ตายอย่างหมาข้างถนน ตอนที่ 1
คำว่า ตายอย่างหมา หรือที่ชอบพูดกันว่า ตายยังกับหมาตัว เป็นคำพูดเปรียบเปรย เยาะเย้ย เป็นการประมาณการแบบเจียมสังขาร บ่อมิไก๊ อะไรทำนองนั้น ขึ้นอยู่กับผู้พูดเป็นใคร ถ้าเป็นนักเลงหรือผู้มีอำนาจพูดก็หมายถึง ถ้า กูจะ ทำซะอย่าง มึงจะมีอะไรอึเป่ว (เองมันแค่มดปลวก ไม่มีความหมาย ตายฟรี) ถ้าเป็นผู้น้อยด้อยวาสนาหรือผู้ยากไร้ต่ำต้อยพูด ก็หมายถึง อย่าไปสู้รบตบมือกับเขาเลย เราไม่มีอะไรไปสู้กับเขา จะกินยังไม่ค่อยจะมี นึกว่าเป็นเวรกรรมของเราก็แล้วกัน พวกหลังนี่ก็ได้แต่รำพึงกับตัวเองและในหมู่ญาติพี่น้อง พร้อมกับสวดมนต์ไหว้พระบนบาลศาลกล่าว แช่งให้ไอ้คนทำมันมีอันเป็นไป ให้ตายตกไปตามกัน แต่ผมไม่เห็นไอ้พวกที่ทำบ้าๆบอๆเหล่านั้น มันตายสักคน มีแต่ได้ดี ก็ได้แต่หวังว่า ชาติหน้าขอให้มันไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นเรื่องจริงครับ คิดว่าคำกล่าวนี้มันเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของคนหลายๆคนที่เป็นญาติพี่น้องหรือคนรู้จักมักคุ้นกับผู้สูญเสีย สะท้อนถึงการปฏิบัติการที่ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาคหรือเลือกปฏิบัติ ในชีวิตการรับราชการของผม ได้ประสบมาหลายราย ผมสงสารพ่อแม่ญาติพี่น้องของผู้ที่สูญเสีย ผมอยากจะช่วย บางเรื่องช่วยได้ บางเรื่องช่วยได้เพียงบางส่วน แต่บางเรื่องไม่สามารถจะเข้าไปช่วยได้จริงๆ มันมีสาเหตุหลายประการ
ประการแรกคือ ไม่มีอำนาจพอ ตำแหน่งหน้าที่ของเรามันเพียงเล็กๆ ยังมีเจ้านายอยู่บนหัวกระบาลอีกเป็นกระบุง คือไม่ได้ใหญ่จริง ใหญ่กว่าเรายังมี บางเรื่องเมื่อไปปรึกษาหารือ เจ้านายบางคนมักจะพูดว่า อย่าไปยุ่งกับมันเลย แค่นี้ก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว หรือ ทำได้แค่นี้ก็ดีถมแล้ว ไม่ใช่ญาติพี่น้องอะไรของเรา เสี่ยงเปล่าๆ คือพูดง่ายๆว่า ไม่ได้ไฟเขียว
ประการที่สอง ทีมงาน จะทำงานใหญ่ งานเสี่ยงภัย เสี่ยงตาย จะต้องมีทีมงานที่รู้ใจกัน สามารถตายแทนกันได้ จะเอายังไงก็เอากัน ไม่มีการหักหลัง ความลับไม่รั่วไหล ข้อนี้สำคัญมาก หลายเรื่องหลังจากปฏิบัติงานเสร็จแล้ว มีการปูดเรื่องจนต้องมีการฆ่ากันเอง บ้างก็ต้องไปติดคุก บ้างก็ไปตายในคุก บ้างก็หายสาบสูญ ผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า งานใหญ่ๆไม่ใช่ทำได้กันทุกคน ในวงการพอรู้ๆว่า ใครมีฝีมือ ทำได้ ใคร ทำไม่ได้ ใครของ จริง หรือ ของปลอม ถ้าท่านติดตามดูความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะพบว่าผู้ที่ได้ดีจะเป็นผู้มีฝีมือเป็นส่วนใหญ่ ไม่ลูก บู๊ดี ก็ บุ๋น (เสนาธิการ วางแผน) ดี ทั้งนี้ไม่นับรวมพวกเส้นสายหรือเด็กฝาก พวกหลังนี่ ขึ้นเร็ว ลงเร็ว เหมือนผีพุ่งไต้ เห็นแสงขึ้นแว๊บเดียวแล้วก็หายไป (หายตามก้นนายไปด้วย)
ประการที่สาม เรื่องความปลอดภัย บางเรื่องพอจะ ลุย มันก็มีสิ่งบอกเหตุว่า อาจจะมีภัย อาจจะเกิดขึ้นกับตัวหรือครอบครัว หรือกับผู้ให้ข่าวหรือข้อมูล กับตัวเองไม่ค่อยเท่าไร เพราะพร้อมรับมือ แต่กับครอบครัวนี่ซิเป็นจุดอ่อน เดี๋ยวนี้มันเอากันทุกรูปแบบ ไม่มีกฏเกณฑ์กติกา ดูอย่าง ป๋าลอ อดีตมือปราบพระกาฬซึ่งต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก ตอนเป็นมือปราบฆ่าโจรไปเยอะ ภัยยังไปถึงลูกชายซึ่งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แต่ปรากฏว่าลูกชายไปจมน้ำตายในคลองชลประทาน น้ำก็ตื้นๆ และไม่ใช่สถานที่ๆเหมาะจะไปเล่นน้ำอะไรเลย มันเป็นไปได้ไง อย่างนี้เรียกว่า เหนือฟ้า ยังมีฟ้า และมือปราบก็มีโอกาสพลาด เพราะมีการ ปูดเรื่อง คอยติดตามดูกันต่อไปก็แล้วกัน ถ้ามือปราบผู้นี้ออกมาได้ ต้องมีอะไรดีๆให้เห็น
ประการที่สี่ เรื่องทุนทรัพย์ ทำงานใหญ่ งานเสี่ยงภัย ต้องใช้เงินเยอะ เข้าตำรา กองทัพเดินด้วยท้อง หมายถึงคนทำงานมันต้องกินต้องใช้ ไหนจะต้องมีงบกันพลาด ( ค่าวิ่งเต้นล้มคดี ) งบปิดปาก (จ่ายให้กับผู้เสียหาย ผู้เกี่ยวข้อง นักข่าว เป็นต้น ) ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อทางสะดวก ค่าใช้เพื่อให้กองหลัง (ครอบครัว) ไว้ใช้จ่ายยามหัวหน้าครอบครัวไปทำงาน หรือไม่ ถ้าหัวหน้าครอบครัวเกิดต้องไปตาย ก็ต้องชุบเลี้ยงบริวารที่ยังอยู่ตามสมควร อย่างนี้ลูกน้องจึงจะมีกำลังทำงานแบบถวายชีวิต
ตายเหมือนหมา เตือนสติว่า จะทำอะไรให้คิดหน้าคิดหลัง อย่า กร่าง อย่าสร้างสัตรู คติโจร เมื่อมีปัญหา ถ้าเคลียหรือพูดจาทำความเข้าใจกันไม่ได้ ต้องลงมือจัดการเสียก่อน
ตายอย่างหมา เรื่องที่ ๑ เป็นเรื่องของลูกน้องผมเอง เป็นนายตำรวจหนุ่มอยู่หน้าห้องทำงานผม สมัยที่ผมรับราชการอยู่ที่กองปราบปราม นายตำรวจผู้นี้จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อายุเพิ่งขึ้นเลขสองนำหน้า เรื่องรูปหล่อหุ่นดีไม่มีใครกินเขาลง ยังโสดไม่ยอมแต่งงาน สาวติดกันตรึม เขาชื่อ ร.ต.อ.ศุภมินทร์ นิยะโต๊ะ ในช่วงที่เกิดเหตุ ร.ต.อ.ศุภมินทร์ฯกำลังศึกษาระดับปรัญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกริก ทำให้มีแฟนนักศึกษาสาวๆจาก ม.เกริกอีกเยอะ
วันเกิดเหตุตรงกับวันเสาร์หยุดราชการ ร.ต.อ.ศุภมินทร์ฯนั่งทำเอกสารการบ้านเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาอยู่หน้าห้องที่ทำงานของผม อยู่บนอาคารชั้นที่ ๓ กองปราบปราม ตั้งอยู่ถนนพหลโยธิน (กองปราบฯปัจจุบันนี้) โดยมีเพื่อนนักศึกษา ม.เกริกร่วมทำงานอยู่ด้วย ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑๖.๐๐น.ก็มีโทรศัพท์ถึงศุภมินทร์ เพื่อนฟังได้ความว่า มีการนัดทานข้าวเย็นกัน จะทานกันที่ไหน ใครเป็นคนนัด ไม่อาจทราบได้ ว่าแล้ว ศุภมินทร์ฯกับเพื่อนๆก็แยกย้ายกันกลับ ผมมีความสงสัยผู้ที่โทรศัพท์นัดหมายรายนี้มาก มันต้องรู้เห็น หรือเป็น นกต่อ ให้กับคนร้าย และจะต้องเป็นผู้หญิงด้วย มันทำให้ศุภมินทร์ฯต้องหยุดทำงานแล้วปลีกตัวขับรถไปแต่ผู้เดียว ส่วนเพื่อนๆอีก ๓-๔ คนนั่งรถแท๊กซี่แยกทางไป
ร.ต.อ.ศุภมินทร์ฯขับรถเก๋งมาสด้าคูเป้ (๙๒๙) ๒ ประตูสีแดง ออกจากกองปราบฯมุ่งตรงไปถนนลาดพร้าว จอดรถติดสัญญาณไฟแดงที่แยกซอยโชคชัย ๔ รถของศุภมินทร์ฯอยู่ในช่องตรงไป เป็นช่องเดินรถช่องที่สองนับจากเกาะกลาง (ถนนลาดพร้าวช่วงนั้นมีช่องเดินรถ ๔ ช่อง ในทิศทางเดียวกัน) ทันใดก็มีรถจักยานยนต์ มีชายขับขี่ อีกชายนั่งซ้อนท้าย ขับขึ้นมาทางท้ายด้านขวาของรถศุภมินทร์ฯ ชายที่มากับรถจักรยานยนต์ทั้งสองคนสวมหมวกกันน๊อกทั้งคู่
ท่านผู้อ่านครับ ขอให้จำเป็นบทเรียนนะครับ รถจักยานยนต์นั้น กฏหมายบังคับให้ขับรถชิดซ้าย แต่นี่กลับขับอยู่ทางขวาของทาง ถ้าท่านพบเห็นลักษณะนี้ต้องสงสัยไว้บ้าง ต้องมีอะไรแน่
รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวค่อยๆขับแซงขึ้นขวารถของศุภมินทร์ฯจนเลยขึ้นหน้าไปประมาณ ๑๐ เมตร (ขณะนั้นรถติดสัญญาณไฟ แต่รถจักรยานยนต์สามารถซอกแซกขึ้นหน้าได้) ทันใดนั้นเองชายผู้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ก็ลงจากรถ เดินตรงไปที่รถของศุภมินทร์ฯ ยืนในระยะห่างประมาณ ๑ วาเศษพร้อมกระตุกอาวุธปืนพกออกมาด้วยความเร็ว เป็นอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด.๓๕๗ ระดมยิงไปที่ร่างของศุภมินทร์ฯประมาณ ๓-๔ นัด ท่ายิงปืนของมือปืนรายนี้ตามแบบฝึกเป๊ะ คือยืนเท้าแยก ย่อเข่าลงเล็กน้อย จับอาวุธปืนด้วยมือทั้งสองข้าง ยิงแบบ ดับเบิลแอ็คชั่น คือยิงแบบไม่ต้องง้างนก ชัดเจนว่ามือปืนเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกแบบยิงประจันบาน หรือที่สมัยก่อนเรียกว่ายิงปืนพกแบบ พี.พี.ซี. ระยะห่างขนาดนั้นกระสุนปืนไม่พลาดเป้า กระสุนปืนพุ่งเข้าสู่ร่างของศุภมินทร์ฯเป็นกลุ่ม ศุภมินทร์ฯก็ทนทายาดเสียแต่ที่ไม่ได้ระวังตัวมาก่อน สัญชาติญาณตำรวจปืนอยู่ใกล้ตัวทุกคน ศุภมินทร์ฯหยิบอาวุธปืนพกที่วางอยู่ข้างกาย แต่อนิจาแขนของศุภมินทร์ฯไม่มีแรงแม้จะจับอาวุธปืน ส่วนมือปืนก็โคตรใจเย็น ยืนมองดูผลงานไม่ยอมหนี มือทั้งสองข้างของมือปืนก็ยังจับด้ามปืนจ้องไปที่เป้าหมาย ดูให้แน่ใจว่าจะสู้หรือเปล่า ว่าแล้วมือปืนก็เดินไปที่รถของศุภมินทร์ฯแล้วใช้มือข้างหนึ่งเปิดประตูรถด้านคันขับ อีกมือหนึ่งกำด้ามปืนพร้อมยิง พอประตูรถเปิดออก ร่างของศุภมินทร์ฯก็หัวทิ่มออกมาข้างรถโดยที่มือยังจับด้ามปืน ก้นยังอยู่บนเบาะนั่ง หัวห้อยลงมา มือปืนเห็นว่าเป้าหมายสิ้นใจแน่แล้วก็กลับไปขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ ขับหลบหนีไป
ที่ผมกล่าวมาอย่างละเอียดนี้ จากปากคำพยานซึ่งนั่งอยู่บนรถแท๊กซี่จอดติดสัญญาณไฟ ห่างจากรถของศุภมินทร์ฯโดยมีรถยนต์อื่นคั่นอยู่หนึ่งคัน พยานนั่งอยู่ในรถแท๊กซี่ ๔ คน เป็นนักศึกษา ความจำพยานดีมาก พยานยืนยันกับผมว่า เขายิงคนแบบไม่สะทกสะท้าน เหมือนกับสิ่งที่เขาทำนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกกฏหมาย ขณะเกิดเหตุประมาณ ๑๗.๐๐ น.ยังไม่ค่ำ ยวดยานพาหนะจอดติดไฟแดงนับสิบๆคัน ไม่มีใครเข้าช่วยเหลือหรือสกัดกั้นคนร้าย ส่วนพยานทั้ง ๔ คนนี้ผมได้มาแสนลำบากยากเย็น กว่าจะได้พยานเหล่านี้เวลาก็ล่วงเลยไปเป็นเดือน ต้องโทรศัพท์ข้ามทวีปไปขอร้องคนให้ไปพูดกับพ่อแม่ของพยาน พูดง่ายๆ พยานเขากลัวตาย สมัยนั้นไม่มีการคุ้มครองพยาน สมัยนี้ทราบว่ามีหน่วยงานคุ้มกัน แต่ผมไม่ค่อยเชื่อฝีมือ คดีแรงๆ (คดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลหรือคนมีสี) พยานตายในลักษณะแปลกๆ บางรายหายตัวไปเฉยๆ บางรายก็ตายเหมือนหมา
ปัญหาของสังคมไทยที่ทำให้อาชญากรรมไม่เกรงกลัวกฏหมายสิ่งหนึ่งก็คือ การให้ความร่วมมือเป็นพยาน และการทำหน้าที่เป็นพลเมืองดีที่จะเข้าไปสกัดกั้นคนร้าย เมื่อประสบเหตุซึ่งหน้า ผมไม่ได้ตำหนิหรอกครับ เพียงแต่รำพึงออกมาเป็นตัวหนังสือ ผมเห็นใจประชาชนครับ กฏหมายไม่ได้ให้ความคุ้มครอง จะพกพาอาวุธปืนไปเพื่อป้องกันตัวก็โดนจับกุม โดยเจ้าหน้าที่บางคนก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง จะเอาแต่สถิติการจับกุม กฏหมายเขาให้ใช้ดุลพินิจว่า มีเหตุอันสมควรหรือไม่ กลับไม่ใช้ และการไปเป็นพยานก็ไม่ค่อยได้รับความสะดวก ให้รอนาน ไม่มีความมั่นใจว่าจะปลอดภัย เขาเสียเวลาทำมาหากิน ความลับก็ไม่มี ใครเป็นพยานคดีสำคัญบางทีถูกถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ รู้กันทั่ว แล้วมันจะปลอดภัยได้อย่างไร เงินชดเชยกรณีบุคคลทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี เข้าช่วยเหลือผู้ประสพภัยจนต้องเสียชีวิต กฏหมายก็ยังไม่คุ้มครองเป็นเรื่องเป็นราว มันควรมีกฏหมายระบุให้ชัดเจนไปเลย ถ้าเป็นการตายหรือมีการสูญเสีย เหตุเพราะทำหน้าที่พลเมืองดี จ่ายไปเลยชีวิตละ ๒ ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ ให้มันคุ้มค่าเสี่ยงหน่อย
ผมยังจำคำพูดของพยานซึ่งเป็นนักศึกษาได้ว่า มือปืนใช้เวลายิงและยืนดูเหยื่อหลังจากถูกยิงแล้วเป็นเวลานานมาก เขายิงแบบกระหยิ่ม เหมือนเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง ผมเกือบจะเอากล้องถ่ายรูปที่ติดตัวไปด้วยถ่ายภาพไว้แล้ว แต่คนขับแท๊กซี่ห้ามไว้ คำพูดของคนขับรถแท๊กซี่ที่ผมได้รับการถ่ายทอดจากพยานนักศึกษา ผมได้ยินแล้วเศร้า ก็คือ มันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ อย่าไปยุ่งกับมันเลย อันตราย เสียดายที่พยานนักศึกษาไม่ทันได้จดจำทะเบียนของรถแท๊กซี่ไว้ ผมอยากไปพูดคุยกับคนขับรถแท๊กซี่ผู้นี้จริงๆ อย่างน้อยก็อยากจะชักจูงหรือให้กำลังใจแก่เขา ให้เขาทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี ซึ่งมันเป็นหนทางที่จะช่วยเยี่ยวยาให้สังคมเราดีขึ้น โดยมันมีวิธีการหลายอย่างที่เราจะทำหน้าที่พลเมืองดี ช่วยเหลือราชการได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงอันตรายใดๆ
กลับมาว่ากันถึงเรื่องของศุภมินทร์ฯต่อ เพื่อให้ถึงจุดว่า ตายอย่างหมาอย่างไร สรุปว่าศุภมินทร์ฯสิ้นใจตายในที่เกิดเหตุ เวลาล่วงเลยมาเกือบ ๑๐ ปีแล้วจับคนร้ายไม่ได้ ผู้ตายเป็นตำรวจกองปราบ เป็นที่รวมของนักสืบมือดี น่าเชื่อว่าคนร้ายสกดรอยติดตามศุภมินทร์จากที่ทำงาน คือที่กองปราบปราม อย่างนี้ยังสืบจับคนร้ายไม่ได้แล้วยังจะมีหน้าไปสืบเรื่องให้ชาวบ้าน หรือว่ามันเข้าหัวข้ออุปสรรคที่ผมได้กล่าวในตอนต้นๆ เรื่องมันต้องมีอะไรแน่ มันถึงได้ ตายอย่างหมา
ยังไม่จบง่ายๆหรอกครับ มีอย่างรึ ผู้ตายถึงเป็นนายตำรวจ เป็นหน้าห้องของผมด้วย ปล่อยให้ ตายอย่างหมาได้ไง มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ ติดตามตัวต่อไปนะครับ.