ใครฆ่าห้างทอง ตอนที่ 1
ผมเป็นหนึ่งในคณะผู้สืบสวนสอบสวนคดีนายห้างทองฯเสียชีวิต ได้รับมอบหมายให้ทำการสืบสวนประเด็นเกี่ยวกับอาวุธปืนที่ใช้ปลิดชีวิตนายห้างทองฯ ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น เป็นผู้รับผิดชอบการสอบสวน ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน แบ่งหน้าที่การทำงานเป็นคณะๆไป พล.ต.ต.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) เป็นหัวหน้ารับผิดชอบการทำสำนวนการสอบสวน และยังมีคณะทำงานคณะอื่นๆอีกหลายคณะ เช่นคณะสืบสวน คณะผู้ทำการสืบสวนเป็นคณะใหญ่ แบ่งย่อยออกเป็น ๕ ชุด สืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับตัวผู้กระทำผิด หาร่องรอยพยานหลักฐาน ชุดสืบสวนตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ สำหรับแพทย์ผู้ชัณสูตรศพและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานที่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ก็มีการแต่งตั้งเป็นรูปคณะกรรมการทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการระดมมันสมองและมีการกลั่นกรองข้อมูลอย่างรอบคอบ ผมดูรายชื่อผู้ทำงานในคณะต่างๆแล้ว ล้วนแต่เป็นผู้มีฝีมือด้านการสืบสวนสอบสวนและเป็นที่เชื่อถือได้
ประเด็นเรื่องปืนเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง เพราะก่อนที่ผลการสืบสวนจะออกมา บรรดาญาติๆผู้ตาย ประชาชนผู้ติดตามข่าว รวมทั้งบรรดาสื่อต่างๆ มีความสงสัยเรื่องอาวุธปืนที่พบในที่เกิดเหตุมาก
1.เป็นอาวุธปืนที่ใช้สังหารผู้ตายหรือไม่
2.เป็นอาวุธปืนของใคร
3.มาอยู่ในที่เกิดเหตุได้อย่างไร
ถ้าผมหาพยานหลักฐานมาตอบผู้สงสัยไม่ได้ หรือตอบไม่เคลียร์ ตอบคลุมเครือ ไม่หายข้องใจ จะกระทบไปยังการสืบสวนของคณะอื่นๆทันที การนำเสนอผลการสืบสวนสอบสวน ทุกคณะจะต้องนำผลการปฏิบัติของแต่ละคณะ เสนอให้ผู้บังคับบัญชาตลอดจนญาติพี่น้องของผู้ตายรับทราบ ทุกเรื่องทุกประเด็นจะต้องมีความสอดคล้อง เป็นเหตุเป็นผล สามารถเชื่อมโยงเข้ากันได้ หมายถึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น หากว่าเกิดขัดแย้งกัน ต้องค้นหาให้พบว่า จริงๆแล้วควรเป็นอย่างไร สำหรับคดีเรื่องนี้ทุกอย่างกลมกลืนสอดรับกัน ตอบปัญหาข้อข้องใจสงสัยได้หมดทุกข้อ ประเด็นเรื่องอาวุธปืนเรื่องเดียวอาจทำให้ท่านผู้อ่าน"ฟันธง"ได้ว่า "ใครฆ่าห้างทอง"
การตายของห้างทองฯ เมื่อผลสรุปการสอบสวนออกมาทุกคนกลับไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะผู้สอบสวน เกิด"กระแส"ต่อต้าน อธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ รวมทั้งบุคคลในครอบครัวของผมด้วย ในช่วงเกิดเหตุใหม่ๆเมื่อมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ทุกคนรุมว่าผม "เป็นไปไม่ได้ๆ" ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมความรู้สึกของคนทั่วไปจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อเกิด"กระแส"ต่อต้านและแพร่ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้กระบวนการสอบสวน ต้องเป๋ไปตาม"กระแส"แทนที่จะยึดถือ"ข้อเท็จจริง" และ "พยานหลักฐาน" จนทำให้มีการรื้อฟื้นคดีทำการสอบสวนใหม่
ประเด็นที่ว่า อาวุธปืนที่พบในที่เกิดเหตุ เป็นอาวุธปืนที่ใช้ในการสังหาร นายห้างทองฯหรือไม่ มันมีที่มาที่ไปอย่างนี้ครับ
อาวุธปืนพกประจำกายของผู้ตาย(นายห้างทองฯ) เป็นอาวุธปืนพกแบบออโตเมติก คนที่อยู่ใกล้ชิดผู้ตายโดยเฉพาะคนขับรถยืนยันได้ และในวันเกิดเหตุ อาวุธปืนพกของผู้ตายก็ยังคงเก็บอยู่ในรถ อยู่ในกระเป๋าปืนเรียบร้อย ส่วนอาวุธปืนที่พบในที่เกิดเหตุเป็นอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด.๓๘ หรือที่พวกเราชอบเรียกกันว่า "ปืนลูกโม่" ปืนกระบอกนี้ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน มันมาจากไหน เป็นอาวุธปืนของคนร้ายหรือเปล่า คนร้ายใช้อาวุธปืนกระบอกที่พบในที่เกิดเหตุยิงแล้ว"ยัด"ใส่ผู้ตายหรือเปล่า ถ้าพิสูจน์ไม่ได้หรือไม่มีความชัดเจนว่ามันเป็นอย่างไร ผู้คนติดใจสงสัย จะมีผลต่อการวินิจฉัยคดี เป็นปัญหาที่ผมและลูกทีมต้องค้นหาความจริงให้ได้
ร่องรอย หลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน
๑.ตำแหน่งบาดแผลที่ถูกยิง รูกระสุนเข้าอยู่ตรงบริเวณตีนผมที่ขมับด้านขวา หัวกระสุนฝังใน ขอบบาดแผลมีรอยไหม้เกรียม แสดงว่าเวลายิงต้องจ่อกระบอกปืนชิดผัวหนังแล้วจึงลั่นไก
๒.เมื่อผ่าศพตรวจหาหัวกระสุนในศีรษะผู้ตาย ปรากฏว่าเป็นกระสุนปืนชนิด"ลูกปราย" กระสุนปืน"ลูกปราย" เป็นกระสุนปืนขนาด.๓๘ ธรรมดาๆ แต่ในส่วนของ"หัวกระสุน" แทนที่จะเป็นหัวตะกั่วหรือหัวทองแดงก้อนเดียว แต่กลับเป็นโลหะเม็ดเล็กๆขนาดเท่าเม็ดยาอม"ยินตัน"ประมาณ ๓๐ เม็ดแทน แล้วมี"หมอน"หรือกระดาษอุดอยู่ที่ส่วนปลายของลูกปืนกัน"เม็ดกระสุน"ไหลออก ถ้านึกภาพไม่ออกก็นึกถึงกระสุนปืนลูกซองที่พวกเราชอบเรียกกันว่า"ลูกซองเบอร์๙" ก็คือในกระสุนปืนลูกซองนัดหนึ่ง มีเม็ดโลหะกลมๆใส่อยู่ ๙ เม็ด กระสุนปืนชนิดนี้หวังผลในระยะใกล้ เวลายิงออกไปลักษณะเหมือน"ทอดแห" คือกระสุนจะบานออกตามระยะทาง คือยิ่งไกลยิ่งบาน
กระสุนปืนลูกปรายขนาด.๓๘ เขาเอาไว้ใช้ยิงงู ยิงนก หรือยิงลูกโป่งโชว์ตามงานแสดงต่างๆ เป็นการโชว์ความ "แม่นปืน" โดยยิงปืนแบบไม่ต้องเล็งก็ถูกเป้า หรือใช้ในการแสดงของนักมายากล ยิงปืนใส่คมมีดซึ่งปักไว้ แล้วเอาลูกโป่งแขวนไว้หลังคมมีดทั้ง ๒ ข้าง โฆษณาว่า ยิงปืนให้โดนคมมีด ความคมของใบมีดจะผ่ากระสุนออกเป็น ๒ ซีก กระสุนแต่ละซีกจะไปโดนลูกโป่งแตก เป็นการหลอกคนดู ก็ในกระสุนนัดหนึ่งมีเจ้าลูกเหล็กเม็ดเล็กๆตั้งเกือบ ๓๐ เม็ด เอาลูกโป่งแขวนไว้สัก ๑๐ ลูกก็แตกหมด
ถ้าจะถามว่า ทำไมต้องเอากระสุนปืนลูกปรายมาใช้ยิง
คำตอบ
เพื่อความชัวร์ คือตายร้อยเปอร์เซ็น เมื่อลูกกระสุนชนิดลูกปรายผ่านเข้าไปในกระโหลกศีรษะแล้ว ไม่มีทางรอด ไม่ต้องไปผ่าตัดช่วยชีวิต เจ้า"เม็ดยินตัน" ๓๐ เม็ดจะกระจายเต็มไปทั่วมันสมอง แบบไร้ทิศทาง เต็มหัวกะโหลก ชนิดแคะกันไม่หมด แต่ถ้าเป็นหัวกระสุนแบบลูกโดด (ชนิดที่เป็นหัวเดียว) ถ้ายิงถูกกระดูกเกิดมุมที่พอดี กระสุนแฉลบ อาจไม่ผ่านสมอง รอดตายก็ได้
หัวกระสุนลูกปรายไม่ต้องไปตรวจหาเกลียวลำกล้อง คือถ้าจะตรวจว่า ไอ้เจ้าเม็ดเล็กๆดังกล่าวนั้นใช้ยิงมาจากอาวุธปืนกระบอกใด ตรวจไม่ได้เลย เหมาะสำหรับผู้กระทำผิด
เมื่อตรวจหาเกลียวในลำกล้องปืนไม่ได้ แล้วจะใช้อะไรมายืนยันว่า อาวุธปืนที่พบในที่เกิดเหตุเป็นอาวุธที่ใช้ในการสังหารหรือไม่ ผมบอกในตอนต้นแล้วว่า คนใกล้ชิดผู้ตายทุกคนยืนยันว่า อาวุธปืนของผู้ตายเป็นปืนชนิดออโต ถ้าจะยิงตัวตายทำไมไม่ใช้อาวุธปืนของตัวเอง และยังมีเรื่องขัดแย้งกับความรู้สึกอีกเรื่องหนึ่งคือ บาดแผลทางเข้าของกระสุนปืนอยู่ทางด้านขวา คือที่ขมับด้านขวา ความรู้สึกของคนธรรมดาชาวบ้าน แผลอยู่ทางด้านขวา มันก็ต้องใช้มือข้างขวายิง เมื่อยิงแล้วปืนมันก็ต้องตกอยู่ทางขวาของศพ แต่รายนี้แปลก อาวุธปืนไม่ตกถึงพื้น (ผู้ตายอยู่ในลักษณะท่านั่งบนโซฟาชนิดนั่งคนเดียว) อาวุธปืนวางอยู่ตรงสะโพกด้านซ้ายโดยมีมือข้างขวาวางประกบใกล้ๆด้ามปืน ไม่ได้กำปืน
ประเด็นเรื่องตำแหน่งของอาวุธปืน ทำให้ประชาชนทั่วไปที่ได้ทราบต่างไม่เชื่อ ว่าเป็นการกระทำตัวเอง เพราะถ้าบาดแผลเข้าทางด้านขวา ต้องใช้มือขวายิง อาวุธปืนมันจะต้องตกอยู่ทางด้านขวาของศพ
เพียงแค่นี้ก็ถูกวิพากย์วิจารณ์ว่า ต้องเป็นมืออาชีพ ยิงแล้ว"จัดฉาก" ทำให้มีการคิดมากไปกันใหญ่ว่า ต้องเป็นการกระทำของแก๊งโน้นแก๊งนี้ ผู้สืบสวนต้องค้นหาความจริง พิสูจน์ให้ได้ว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร
การตรวจพิสูจน์หาเขม่าดินปืนที่มือของผู้ตายทั้งสองข้าง รวมทั้งที่บริเวณบาดแผลและใบหน้าผู้ตาย พบว่ามีเขม่าดินปืนติดที่มือทั้งสองข้างของผู้ตาย เป็นการยืนยันว่า ผู้ตายจับอาวุธปืนด้วยมือทั้งสองข้างในขณะยิง ส่วนที่บริเวณปากบาดแผลและที่ใบหน้าแถบขวาก็พบเขม่าดินปืน เป็นการยืนยันว่ายังในระยะใกล้ ยิ่งขอบบาดแผลเป็นรอยไหม้ ก็บ่งบอกได้ว่า เป็นการยิงชนิดจ่อปากลำกล้องปืนชิดผิวหนัง (ถ้าหากเป็นกระสุนปืนชนิดลูกโดด (หัวกระสุนเดียว) ไม่ใช่ชนิดลูกปราย รับรองกะโหลกศีรษะหลุดไปทั้งแทบ)
คณะผู้สืบสวนพยายามอธิบายสาเหตุที่อาวุธปืนไม่ล่วงหล่นลงพื้นทางด้านขวาของศพ เพราะผู้ตายจับด้ามปืนด้วยมือทั้งสองข้าง เมื่อลั่นไกปืนแล้ว กระสุนปืนทำลายส่วนสมอง ผู้ตายขาดใจตายทันที ตำแหน่งศีรษะในขณะยิงผู้ตายอาจจะหันหน้าเฉียงซ้าย ตำแหน่งนี้จะทำให้จับด้ามปืนด้วยมือทั้งสองข้างสะดวก ทั้งนี้แขนข้างซ้ายจะเป็นตัวดึง เมื่อหมดสติ อาวุธปืนจะล่วงลงสู้เบื้องล่างตามแรงดึงดูดของโลก แขนทั้งสองข้างก็ลดล่วงสู่ที่ต่ำพร้อมกัน แขนซ้ายช่วยดึงไปทางซ้าย ทำให้อาวุธปืนไม่ตกกระทบพื้นทางขวาของศพ
ในวันที่คณะผู้สืบสวนแถลงประเด็นเกี่ยวกับอาวุธปืน มีการอธิบายตอบปัญหาข้อข้องใจของบรรดาสื่อ ว่าเหตุใดปืนจึงไปอยู่ในลักษณะนั้น (คือไม่ตกที่พื้นด้านขวา) มีนายตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานรับเป็นผู้แสดงแบบ จับอาวุธปืนในลักษณะที่ผมได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ปรากฏว่าเมื่อบรรดาสื่อได้แพร่ภาพออกไป ทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ประชาชนที่เห็นภาพ ต่างมีความเห็นแย้งคณะผู้สืบสวน มันเป็นไปในลักษณะนั้นได้ยังไง ทำไมจะฆ่าตัวเองทั้งทีมันต้องยุ่งยากอย่างนั้น คนเลยไม่เชื่อถือผู้สืบสวนหนักเข้าไปอีก หนำซ้ำโดนด่า
ผมได้ดูภาพที่ออกทางโทรทัศน์ก็ได้คำตอบ ก็เพราะนายตำรวจผู้ที่ทำท่าทางแสดงเป็นผู้ตายตอนถูกยิง เป็นคนค่อนข้างสูง แขนยาว เวลาจับปืนดูเก้งก้าง ไม่เป็นธรรมชาติ ดูแล้วเหมือนฝืนๆ คนดู ที.วี.คนฟังข่าว"อิน"ไปกับเหตุการณ์ ไม่ได้คิดว่าเป็นการแสดงแทนตามทฤษฎีของแรงโน้มถ่วง
ผมต้องทำงานสวน"กระแส" จะทำอย่างไรให้คนเชื่อ รออ่านตอนที่๒นะครับ.