ตายอย่างหมาข้างถนน ตอนที่ 6 (บทความของเพลิงมรกต)
ผมอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับประจำวันเสาร์ ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๐ คอลัมน์ที่ผมชอบและอ่านประจำทุกวัน คือคอลัมน์ เลขที่ ๑ วิภาวดี ฯ ของคุณ เพลิงมรกต จะตีกรอบสี่เหลี่ยมไว้ด้านในของปกหลัง เขียนสั้นกะทัดรัดมีแต่เนื้อหาสาระ ที่สำคัญก็คือ นำเอาความเดือดร้อนของประชาชนมาลงไว้ตรงนี้ทุกวัน ตำรวจทุกคนต้องอ่านอยู่แล้ว เพราะเขาอยากรู้ว่า โดนด่า โดนร้องร้องเรียน หรือมีใครไม่ได้รับความเป็นธรรมในท้องที่ๆตนรับผิดชอบกำกับดูแลบ้าง ตำรวจที่ดีเมื่อรับทราบข้อมูลก็จะรีบไปแก้ไข ถ้าข้อมูลผิดพลาดก็รีบชี้แจงไป แต่มีตำรวจบางคนกลับไปโกรธหนังสือพิมพ์ สำหรับผมคิดว่าหนังสือพิมพ์เป็นสื่อกลาง เสนอข่าวอย่างเป็นธรรมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะทำให้สังคมเกิดความเป็นธรรมและน่าอยู่ยิ่งขึ้น
คุณเพลิงมรกตเขียนหัวเรื่องว่า คดีอิทธิพล อ่านแล้วมันตรงกับเรื่องที่ผมกำลังเขียนอยู่ คือ ตายอย่างหมาข้างถนน ผมขออนุญาตนำบทความของคุณเพลิงมรกตมาลงใน web ของผม ดังนี้.
นางโสภา ฯแม่ผู้สูญเสียลูกชายจากอำนาจเถื่อน ร้องเรียนหาความเป็นธรรมให้ลูกชาย หลังจากลูกชายถูกฆ่าตายมานานกว่า ๑ ปีแล้ว แต่ตำรวจยังจับใครมาลงโทษไม่ได้
นายสุรศักดิ์ ฯลูกชายคนเล็กอายุ ๑๕ ปี ๑๑ เดือน เกิดชอบพอกับเพื่อนนักเรียนหญิงรุ่นเดียวกัน แต่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงไม่ชอบ พยายามกีดกันทุกอย่าง ราวๆสองทุ่มของวันเกิดเหตุ คือวันที่ ๒๒ ก.ย. ๔๙ พ่อของฝ่ายหญิงให้ลูกสาวโทรมานัด ให้ลูกชายออกไปหา ลูกชายคนเล็กจึงขี่รถจักรยานยนต์ออกไป โดยมีพี่ชายนั่งซ้อนไปเป็นเพื่อน ระหว่างทางมีรถปิกอัพโตโยต้าสีเขียวปากเป็ดขับมาจอด ชายฉกรรจ์ราว ๑๐ คนกรูออกมาจากรถ คนหนึ่งกระโดดเตะเข้าที่หน้าอกลูกชายคนเล็ก อีกคนต่อยเข้าที่ปาก ทำให้รถเสียหลักตกลงไปในน้ำ จมน้ำทั้งคนทั้งรถ จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ชักปืนออกมายิงใส่บริเวณรถและคนจมน้ำ พร้อมตะโกนเรียกหาลูกชายคนเล็กของเธอ เมื่อไม่มีใครออกมา สักพักชายฉกรรจ์ก็พากันนั่งรถกลับไป หลังจากนั้นลูกชายคนโตที่ไปซ่อนตัวอยู่ในป่าก็ออกมาตามหาน้อง สุดท้ายพบจมน้ำตาย
ลูกชายคนโตไปแจ้งความไว้ที่ สภ.อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ปรากฏว่าคืนนั้นไม่มีตำรวจไปดูที่เกิดเหตุเลย จนเช้าวันรุ่งขึ้นมีตำรวจนอกเครื่องแบบมาดูที่เกิดเหตุล่วงหน้า อีกครึ่งชั่วโมงร้อยเวรก็ตามมา พบปลอกกระสุนปืนลูกซอง ๑ ปลอก ขณะที่ตำรวจกำลังตรวจที่เกิดเหตุ มีชายฉกรรจ์ ๔-๕ คนนั่งมาในรถปิกอัพคันก่อเหตุขับผ่านมา เธอรีบแจ้งตำรวจแต่ตำรวจไม่สนใจ กลับบอกว่าปล่อยให้เขาทำงานไปก่อน
ต่อมา สภ.อ.บางเสาธงออกหมายจับคนร้าย แต่ออกหมายจับเพียงคนเดียวทั้งที่ร่วมกันนับสิบคน รวมทั้งพ่อของเด็กหญิงด้วย เธอพยายามร้องเรียนไปหลายแห่งที่คิดว่าจะให้ความเป็นธรรมได้ ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม ศูนย์ดำรงธรรม ฯลฯ ก็ไร้ความหมาย ทั้งที่คดีมีปมเหตุชัดเจน ลูกชายคนโตจำยี่ห้อและทะเบียนรถได้ กลับไม่มีความคืบหน้า เธอพยายามติดตามคดี แต่ไปที่โรงพักทีไรก็มีแต่เสียงพูดจาดูถูกเหยียดหยามเช่น มาอีกแล้ว มาทำไม เรื่องเดิมใช่ไหม หรือ ออกหมายจับให้แล้วไง บางครั้งบ่ายเบี่ยงว่า ออกหมายจับให้แล้ว คุณรู้หรือเปล่าว่าคนร้ายอยู่ที่ไหน
พ่อของเด็กผู้หญิงเป็นคนมีอิทธิพลในพื้นที่ มีทั้งเงินและบารมี กลุ่มคนที่ฆ่าลูกของเธอจึงลอยนวลอยู่ทุกวันนี้.
ถ้าหากข้อมูลถูกต้องเป็นจริงตามที่คุณเพลิงมรกตได้เขียนในบทความ ผมว่ามีหลายเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของ สน.บางเสาธงต้องรีบแก้ไข เช่นการออกไปตรวจหาร่องรอยในที่เกิดเหตุต้องรีบกระทำโดยทันที โชคดีสำหรับผู้ที่อยู่ในนครบาล (กทม.) เมื่อเกิดเหตุคดีอุกฉกรรจ์ใน กทม. ตัวผู้บัญชาการซึ่งใหญ่ที่สุดของตำรวจนครบาล จะไปดูที่เกิดเหตุด้วยตนเอง และจะไปถึงก่อนใครด้วย เพราะท่านได้สั่งการศูนย์วิทยุแจ้งเหตุว่าต้องแจ้งท่านก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อผู้บัญชาการไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว หากตำรวจท้องที่ยังไปไม่ถึงก็ เป็นเรื่องทีเดียว แล้วเมื่อนายใหญ่ไปคนนายอันดับรองๆก็จะตามไปเป็นพรวน มันทำให้มีการสั่งการสั่งงานแบ่งหน้าที่กันทำได้ทันท่วงที ผู้เสียหายก็อุ่นใจ แต่ก็มีช่องว่างทางกฎหมายอยู่นิด ปัจจุบันนี้หากไม่ได้เป็นเหตุ เกิดซึ่งหน้า หรือเห็นขณะกระทำผิด จับกุมไม่ได้ครับ บัญญัติไว้โดยกฎหมายว่า ต้องออกหมายเรียกหรือหมายจับเท่านั้น ก็กฎหมายคุ้มครองสิทธิบุคคลรวมทั้งคุ้มครองโจรด้วย
ส่วนเรื่องที่ว่า ออกหมายจับให้แล้วไง คุณรู้หรือเปล่าว่าตัวอยู่ที่ไหน อันนี้ผมอายแทนจริง ๆ มันเป็นเรื่องของตำรวจ มีหน้าที่ต้องตามจับกุมตัวมาลงโทษให้ได้ ทำให้นึกถึง คุณสุนันทา ฯ ซึ่งเคยเขียนถึงผมว่ามีปัญหาลักษณะเดียวกันนี้
ผมจึงขอยกบทความของคุณ เพลิงมรกตมาลงให้ท่านอ่าน และได้ใช้วิจารณญาณว่า เหตุที่มันตายอย่างหมาข้างถนน เพราะอะไร.