู้ที่มีทรัพย์สิน เคยถูกขโมยขึ้นบ้านยกเค้า หรือยังไม่เคย ลองฟังไว้ประดับความรู้ก็แล้วกัน มีคนเคยกล่าว “แดกดัน”ว่า ในกรุงเทพ “ขโมยชุมยิ่งกว่ายุง” ผมเคยโดนคนเขาว่าใส่หน้ามาแล้ว เถียงเขาไม่ได้ มันมีความจริงอยู่บ้าง เพราะเดี๋ยวนี้เราสร้าง “มุ้งลวด”กันยุงได้ แต่ตำรวจสร้าง “มุ้ง”กันขโมยไม่ได้ครับ มันจึงต้องเกิดวิชามาร ทุกวันนี้คดีโจรกรรมทรัพย์สินเกิดขึ้นทั้งกลางวันกลางคืนในรอบ ๒๔ ชั่วโมง เฉพาะในกรุงเทพฯผมว่าเกิดขึ้นเกือบร้อยคดี ในกรุงเทพหรือนครบาลมีสถานีตำรวจ(สน.) ที่รับผิดชอบพื้นที่อยู่ ๘๗ สน. ถ้าเฉลี่ยว่าเกิดขึ้น สน.ละ ๑๐ คดี ก็ใกล้ร้อยเข้าไปแล้ว สมัยที่ผมอยู่ที่ สน.บางเขน เพียงสน.เดียวคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เกิดขึ้น ในวันหนึ่งๆปาเข้าไปตั้ง ๒๐ คดี จะใช้ตัวเลขสถิติคดีจากตำรวจมาใช้ยืนยัน ขอให้เลิกคิด คดีถูก “เป่า”ไปมากกว่าครึ่ง แต่เป็นการ “เป่า”แบบมีระบบ คือจะเรียกเรื่องมาดูเมื่อไรก็ได้ มีสอบสวนพอมีรายละเอียดอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่ได้ลงใน “สาระบบคดีอาญา” ข้อเสียก็คือ จะไม่ถูกเร่งรัดโดยผู้บังคับบัญชา เมื่อเจ้าของคดีย้ายไปเรื่องก็พลอยหายตามไปด้วยข้อดีก็คงจะอยู่กับตำรวจใน สน.นั้น ทำให้ดูเหมือนเหตุการณ์ในท้องที่เรียบร้อยดีไม่มีคดีเกิดขึ้น การตรวจตราป้องกันดี ไม่มีสำนวนค้าง มีเวลาเที่ยวเตร่พักผ่อนมากขึ้น ผมเคยเขียนไปแล้วในหัวข้อเรื่อง “ขึ้นโรงพักระวังโดนเป่า” เรื่องคดีลักทรัพย์ที่ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด ถ้ารับเป็นคดี ต้องทำสำนวนทุกเรื่อง มันไม่ไหว สำนวนค้าง เป็นสาเหตุให้เกิดสำนวนล่าช้า ( คดีแต่ละเรื่อง มีระเบียบข้อบังคับ ต้องสืบสวนสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายใน ๓๐ วัน ) ถ้าครบกำหนดแล้วสำนวนการสอบสวนยังไม่เสร็จ เรียกสำนวนคดีนั้นว่า “สำนวนค้าง” สำนวนค้างมาก ถูกตั้งกรรมการสอบสวน การ “เป่า”คดีก็ต้องมีเทคนิค คือสอบสวนไว้หมดทุกอย่าง แต่ไม่ได้ลงสาระบบคดี ยัดใส่ตู้หรือลิ้นชักเอกสารไว้ แต่จะต้องส่งรายละเอียดให้ฝ่ายสืบสวนทำการสืบสวน ให้ฝ่ายปกครองป้องกันนำไปเป็นข้อมูลในการจัดสายตรวจ เรื่องไหนภายหลังต่อมาจับคนร้ายได้ หรือติดตามทรัพย์ที่ถูกโจรกรรมได้ ก็ค้นเอาเอกสารที่เก็บไว้ออกมาเข้าสาระบบ ถ้าไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ เวลาผ่านไปนานๆก็ลืมกันไปเอง ผลเสียจากการที่นำคดีทุกเรื่องเข้าสู่ “สาระบบคดี” หรือที่ตำรวจเรียกกันว่า “ลงเลขคดี” มีระเบียบปฏิบัติว่า สน.ใดมีคดีเกิดขึ้นต้องรายงานหน่วยเหนือหรือผู้บังคับบัญชาภายใน ๒๔ ชั่วโมง ก็ลองทำดูซี วันหนึ่งๆเกิดคดี ๑๐ คดี ถ้ารายงานหมดทุกเรื่องเดือนหนึ่งก็ประมาณ ๓๐๐ คดี รับรองตำรวจผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะถูกไล่เบี้ยตั้งแต่ผู้บังคับการ ผู้กำกับการ รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน รองผู้กำกับการปกครองป้องกัน ไปจนถึงสารวัตรและรองสารวัตร แสดงว่าขาดประสิทธิภาพการตรวจตราป้องกันไม่ดี การสืบสวนปราบปรามอ่อน โดนย้ายแน่ๆ และยังถูกประจานในที่ประชุมใหญ่ประจำเดือน เรียกว่าไปไหนต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินตำรวจไม่ใช่คนโง่ครับ มันต้องงัดวิชามารมาใช้กัน สมัยที่ผมอยู่ที่กองสืบสวนนครบาลใต้ มีภรรยาของนายตำรวจใหญ่ถูกกระชากสร้อยข้อมือขณะที่กำลังเดินซื้อของ เป็นสร้อยเส้นเล็กๆน้ำหนักแค่สองสลึงคนร้ายกระชากสร้อยแล้ววิ่งหนีเข้ากลีบเมฆไป เข้าตำราที่ตำรวจทุกคนทราบดี “เรื่องเล็ก แต่คนใหญ่กับเรื่องใหญ่ ถึงแม้คนจะเล็ก” ทั้งสองกรณีนี้ต้องระมัดระวัง เป่าคดีไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ และคนก็ใหญ่ ยิ่งต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ผมรีบไปซักถามปากคำผู้เสียหายถึงตำหนิรูปพรรณสร้อยข้อมือที่ถูกคนร้ายกระชากไปเพิ่มความชัวร์โดยสะเก็ตภาพสร้อยด้วย ไม่เกิน ๗ วันผมก็จับคนร้ายได้พร้อมสร้อยข้อมือของกลาง ได้สร้อยกลับคืนมาไม่ครบเส้น มีรอยกระชากขาดด้วย ผมรีบเอาไปให้ภรรยานายตำรวจใหญ่ดู บอกว่าจับคนร้ายได้ เป็นพวกติดยาเสพติดมันรับสารภาพ ตามคืนได้เพียงเท่าที่นำมาให้ดู ภรรยานายตำรวจใหญ่รับสร้อยไปพร้อมกล่าวคำขอบใจพร้อมแสดงความสงสารคนร้าย ไม่อยากเอาเรื่อง ไม่อยากไปให้ปากคำ กลัวขึ้นศาล ผมบอกว่า “ท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจับมันดำเนินคดีข้อหา เป็นซ่องโจร” ผล…ทำให้ผมไม่ถูกผู้บังคับบัญชาซักถามเกี่ยวกับคดีนี้อีก เพราะจับกุมคนร้ายได้และได้ทรัพย์กลับคืน เบื้องหลังการถ่ายทำ ผมไปสั่งให้ร้านทองทำสร้อยข้อมือขึ้นมา ให้มีรูปพรรณลักษณะเดียวกับของผู้เสียหาย ลงทุนไปสลึงเดียว (สมัยก่อนทองยังราคาถูก) ทำให้เกิดรอยกระชากขาดแล้วเอาไปคลุกดินทำให้ดูเป็นของเก่า ทองเหมือนทองครับ ส่วนผู้ต้องหาไม่ต้องกลัว สมัยก่อนพวกขี้ยาทั้งหลายถูกจับจะขอต่อรองให้ดำเนินคดีข้อหาซ่องโจรเพราะถูกขังแค่เดือนเดียวก็ปล่อย แต่สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่อง“เสือดำที่บึงมักกะสัน” สมัยเมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว บริเวณที่ดินของการรถไฟตรงบึงมักกะสัน เป็นป่ารก เนื้อที่กว้างเป็นร้อยไร่ ชาวบ้านแถวชุมทางรถไฟมักกะสันต่างพากันหวาดกลัว ช่วงเวลากลางดึกจะมีเสือดำตัวโตกว่าหมาออกอาละวาด กินเป็ดไก่ชาวบ้าน หนังสือพิมพ์ลงข่าวพาดหัว อธิบดีกรมป่าไม้ในขณะนั้น ส่งพรานมือดี ซุ่มจับเสือดำบึงมักกะสัน ผลปรากฏว่าจับเสือดำได้ ตัวใหญ่พอกินคนได้เลย หนังสือพิมพ์และทีวีไปถ่ายภาพ มีการนำเสือดำไปปล่อยเข้าป่า คืนสู่ธรรมชาติ ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างพากันนอนตาหลับ อธิบดีกรมป่าไม้กลายเป็น “ฮีโร่” มือปราบเสือดำ แต่พออีกสักปีต่อมากลับเป็นข่าวอีก เจ้าของสวนสัตว์มาทวงค่าเสือดำตัวดังกล่าว ไม่มีใครยอมจ่าย เสือดำราคาหลายแสนบาทเรื่องโอละพ่อ คิดเอาเองก็แล้วกัน อย่าให้พูดว่า “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกัน”เพื่อนผมยิ่งหนัก สมัยเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว มีการประชุมตำรวจนานาชาติที่โรงแรมดุสิตธานี ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อนผมเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้แทนตำรวจไทย เกี่ยวกับเรื่องการดำเนินการกับผู้กระทำผิดฐานฟอกเงินและคนร้ายข้ามชาติ เพื่อนผมคนนี้ภาษาอังกฤษค่อนข้างดี คารมคมคายลีลาการพูดไม่เป็นรองใคร ผมไปฟังเพื่อนผมคนนี้ขึ้นพูดในที่ประชุม ฝรั่งมังค่าจีนลาวแขกที่อยู่ในที่ประชุมชอบใจมาก ปรบมือกันกราวใหญ่ ผมก็พอฟังออกบ้าง ได้ใจความว่า ประเทศไทยมีระบบการสอบสวนที่มีประสิทธิภาพมากมาก จับได้แม้กระทั่งรัฐมนตรีและนายก ฯ ( ก็ ปปช.ไงล่ะ ) แต่เทคนิคการพูดตลอดจนลีลาถ้อยคำน้ำเสียง ดุเด็ดเผ็ดมัน หลังการพูดเพื่อนผมกลายเป็นดารา ตัวแทนมิตรประเทศเข้ามาแนะนำตัวแลกนามบัตร ในจำนวนนี้มีหัวหน้าตำรวจมาจากปักกิ่งนัดกินข้าว ผมได้รับอนิจสงกินกับเขาด้วย ก็ที่โรงแรมดุสิตนั่นแหละ หัวหน้าตำรวจจากปักกิ่งปรารภกับเพื่อนผมว่า เขารักประเทศไทยมาก แต่มีเรื่องหนึ่งทำให้ตัวเขาไม่สบายใจ คือเมื่อประมาณ ๔-๕ ปีก่อน ตัวเขาและภรรยามาเที่ยวเมืองไทย ไปเดินแถวเยาวราชซึ่งเป็นถิ่นคนจีน เขาได้ซื้อทองรูปพรรณเป็นสร้อยคอน้ำหนัก ๓ บาท แต่พอเขากลับไปที่เมืองจีนพบว่า เป็นทองเก๊ ผมและเพื่อนผมรู้สึกเสียหน้ามาก เพื่อนผมถามว่า จำชื่อยี่ห้อร้านขายทองได้หรือไม่ หัวหน้าตำรวจปักกิ่งจดมาให้เรียบร้อย ( เข้าใจว่าหัวหน้าตำรวจจีนผู้นี้ต้องการมาคิดบัญชีกับร้านขายทองร้านนี้ แต่ยังไม่รู้จะไปร้องทุกข์กับใคร หวยดันมาออกที่เพื่อนผม ) เพื่อนผมรับปากจะจัดการให้ วันต่อมา การสัมมนายังไม่เสร็จ เพื่อนผมนัดตำรวจจีนทานอาหารเวียตนามที่โรงแรมดุสิต เรื่องกินผมไม่พลาดอีกระหว่างที่ทานอาหารเพื่อนผมก็หยิบตลับพาสติกสีแดงแบบที่ใช้สำหรับใส่ทอง ๑ตลับ ส่งให้กับหัวหน้าตำรวจจีน พร้อมกับบอกว่า “ทางร้านทอง (ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) ฝากขอโทษหัวหน้าตำรวจจีนเป็นอย่างมาก รู้สึกละอายที่พนักงานขายของร้าน ขาดจริยธรรม ทางร้านจะทำการสอบสวนและดำเนินการกับพนักงานผู้ที่กระทำเช่นนั้น และเพื่อเป็นการขออภัยที่ได้ทำผิดไปแล้ว ทางร้านทองขอมอบสร้อยคอทองคำแท้ น้ำหนัก ๓ บาท เป็นการตอบแทน” หัวหน้าตำรวจจีนตกใจชื่นชมเพื่อนผมเป็นที่สุดที่สามารถจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยลงได้ในเวลาอันรวดเร็วหลังทานอาหารเสร็จ ผมถามเพื่อนผมว่า “มึงรู้จักเถ้าแก่ร้านนั้นหรือ ทำไมมันยอมง่ายๆ” เพื่อนผมบอกผมว่า “ไอ้บ้า ก็วิชามารไงล่ะ” เพื่อนผมคนนี้ก็คือเจ้าของคอลัมน์ “กาแฟขม ขนมหวาน” ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์นี่เอง ลอง “คลิก”เข้าไปดูแล้วจะรู้ว่า “ลีลา” สะบัดช่อแค่ไหน กลับเข้าเรื่องAF3 ที่ถูกยกเค้า อย่าได้เสียใจไปเลย หลายคนก็เคยโดนแบบน้อง แต่คดีของAF3 เข้าข่าย “คดีเล็กคนใหญ่” หนังสือพิมพ์พาดหัวลงข่าว AF3 กลายเป็น“คนใหญ่”ไปแล้ว ป่านนี้ผู้บังคับบัญชาตำรวจของ สน.คลองตัน คงเรียกสำนวนการสอบสวนไปดู ( ร้อยเวรสอบสวน “เป่า”คดีหรือเปล่า ยังมีเวลาแก้ไขทัน ) อีกสักระยะก็คงจะจับคนร้ายหรือติดตามทรัพย์กลับคืนได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นวิชามารหรือเปล่า และอยากจะบอกให้เอาบุญ บ้านผมเองก็โดนลองดีถึง ๒ ครั้งแต่ขโมยทำอะไรไม่ได้ บ้านผมติดสัญญาณป้องกันขโมย มีทั้งชนิดการตรวจจับการเคลื่อนไหว ตรวจจับความร้อน และชนิดเปิดปุ๊บดังปับแถวยังยิงแสง “เลเซอร์”ใต้หลังคาบนฝ้าเพดาน ขโมยงัดแต่ละครั้งสัญญาณส่งเสียงดังลั่น ขโมยหนีไม่คิดชีวิต เพราะถ้าช้าโดนผมสอยแน่ฝากบอกไปถึงน้อง AF3 ติดสัญญาณกันขโมยเสียเถอะ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมไปอีก คิดจะติดเหล็กดัดอย่างเดียวยังไม่พอ อุปกรณ์กันขโมยบ้านเรามีขายเยอะแยะไป ถ้าจะให้ดีติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิดรวมเข้าไปด้วย เพราะรักดอกจึงบอกให้ อย่าให้เข้าตำรา “เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย” นะครับ.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์