บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ตายอย่างหมาข้างถนน ตอนที่ 2 (ได้เค้ามือปืน)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› ตายอย่างหมาข้างถนน ตอนที่ 2 (ได้เค้ามือปืน)




ร.ต.อ.ศุภมินทร์ นิยะโต๊ะเป็นคนภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนราธิวาส (หนึ่งในสามของจังหวัดที่มีปัญหาทางภาคใต้) ศุภมินทร์ฯเข้าสู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจตามโครงการ “ช้างเผือก”ของกรมตำรวจในขณะนั้น คือมีการคัดเลือกนักเรียนที่เรียนดี จากโรงเรียนในจังหวัดภาคใต้ ให้ได้มีโอกาสเข้าศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษา ใน กทม. เมื่อจบการศึกษาแล้วจะได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด ศุภมินทร์ฯเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ฝึกหัดงานใน กทม.แล้วเลยติดใจแสงสีเมืองหลวง ไม่กลับไปพัฒนาบ้านเกิดตามความคาดหวังของโครงการ หากกลับไปอยู่บ้านเกิดเสียแต่แรก ป่านนี้ก็คงจะยังมีชีวิตอยู่

คดีศุภมินทร์ฯถูกฆ่า การสืบสวนสอบสวนอยู่ในอำนาจของตำรวจนครบาล เป็นคดีของ สน.โชคชัย ตำรวจนครบาลเป็นที่ยอมรับว่าฝีมือการสืบสวนสอบสวนไม่เป็นสองรองใคร สมัยนั้นท่านวรรณรัตน์ฯปรมาจารย์นักสืบ เป็นหัวหน้าใหญ่ของตำรวจนครบาล แต่ทำไมสืบไม่ออก ส่วนกองปราบปรามซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ตาย ก็ชอบที่จะทำการสืบสวนได้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ นักสืบฝีมือดีๆที่กองปราบก็มีอยู่มาก แต่ก็เงียบ เป่าสากยังดังกว่า

ศุภมินทร์ฯตายวันแรก มีการ “ตีปี๊บ”ทำขึงขัง เห็นภาพน่าเลื่อมใสศรัทธา (ก่อนจะกลายเป็นสร้างภาพในที่สุด) ผู้บังคับการกองปราบปรามในขณะนั้น ได้เรียกนายตำรวจกองปราบรวมแล้วเกือบ ๕๐ คน พร้อมด้วยกองทัพนักข่าว นั่งเครื่องบินของกองบินกรมตำรวจ นำศพศุภมินทร์ฯไปที่บ้านเกิด คือจังหวัดนราธิวาส เพื่อทำการฝังตามประเพณีอิสลาม ผมยังจำภาพติดตาม ตอนที่แบกโลงศพศุภมินทร์ฯเพื่อไปทำพิธีฝัง ตำรวจทุกนายแต่งเครื่องแบบยืนเข้าแถวเป็นเกียรติยศ ญาติๆของศุภมินทร์ฯร้องไห้ระงม ผู้บังคับบัญชากองปราบประกาศลั่น ต้องจับกุมตัวผู้กระทำผิดรายนี้ให้ได้ แล้วพวกเราก็เดินทางกลับ ทิ้งร่างศุภมินทร์ฯหลับยาวอยู่ใต้พื้นดินอันเป็นถิ่นเกิดของเขา จนกระทั่งทุกวันนี้

วันเวลาผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และเป็นหลายๆปี คุณพ่อของศุภมินทร์ฯตลอดจนพี่น้อง โทรศัพท์ติดต่อผมเป็นสิบๆครั้ง เพื่อสอบถามความคืบหน้า หนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมฉบับแล้วฉบับเล่าส่งถึงกรมตำรวจ ผู้บังคับบัญชาเซ็นสั่งการเป็นทอดๆ สุดท้ายก็ไปกองรวมที่กองปราบบ้าง ที่นครบาลซึ่งเป็นต้นเรื่องบ้าง ผมอดรนทนไม่ได้จริง ผมเข้าไปปรึกษากับนายตำรวจท่านหนึ่งซึ่งเป็น “มือปราบ”ของกองปราบปราม หารือว่า เราจะต้องทำอะไรสักอย่างให้มันเด็ดขาดสงไป นายตำรวจมือปราบผู้นี้จับมือผมเข้าไปจับเข่าคุยกันกับผู้บังคับการกองปราบปราม ภายในห้องนั้นมีกันเพียง ๓ คน ผู้บังคับการกองปราบปรามยืนยันกับผมและนายตำรวจผู้นั้นว่า “เรื่องนี้ผมต้องทำให้เรียบร้อย” จนบัดนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า ไอ้คำพูดว่า “ผมต้องทำให้เรียบร้อย” มันหมายถึงทำอะไร และจะเรียบร้อยไม่ไหร่

พูดถึงผู้บังคับการกองปราบปรามผู้นี้ เป็นมือปราบหนึ่งในยุทธจักร “ป๋าลอ”มือปราบพระกาฬที่อยู่ในคุกยังยอมสยบ เป็นใครเดี๋ยวบอกชื่อร้อง “อ๋อ”

ผมวิ่งไปหาท่านวรรณรัตน์ฯที่นครบาล ปรึกษาเรื่องนี้ ท่านแสดงท่าทางอึดอัดที่จะพูด ประกอบกับท่านก็ใกล้เกษียณอายุราชการ อย่ากระนั้นเลยลุยเองดีกว่า แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ มันโดดเดี่ยวโหวงเหวงสิ้นดี
ผมเริ่มได้ข้อมูลจากตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับศุภมินทร์ สองคนนี้เขาสนิทกันมาก เคยกินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ ส่วนมากหลังเสร็จภาระกิจหน้าที่การงานแล้ว จ่าผู้นี้จะขับรถพาศุภมินทร์ฯไปยังที่ไม่เปิดเผยและคอยรับกลับ จ่าเล่าให้ผมฟังว่า ก่อนเกิดเหตุศุภมินทร์ฯบ่นกลุ้มใจ แต่ไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร เพียงแต่เอ่ยว่า “เป็นเฮียซ๊ะด้วย” แสดงว่าต้องไปมีเรื่องบาดหมางกับ “เฮีย” คำว่า “เฮีย”นี่เป็นคำที่นักเรียนนายร้อยตำรวจใช้เรียกนายตำรวจรุ่นพี่ “เฮีย”ผู้นี้เป็นใครกัน และมันเรื่องอะไรกัน

การสืบสวนมันต้องเริ่มที่สาเหตุก่อน การสืบหาสาเหตุก็สืบไป เรื่องการหาร่องรอยพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าคนร้ายเป็นใคร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป ผมยังเชื่อเรื่องวิญญาณ ศุภมินทร์ฯคงจะรู้ว่าการติดตามหาคนร้ายที่ฆ่าเขาถึงทางตัน คือคนที่น่าจะรู้เรื่องว่าคนร้ายเป็นใครก็ไม่ทำ ไอ้คนที่ทำก็ไม่รู้เรื่องต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้ว่าอะไรมันมาดลใจให้มีการปะติดปะต่อเรื่องราวจนเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ หลังจากเกิดเหตุประมาณเดือนเศษ ญาติสนิทของผมซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่บอสตันอเมริกาโทรมาหาผมที่กรุงเทพ ถามเรื่องตำรวจกองปราบที่ถูกฆ่า ผมงงว่าญาติของผมอยู่อเมริการู้ได้ยังไง ญาติผมบอกว่า มีเพื่อนเรียนอยู่ที่บอสตันเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเขาที่อยู่กรุงเทพและอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยนั่งอยู่ในรถแท๊กซี่ห่างจากรถที่ถูกยิงเพียงมีรถอื่นคั่นอยู่คันเดียว เห็นเหตุการณ์ เป็นคดีใหญ่ หนังสือพิมพ์ในเมืองไทยพาดหัวข่าว ผมดีใจมากบอกกับญาติว่า ผู้ที่ถูกยิงเป็นตำรวจหน้าห้อง จากนั้นเป็นต้นมาผมต้องโทรศัพท์ข้ามทวีป ให้ญาติติดต่อเพื่อน ให้เพื่อนของญาติติดต่อไปยังพยานที่นั่งในรถแท๊กซี่ดังกล่าว มันทุรักทุเรน่าดู ผมตามเรื่องจนสำเร็จ สามารถติดต่อกับพยานได้ เป็นนักศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาแถวๆหัวหมาก ผมรีบบึ่งไปยังสถานศึกษา ขออนุญาตอาจารย์ก็แสนยาก เมื่อพบพยานแล้วก็ต้องอ้อนวอนกันพอสมควร คือพยานไม่อยากยุ่งกลัวเดือดร้อน ผมต้องเอาชีวิตผมเป็นประกันว่า จะรักษาความลับและจะไม่ให้พยานไปถึงสถานีตำรวจหรือขึ้นศาลเด็ดขาด เพียงอยากได้ข้อมูลไปใช้ในการสืบสวน ผมรับรองแค่นี้ยังไม่พอ ยังต้องไปรับรองยืนยันกับพ่อแม่ของพยานอีกด้วย พอดีญาติผู้ใหญ่ของพยานรู้จักผมและมีความเชื่อถือว่าผมไม่เป็นคนเหลวไหล จึงยอมให้ลูกเขามาเป็นพยาน สรุปว่าผมได้พยานรวม ๔ คน

ผมจะทำยังไงดี ต้องรักษาความลับของพยาน ผมผิดสัญญาที่รับปากกับพยานไม่ได้ เวลาเดียวกันก็อยากจะฉีกหน้ากากเปิดโปงว่า ใครคือฆาตรกร นี่แหละเป็นปัญหาที่นักสืบเจอกันอยู่บ่อยๆ จนทำให้ต้องเกิดการ “อุ้ม”ขึ้นมา
ผมบอกแต่ตอนต้นแล้วว่า พยานคดีเรื่องนี้ความจำดีมาก จำหน้าคนร้ายได้แม้คนร้ายจะสวมหมวกกันน็อก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นหมวกกันน็อกชนิกครึ่งใบ คนร้ายสวมหมวกแบบเปิดกระบังหมวกขึ้นและไม่ได้คาดสายรัดคาง และพยานชุดนี้ช่างเก่งอะไรขนาดนั้นชนิดผมเองก็นึกไม่ถึง พยานบอกว่า “ผมจำหน้าคนร้ายได้แม่นยำเพราะว่า หน้าคนร้ายไปเหมือนกับพนักงานขายปิซซ่าที่ร้านย่านหัวหมาก” พยานรู้จักคุ้นเคยกับพนักงานขายปิซซ่าผู้นี้ และที่เด็ดไปยิ่งกว่านั้น พยานจดลักษณะรถจักยานยนต์ของคนร้ายพร้อมเลขทะเบียนรถได้ ๒ ตัว เหตุที่จำได้เพียง ๒ ตัวเพราะ อีก ๒ ตัวที่เหลือ มีโคลนทาทับ เข้าใจว่าคนร้ายทำขึ้นเป็นการอำพราง (รถจักรยานยนต์คนร้ายเลขทะเบียนเป็นเลข ๔ ตัว)

งานต่อไปของผมก็คือ ติดต่อเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญสเก็ตภาพคนร้าย จากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ไปสเก็ตภาพคนร้ายนอกสถานที่ รายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับตัวคนร้ายได้จากนักศึกษาทั้ง ๔ ส่วนเค้าโครงใบหน้าคนร้ายต้องไปแอบซุ่มดูเค้าโครงหน้าของหนุ่มร้านขายปิสซ่าที่หัวหมาก ทั้งหมดนี้ต้องทำเป็นความลับ ผมต้องพาเจ้าหน้าที่สเก็ตภาพและพยานทั้ง ๔ ไปทานปิซซ่าที่ร้านดังกล่าวหลายครั้ง กินปิซซ่ากันจนเอียน ในที่สุดก็ได้ภาพสเก็ตออกมา พยานประเมินภาพแล้วมีความเหมือนประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็น จุดเด่นของคนร้ายคือใบหน้าแบบคนใจดี นัยตาเล็กคม ได้ภาพสเก็ตคนร้ายมาแล้ว จะไปแห่กันที่ไหนต่อไปล่ะ

ผมเชื่อว่า วิญญาณของศุภมินทร์ต้องช่วยผม ติดตามในภาคต่อไปครับ.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์