อาวุธปืน
ถุงปืน
ผลสรุปของชุดตรวจสอบอาวุธปืน
เรื่องอาวุธปืนที่พบในที่เกิดเหตุทำท่าจะบานปลาย ญาติๆของผู้ตายและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดมีความสงสัยว่า น่าจะเป็นอาวุธของคนร้ายซึ่งเป็นมืออาชีพ ญาติของผู้ตายนำอาวุธปืนของผู้ตายมาให้ผมดู ปืนอยู่ในกระเป๋าถือแบบกระเป๋า"เจมส์บอนด์"สีดำ เมื่อเปิดออกมาพบ"ซองปืน"หรือจะเรียกว่า"ถุง"ใส่อาวุธปืน(ก็ได้) ซึ่ง"ซอง"หรือ"ถุง" ใส่อาวุธปืนดังกล่าวทำด้วยผ้าร่ม (ผ้าร่มชูชีพ) สีเขียวขี้ม้า มีซิปรูด เมื่อรูดซิปออกพบอาวุธปืนออโตเมติก ๑ กระบอกพร้อมกระสุนปืนบรรจุอยู่ ๑ แม๊ก คนขับรถและผู้อยู่ใกล้ชิดผู้ตายยืนยันว่า อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวนี้ผู้ตายใช้ติดตัวมาหลายปีแล้ว โดยบรรจุอยู่ใน"ซอง"หรือ"ถุง"ปืนผ้าร่มสีเขียวใบนั้น ในวันเกิดเหตุผู้ตายขับรถยนต์ไปแต่ผู้เดียว ไม่ใช้คนขับรถ และเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็จอดรถแล้วขึ้นไปบนอาคารที่เกิดเหตุ ไม่ได้เอาปืนติดตัวไป ปืนยังคงเก็บไว้ในกระเป๋าเจมส์บอนด์อยู่ในรถ
ประเด็นเกี่ยวกับลูกกระสุนปืนก็มีปัญหาเช่นกัน คนใกล้ชิดผู้ตายและญาติๆบอกว่า ต้องเป็น"มืออาชีพ"เท่านั้นถึงจะใช้กระสุนชนิดนี้ เพราะมันตรวจหาวิถีกระสุนและตรวจหาเกลียวลำกล้องปืนไม่ได้ หนังสือพิมพ์ลงข่าว เกิดกระแสทันที ทำให้มีการโยงไปยังนายทหารใหญ่ๆหลายคน
ผมได้ไปหาข้อมูลที่ร้านค้าปืนแถววังบูรพา กทม. ปรากฏว่ากระสุนปืนชนิดนี้ มีจำหน่ายครับ แต่ไม่ค่อยมีใครนิยมกัน ส่วนมากเอาไว้ใช้ยิงงู ยิงโชว์สำหรับนักเล่นกล ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ ๑ ผมยังได้ซื้อกระสุนชนิดนี้เอาไว้ยิงลูกโป่งหลอกคนดู ๑ กล่อง
มี"พรายกระซิบ"บอกกับผมว่า ลองไปหาข่าวแถวสนามยิงปืนของทหารแถวถนนรามอินทราซิ ผู้ตายเคยไปซ้อมยิงปืนที่นั่นบ่อยๆ ผมให้คนรู้จักประสานไปยังเจ้าหน้าที่สนามยิงดังกล่าว นัดพูดคุยกัน แต่ปรากฏว่าเมื่อผมไปถึงสนามยิงปืนแห่งนั้น ผมถูกเชิญตัวไปพบผู้บังคับบัญชาของสนามยิงปืนซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ คำพูดของนายทหารผู้นั้นที่ทำให้ผมต้องล่าทัพกลับไปก็คือ "เราไม่ต้องการเป็นข่าว ไม่มีข้อมูลใดๆทั้งสิ้น" เห็นไหมครับ การสืบสวนมันไม่ได้สะดวกไปเสียทุกอย่าง
กลับไปเริ่มต้นที่อาวุธปืนที่พบในที่เกิดเหตุ มีเลขทะเบียนเรียบร้อย เป็นอาวุธปืนลูกโม่เลขทะเบียนปืนจะอยู่ที่ด้ามปืน ต้องถอดยางที่ประกับด้ามปืนออก (ปืนกระบอกที่พบในที่เกิดเหตุเป็นด้ามยาง) ตรวจสอบที่แผนกอาวุธปืน กองทะเบียน ขณะนั้นยังขึ้นอยู่กับกรมตำรวจ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติปัจจุบัน) ชื่อผู้ครอบครองปืนคือ นายสมชาย ตั้งแสงสว่าง มีที่อยู่ระบุชัดเจน แต่เป็นที่อยู่เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ตอนเกิดเหตุมันปี พ.ศ.๒๕๔๒ เวลาผ่านไป ๑๘ ปี นายสมชายฯย้ายที่อยู่ไปหลายแห่งโดยไม่ได้แจ้งนายทะเบียน การติดตามหาตัวนายสมชายฯต้องใช้ตำรวจหลายนาย ใช้เวลาติดตามหามรุ่งหามค่ำ ๒ วันก็พบตัว นำมาสอบสวน
ผู้ที่ทำงานการสืบสวนสอบสวน ผ่านประสบการณ์มามากๆจะไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร พอรู้ว่าอาวุธปืนมีทะเบียนและเจ้าของอาวุธปืนมีตัวตนอยู่ก็พอเดาได้ มันไม่ใช่วิธีการของคนร้าย"มืออาชีพ" คนร้ายธรรมดาๆยังไม่ทำแบบนี้เลยเพราะ มันจะมีหลักฐานสืบสาวราวเรื่องได้ "ทฤษฎีอาชญากรรม คนร้ายจะพยายามลบร่องรอย จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้สืบสวนติดตามได้" พูดง่ายๆคนร้ายมันไม่อยากถูกจับ ฉนั้นอะไรที่จะเป็นร่องรอยให้สืบเสาะได้ มันจะลบทิ้งหมด โดยเฉพาะถ้าเป็นมืออาชีพ ต้องพยายามไม่ทิ้งร่องรอยเลย ไม่ให้หลักฐานมาพันตัวหรือ ามารถสืบสาวโยงมาถึงตัว จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นกรณีที่คนร้ายจะต้องใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิด ก็จะต้องเป็นรถขโมย เป็นการ"ตัดตอน" หรือ"Cut out" เพื่อไม่ให้สืบสวนไปถึงตัวผู้ใช้ได้
นายสมชายฯ(เจ้าของอาวุธปืน)ให้การว่า ได้ซื้ออาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาจากนายมานิตย์ สัจจินานนท์ซึ่งเป็นเพื่อนรัก ในราคา ๗,๕๐๐.- บาท เมื่อวันที่ ๙ ก.พ.๒๕๒๖ นายสมชายฯเป็นคนชอบเล่นอาวุธปืน เมื่อได้อาวุธปืนดังกล่าวมาครอบครองแล้วก็ได้เอาปืนไปแต่ง ทำระบบการลั่นไกนิ่มนวลขึ้น และได้เปลี่ยนด้ามปืนจากด้ามที่เป็นไม้เป็นด้ามยาง เป็นวัสดุที่สั่งเข้าจากต่างประเทศ (ร้านปืนย่านวังบูรพาเป็นผู้นำเข้ามาจำหน่าย) ทำให้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวเวลาจับด้ามปืนจะกระชับมือดีมาก (อาวุธปืนกระบอกนี้ นายสมชายฯเจ้าของตามทะเบียนยืนยันว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ตอนนำมาจำนำสภาพอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น)
นายสมชายฯมีอาชีพเป็นช่างทำกุญแจ ท่านคงพอจะนึกภาพออก เวลาที่เราทำลูกกุญแจหาย หรืออยากจะ"ปั๊ม"ลูกกุญแจเพิ่ม เราจะไปหาช่างทำกุญแจแบบนี้ ส่วนมากลักษณะร้านจะเป็นตู้ตั้งอยู่ตามบาทวิถีที่มีคนผ่านไปมามากๆ บนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆก็มี เปิดเป็นเคาน์เตอร์เลย นายสมชายฯตั้งตู้สำหรับทำกุญแจอยู่ที่หน้าบ้านของผู้ตาย ซึ่งตั้งอยู่แถวสะพานใหม่ดอนเมือง ขณะนั้นผู้ตายอยู่บ้านเป็นห้องตึกแถว ๒ คูหา ประมาณ ปี พ.ศ.๒๕๒๙ วันที่และเดือนจำไม่ได้ นายสมชายฯได้นำอาวุธปืนดังกล่าวพร้อมกระสุนปืนไปจำนำไว้กับผู้ตาย ในราคา ๕,๐๐๐.- บาท เวลาที่นำปืนไปจำนำก็ไม่ได้ไปคนเดียว มีนายสุทิศฯหรือเปี๊ยก รักถิ่นซึ่งเป็นเพื่อนไปด้วย
ผู้ตายกับนายสมชายฯรู้จักชอบพอกัน ก็เห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน เวลาผู้ตายผ่านเข้า-ออกบ้านก็จะพบพูดคุยกัน เป็นอยู่ในลักษณะเช่นนี้เป็นเวลา ๖-๗ ปี แถมผู้ตายยังหาลูกค้าให้กับนายสมชายฯอีกด้วย คือ ผู้ตายในขณะนั้นมีอาชีพค้าขาย รับติดตั้งประตูเหล็ก เมื่อพบว่าลูกค้ารายใดมีปัญหาเรื่องลูกกุญแจ ก็จะเรียกนายสมชายฯไปบริการ
บอกแล้วว่านายสมชายฯเป็นคนรักอาวุธปืน โดยเฉพาะปืนกระบอกที่นำไปจำนำเป็นปืนที่ชอบมาก พอปี พ.ศ.๒๕๓๕ นายสมชายฯได้ไปขอไถ่อาวุธปืนจากผู้ตาย แต่ผู้ตายก็บอกว่า"ชอบ"เจ้าอาวุธปืนกระบอกนี้ อยากได้ไว้เป็นกรรมสิทธิ์และจะขอซื้อ นายสมชายฯจึงขอเงินเพิ่มอีก ๓,๐๐๐.- บาทแล้วได้เซ็นสลักหลังใบอนุญาต ป.๔ ให้กับผู้ตายไป ก็เป็นอันว่ากรรมสิทธิ์ในอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว ตกไปเป็นของผู้ตาย เพราะมีการตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย แต่ผู้ซื้อจะได้ไปทำหลักฐานเกี่ยวกับเอกสาร (ใบ ป.๔ ) ที่แผนกอาวุธปืนหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่ไปทำให้ถูกต้อง ผู้ครอบครองก็จะมีความผิด เพราะอาวุธปืนกฎหมายบัญญัติให้ผู้ครอบครองจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
ผมได้ให้เจ้าหน้าที่เชิญนายสุทิศหรือเปี๊ยกมาสอบสวนเป็นพยานอีก ๑ คน ให้การสอดคล้องกับนายสมชายฯเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เอาปืนไปจำนำกับผู้ตาย ประเด็นเรื่องการจำนำอาวุธปืนนี้ทำให้ผมและทีมงานหงุดหงิดใจ เพราะมีญาติของผู้ตายบางคนไม่เชื่อ พยายามซักไซ้พยานผู้นำอาวุธปืนไปจำนำว่า "คุณไปจำนำกันที่ไหน ลักษณะบ้าน ลักษณะห้องเป็นอย่างไร (ข้อเท็จจริงมันเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ แต่เวลาที่ซักถามมันเป็นปี พ.ศ.๒๕๔๒ แต่พยานก็สามารถตอบคำถามได้อย่างไม่เป็นพิรุธ) เรื่องพยานพูดจริงหรือเท็จ ผู้ที่ผ่านงานสอบสวนมานานพอจะมองออก สำหรับรายนี้ผมยืนยันได้ว่า พยานพูดความจริงครับ
ผมยังมีทีเด็ดอีก ผมถามนายสมชายฯว่าจำอาวุธปืนกระบอกที่จำนำไว้กับผู้ตายได้หรือไม่ นายสมชายฯยืนยันจำได้ อาวุธปืนถ้าเป็นยี่ห้อ, ชนิด, และแบบเดียวกันก็จะดูเหมือนกันหมด ตัวที่จะบ่งบอกว่าเป็นของใครๆ ก็ต้องดูที่หมายเลขทะเบียนและหมายเลขประจำปืน แต่สำหรับนายสมชายฯยืนยันเป็นพิเศษว่า อาวุธปืนของเขาแต่งไกเปลี่ยนด้าม ถ้าเขาได้สัมผัสอีกครั้งบอกได้เลยว่า"ใช่"หรือ"ไม่ใช่" นอกจากนั้นนายสมชายฯบอกอีกว่า "ผมจำนำปืนไปพร้อมกับ"ซอง"ใส่อาวุธปืนซึ่งทำจาก"ผ้าร่มชูชีพสีเขียว" ทำให้ผมนึกถึงลูกน้องและคนขับรถของผู้ตายที่ยืนยันว่า ผู้ตายใช้ปืนพกออโตเมติคใส่ซองทำด้วยผ้าร่มชูชีพสีเขียว มันมีความหมายสำหรับผมขึ้นมาทันที
ผมได้ซักถามนายสมชายฯให้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับ ซองใส่อาวุธปืนตลอดจนการได้มา ก็ได้ความว่า นายสมชายฯซื้ออาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาพร้อมกับ ซองใส่อาวุธปืน โดยซื้อมาจาก นายมานิตย์ฯ
ผมให้ตำรวจเชิญตัวนายมานิตย์ฯผู้ที่นำปืนพร้อม"ซอง"ใส่ปืนไปขายให้กับนายสมชายฯมาสอบสวน จึงได้ทราบว่า นายมานิตย์ฯมีอาชีพเป็นช่างทำ"ซอง"ใส่ปืนขาย โดยวัสดุที่ใช้ในการทำ"ซองปืน"จะเป็น"ผ้าร่มชูชีพ"ที่ทางราชการจำหน่าย (คือพวกร่มชูชีพที่ปลดระวางไม่ใช้แล้วนำออกไปจำหน่าย) ซองบรรจุปืนรุ่นทำด้วยผ้าร่มนี้นายมานิตย์ฯออกแบบเอง และทำอยู่เพียงเจ้าเดียว ไม่มีคู่แข่ง จำหน่ายที่บางขุนพรหมและส่งให้กับร้านขายปืนย่านวังบูรพา ความพิเศษของซองใส่อาวุธปืนรุ่นนี้ ด้านนอกของซองจะเป็นผ้าร่มสีเขียว ด้านในจะเป็นผ้าสีแดง เวลารูดซิปปิดจะเป็นรูปสามเหลี่ยม เวลารูดซิปเปิดกระเป๋าแบะออกจะเป็นรูป "หัวใจ"
ผมนึกในใจว่า"ซอง"ใส่ปืนขายให้นายสมชายฯก็คงจะเหมือนกับ"ซอง"ปืนที่ขายตามร้านทั่วไป แต่นายมานิตย์ฯบอกผมต่อไปอีกว่า"ซอง"ใส่ปืนที่ให้นายสมชายฯไปนั้น มีตำหนิ ไม่เหมือนกับ"ซอง"อื่นทั่วๆไป เป็น"ซอง"เดียวในโลกนี้ เพราะเป็นซองที่มีตำหนิ ผู้ผลิตจึงไม่ส่งไปขาย เก็บไว้ใช้เอง
ผมจัดการจดบันทึกลักษณะพิเศษที่นายมานิตย์ฯบอกว่าเป็น"ตำหนิ"ของซองใส่ปืนไว้ โดยที่ผมก็ไม่ได้รู้ว่า"ซอง"ใส่ปืนที่ผู้ตายใช้อยู่ประจำมีตำหนิเช่นนี้หรือไม่ เพราะมันเป็นข้อมูลปลีกย่อย แล้วผมก็นัดหมายให้ญาติผู้ตายนำ"ซอง"ใส่อาวุธปืนของผู้ตายไปที่"ศูนย์สอบสวนฯ"ซึ่งอยู่ที่ สน.บางเขน เวลาเดียวกันก็นัดนายสมชายฯกับนายมานิตย์ฯไปพบด้วย
ทั้งสองฝ่ายอยู่พร้อมกันในห้องสอบสวน มีผมพร้อมทีมงานและพนักงานสอบสวนอยู่ด้วย ให้ญาติของผู้ตายส่งมอบ"ปืน"และ"ซอง"ปืนของผู้ตายซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนด์ ให้พนักงานสอบสวนถือไว้ ผมให้นายสมชายฯและนายมานิตยฯบรรยายถึงลักษณะปืนและ"ซอง"ใส่อาวุธปืนที่ตนอ้างว่าจำได้ นายสมชายฯจะยืนยันที่ด้ามปืนยางซึ่งตนได้ซื้อมาจากร้าน"ม.ฮะกีมี"ย่านวังบูรพา ส่วนนายมานิตย์ฯระบุถึงตำหนิของ"ซอง"ใส่อาวุธปืน โดยบอกว่า
"ซอง"รุ่นนี้ผมตัดเย็บเอง ตามปกติจะตั้งวางขายที่หน้าร้านที่บางขุนพรหม หรือไม่ก็จะส่งไปขายให้ร้านค้าปืนย่านวังบูรพา แต่สำหรับซองที่เก็บไว้ใช้เองเพราะมันมีตำหนิซึ่งเกิดจากรอยจักรที่เย็บ เมื่อเลาะเอาเส้นได้ออกทำให้เนื้อผ้าร่มเป็นรูๆ ดูแล้วไม่สวยจึงเก็บไว้ใช้เอง และมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้เพียงซองเดียวเท่านั้น (ผมจึงใช้คำว่า"มีซองเดียวในโลก")
แล้วก็ให้พักงานสอบสวนเปิดกระเป๋าเจมส์บอนด์ของผู้ตายออกดูกันต่อหน้า พบซองใส่ปืนเป็นผ้าร่มชูชีพสีเขียว ขณะนั้นซิปถูกรูดปิดไว้ มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยม พนักงานสอบสวนได้รูดซิปเปิดออก ปรากฏว่าด้านในซองปืนเป็นผ้าสีแดง เมื่อคลี่ออกเต็มที่แล้ว จะเป็นรูปหัวใจสีแดงน่ารัก และเมื่อคว่ำเอาทางด้านนอกที่เป็นสีเขียวขึ้นดู พบว่ามีรอยจักรเย็บผ้าเป็นรอยปรุ ๆๆๆๆ เป็นเส้นตรงยาว ตรงตามที่นายมานิตย์ฯให้การไว้ นายมานิตย์ฯจับพิจารณาดูแล้วยืนยันจำได้ เป็น"ซอง"ที่ใส่อาวุธปืนกระบอกที่ขายให้กับนายสมชายฯ ส่วนนายสมชายฯก็ลองจับกำด้ามปืนกระบอกที่พบในที่เกิดเหตุ ก็ยืนยันว่าเปนอาวุธปืนี่ตนนำไปจำนำให้กับผู้ตาย
ญาติและคนใกล้ชิดผู้ตายต้องอึ้ง เพราะก่อนหน้านี้ต่างก็ยืนยันว่า ซองใส่อาวุธปืนดังกล่าวเป็นของผู้ตายซึ่งใช้มานานแล้ว โดยใช้กับปืนออโตเมติก ส่วนปืนลูกโม่ที่พบในที่เกิดเหตุเป็นคนของคนร้ายใช้ยิงแล้วยัดใส่มือผู้ตาย แต่คนที่เขาทำซองปืนกับมือเขายืนยันว่า มันเป็นซองปืนของเขาที่มาพร้อมกับปืนลูกโม่ที่พบในที่เกิดเหตุ ดังนั้นใครรับซองปืนไว้มันก็ต้องรับตัวปืนไปด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่า "จำนนด้วยพยานหลักฐาน" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า"เถียงไม่ขึ้น"
ผลสรุปของชุดตรวจสอบอาวุธปืน
อาวุธปืนกระบอกที่พบในที่เกิดเหตุเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ตาย(นายห้างทองฯ) และอยู่ในความครอบครองของผู้ตาย(นายห้างทองฯ) แต่ปรากฏว่าผู้ตายไม่ได้ไปแจ้งแก้ไขหลักฐานใบ ป.๔ (ใบอนุญาติให้มีและใช้อาวุธปืน) ผู้ตายจึงถูกดำเนินคดีในข้อหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกข้อหาหนึ่ง
ก็ยังตอบไม่ได้อยู่ดีว่า"ใครฆ่าห้างทอง" ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าอาวุธปืนกระบอกที่พบในที่เกิดเหตุเป็นของผู้ตาย ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ตายจะต้องใช้ปืนของผู้ตายยิงตัวเอง คนอื่นเอาไปใช้ยิงก็ได้นี่ ทุกอย่างมันเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่มันต้องมีเหตุมีผล มีพยานหลักฐานสนับสนุน
ผมบอกแต่แรกแล้วว่ามีคณะสืบสวนหลายคณะ ผมจะไม่เอารายละเอียดของคณะอื่นมากล่าว แต่จะยกเอาแต่บทสรุปมาพอเป็นสังเขป
๑ สาเหตุความขัดแย้งเรื่องมรดกหมดไปแล้ว มีการตกลงยินยอนกันต่อหน้าญาติพี่น้องและทนายความ ได้ทำบันทึกเป็นหลักฐานในตอนกลางวันก่อนเกิดเหตุ
๒ ผู้ตายขอกระดาษ ๑ แผ่นเขียนข้อความด้วยตนเองต่อหน้าที่ประชุม ใช้เวลาเขียนนานมาก เขียนเสร็จแล้วส่งให้น้องๆ ข้อความ "ถึงน้อง ๆทุกคน ขอให้ยุติและให้อภัยต่อกัน ฝากลูกชายคนเล็ก" และมีข้อความ "เบื่อเหลือเกินแล้ว มีภาระอะไรก็กรุณาแก้ไขให้ด้วย" (เป็นทำนองจดหมายสั่งเสีย หรือ ลาตาย ทีเดียว ความจริงเพียงแค่อ่านจดหมายก็น่าจะคาดเดาได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น)
๓ ตรวจพบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้างของผู้ตาย ซึ่งในขณะเดียวกันบุคคลอื่นๆที่อยู่ภายในบ้านที่เกิดเหตุ (รวมทั้งนายนพดลฯด้วย) ก็ถูกนำไปตรวจหาเขม่าดินปืนที่มือด้วย แต่ตรวจไม่พบ
๔ อาวุธปืนที่พบในที่เกิเหตุซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นกระบอกที่ใช้ยิง ก็เป็นของผู้ตาย
๕ จากการตรวจสภาพศพในสถานที่เกิดเหตุ พบว่ากางเกงตัวที่ผู้ตายสวมใส่ มีกระเป๋าเล็กๆตรงขอบเอวด้านขวา เป็นกระเป๋าสำหรับใส่ไฟแช็ก ตัวกระเป๋าเป็นผ้าสีขาวเย็บเป็นถุงห้อยอยู่ด้านใน แต่ตอนไปตรวจศพพบว่า ตัวกระเป๋าด้านในปลิ้นโผล่ขึ้นมาพ้นเอวกางเกง เป็นข้อสนับสนุนว่า ผู้ตายพกอาวุธปืนไว้ที่เอว เมื่อดึงอาวุธปืนขึ้นมาทำให้ผ้ากระเป๋าปลิ้นตามขึ้นมาด้วย
๖ ข้อนี้ผมว่าสำคัญ ขอให้ดูภาพของผู้ตายที่ผมลงไว้ในตอนที่ ๑ จะเห็นว่าอาวุธปืน"ห้อย"อยู่ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติมาก อาวุธปืนพกขนาด .๓๘ ลำกล้อง ๔ นิ้ว ยี่ห้อสมิทแอนด์เวสสัน น้ำหนักเป็นกิโล อาวุธปืนไม่ตกลงสู่พื้น เป็นเพราะลูกโม่ปืนไปเกี่ยวติดอยู่กับปากกระเป๋าเสื้อซาฟารี (เป็นกระเป๋าแบบไม่มีฝาปิด) เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถ้ามีคนไปบรรจงแต่งให้อยู่ในลักษณะนี้ ทำไม่ได้หรอกครับ แล้วยังจะเกิดปัญหาเรื่องลายนิ้วมือติดที่ปืนเป็นหลักฐานเข้าไปอีก
๗ ถ้าเป็นการจัดฉาก จะไม่ทำให้พิลึกกึกกือเช่นนี้ ปืนก็คงจะทิ้งมือไว้ทางด้านขวา แล้วปล่อยมือขวาห้อยลงข้างลำตัวทางด้านขวา ซึ่งการจัดฉากมันต้องทำอะไรให้มันง่ายเข้า
๘ สอบสวนพยานแล้ว ไม่มีบุคคลอื่นใดเข้าไปเกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุนอกจากผู้ตายกับน้องชาย และในตอนเกิดเหตุผู้ตายได้บอกให้น้องชายออกจากห้องไปชงอาหารเสริม "เนสวีต้า" โดยบอกว่า"หิว" ขณะเสียงปืนดังขึ้น ผู้ตายอยู่ในห้องแต่ผู้เดียว
คณะกรรมการสอบสวนชุดแรกจึงได้ลงความเห็นว่า ผู้ตายกระทำตัวเองตาย ผมพร้อมเอาหัวเป็นประกันครับ
แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ไม่มีใครเชื่อผลการสืบสวนสอบสวน จนต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ภาพถ่าย มันจะเป็นผู้วิเศษอะไรจนปานนั้น แค่ดูภาพถ่ายแล้ว"ฟันธง"ได้เลย ขัดกับหลักการสืบสวนสอบสวน ซึ่งผู้กระทำการจะต้องได้เห็นสภาพสถานที่ๆเกิดเหตุ ได้เห็นสภาพร่องรอยต่างๆในที่เกิดเหตุ ก่อนเสมอ.