บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
เฉียดตาย 2 “เกือบตกเป็นเป้าสังหาร” (ครั้งที่2)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› เฉียดตาย 2 “เกือบตกเป็นเป้าสังหาร” (ครั้งที่2)
เฉียดตายเรื่องนี้นึกถึงทีไร “เสียวสันหลัง”ทุกครั้ง ผมรอดตายมาได้เพราะยังมีคนที่รักใคร่และห่วงใยอยู่ มิฉะนั้นแม้แต่ชื่อของผมก็คงไม่เหลือให้ใครจดจำ ผมลองทบทวนเหตุการณ์ดู ที่ได้เสี่ยงกระทำไปเช่นนั้นเพราะไม่รู้“ตื้นลึก” ว่าเรื่องเป็นไปเป็นมาอย่างไร ทำให้คิดถึงผู้บริสุทธิ์หลายคนที่ต้องจบชีวิตลง เพราะติดสอยห้อยตามผู้อื่นไปแล้วโดนลูกหลง ญาติพี่น้องโศรกเศร้าร่ำไห้ยืนยันว่า “ลูกฉัน” “ผัวฉัน”เป็นคนดีทำมาหากินสุจริต แต่ก็ไม่สามารถจะต่อกรกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ เพราะคนของเราไปกับ “โจร” คนดีก็พลอยเป็นคนเสียไปโดยปริยาย บทความนี้พอจะเตือนสติท่านผู้อ่าน ให้ระวังบุตรหลานหรือคนใกล้ชิด จะไปไหนกับใครที่ใดพิจารณาให้รอบ คนที่ไปด้วยมี “ชนัก”ติดหลัง หรือที่ภาษานักเลงว่า “มีโจทก์”อยู่หรือไม่ มิฉนั้นคนที่เรารักจะพลอยติดร่างแหไปอย่างไม่สามารถจะช่วยเหลือเยียวยาได้ เรื่องนี้ผมเฉียดตายจริงๆครับ

ต้นปี ๒๕๑๐ ผมเพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ หลังจากฝึกงานสืบสวนสอบสวนจากนครบาลแล้ว ผมก็ได้รับการแต่งตั้งไปประจำอยู่ที่ สภ.อ.เมืองนครปฐม ที่จังหวัดนี้ ในสมัยนั้นโจรเยอะมาก ได้แก่พวกปล้นทรัพย์,ชิงทรัพย์, ลักทรัพย์รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ลักรถยนต์แล้วเรียกเอาค่าไถ่ จับตัวคนไปเรียกค่าไถ่บ้าง คดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้นมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ มือปราบถูกคัดเลือกตัวให้ไปปราบโจรที่นั่น ตรวจสอบชื่อผู้ไปดำรงตำแหน่งผู้บังกองหรือผู้กำกับการตำรวจจังหวัดสมัยนั้น ก็พอจะเห็นได้ว่า “มือฆ่า” ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะเอาไม่อยู่ โจรจะเหิมเกริมคนสุจริต, คนทำมาหากิน จะอยู่ไม่ได้ เมื่อได้หัวหน้าหน่วยเป็นมือปราบแล้วก็ต้องสรรหา “มือ”หรือ “ลูกทีม” ที่เป็นงานไว้ใช้ มิฉะนั้นรบกับโจรไม่ชนะ

ยกตัวอย่าง ในสมัยนั้นมีคดีลักรถยนต์บรรทุกสิบล้อเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ ส่วนมากจะเป็นรถยนต์ที่จอดริมถนนบ้าง จอดในปั๊มน้ำมันบ้าง คนขับรถลงไปรับประทานอาหารหรือไปปัสสาวะ เพียงห้านาทีสิบนาทีกลับมาที่รถปรากฏว่ารถหาย บางคดีมีเด็กท้ายรถนั่งนอนเฝ้ารถอยู่เด็กท้ายรถก็ถูกจับตัวไปด้วย บางครั้งเด็กท้ายรถถูกยิงทิ้งเป็นศพอยู่ข้างทาง หรือไม่ก็ถูกจับมัดมือมัดเท้ามัดปากทิ้งไว้ในป่าข้างถนน ทั้งรถบรรทุกเปล่า,รถบรรทุกมีสินค้าโดนหมด การสืบสวนตามหารถที่ถูกโจรกรรมไม่พบ แต่มีบุคคลคนหนึ่งเป็นลูกหลาน “โจรใหญ่”นครปฐม ที่เคยถูกตัดหัวเสียบประจาน ที่หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ตั้งตัวเป็นนักเจรจาเสียเงิน “ไถ่รถ” ท่านรู้สึกอย่างไรครับ รถถูกโจรกรรมเจ้าของรถไปพึ่งตำรวจๆช่วยอะไรไม่ได้ แต่พอไปใช้บริการของบุคคลผู้นี้ได้รถคืน แต่ต้องเสียเงินเป็นค่าแลกเปลี่ยน รถบรรทุกคันหนึ่งๆ ราคาค่าไถ่สมัยนั้นคันละ ๓๐,๐๐๐.-บาท ถึง ๕๐,๐๐๐.-บาท ตำรวจจับคนร้ายไม่ได้ ทำให้เกิดช่องทางทำมาหากินของเหล่าโจร จึงจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม ก็คือเด็ดหัวคนรับจ้างไถ่ถอนเสีย จากนั้นคดีลักรถเรียกค่าไถ่ก็เงียบหายไป ส่วนจะเด็ดหัวกันยังไงอย่าทราบเลย

ลูกน้องหรือทีมงานสำคัญที่สุด การคัดเลือกคนต้องดู “ใจ”เป็นสำคัญ ใจต้องเหี้ยมอำมหิต พูดง่ายๆคนที่ไม่เคยฆ่าคนมาเลยในชีวิตไม่สามารถจะไปฆ่าใครได้นอกจากบันดาลโทสะ วิธีดูใจว่าเหี้ยมแค่ไหนทดลองให้เชือดสัตว์เล็กก่อน เช่นเชือดเป็ด, เชือดไก่ ต่อไปก็ให้เชือดสัตว์ใหญ่เช่น วัว, ควาย ขั้นตอนต่อไปให้ฆ่าสิ่งที่มีความผูกพันทางจิตใจ เช่นสัตว์เลี้ยงที่ตนรัก แมว, หมาที่เลี้ยงไว้ ต่อไปก็ลองกับคนก็พวกโจรห้าร้อยก่อน คดี “วิสามัญฆาตรกรรม”ปั้นนักฆ่าได้อย่างดีที่สุด หัวหน้าชุดจะเป็นจัดคิวว่างานไหนใครเป็นคนลงมือ เชื่อไหมถ้าเป็นงานแรกรับรองว่ามือ “วิสามัญฆาตรกรรม”ต้องมีการอาเจียน, หน้าซีดเผือด, มือเท้าเย็น, อ่อนเพลีย ไม่มีแรง, จะเป็นลม รับรองเป็นอย่างนี้ทุกคน แต่พอทำไปสัก ๒-๓ ราย รับรองว่าผีเข้าสิง เห็นใครไม่ถูกอารมณ์นิดหน่อยจะฆ่าลูกเดียว ที่ผมกล่าวมานี้เรื่องจริงนะครับ ไม่นำมาบอกกล่าวก็จะไม่รู้ ครั้นบอกละเอียดไปก็จะเกลียดขี้หน้าผมอีก จึงขอเตือนในตอนนี้ว่าถ้าท่านไม่พร้อมอย่าไปต่อปากต่อคำหรือต่อกรกับพวกที่มีอาวุธหรือใช้อาวุธเป็น หรือพวกนักฆ่าเลยครับ มันไม่คุ้ม คติของพวกนักฆ่า “เป็นความกับผี ดีกว่าสู้ความกับคน”

ตอนผมอยู่นครปฐม มีลูกน้องตัวดังๆเช่น จ่าทูล, จ่าแดง, จ่าเศษ, จ่าชลิตและอีกหลายคน แต่ละคนมีประกาศนียบัตรรับประกัน ใจเหี้ยม มือนิ่ง ปากปิดสนิท ทำงานไม่เคยพลาด ผมอยู่นครปฐม ๕ ปี เอาพวกโจรลงไปเยอะ จากนั้นผมก็ย้ายกลับเข้าไปอยู่นครบาล งานในนครบาลก็ใช่ย่อย คดีอุกฉกรรจ์(คดีปล้น คดีฆ่า)ไม่น้อยไปกว่านครปฐม ผมมัวยุ่งอยู่กับงานปราบปรามใน กทม. ไม่ค่อยได้สนใจคดีต่างจังหวัด แต่มีคดีฆ่าอยู่คดีหนึ่งที่จังหวัดนครปฐมเป็นข่าวดังมาก ผู้ตายเป็นถึงนายกเทศมนตรี ผู้ที่ทำการสืบสวนสอบสวนก็คืออธิบดีกรมตำรวจมือปราบในสมัยนั้น ท่านคือ พลตำรวจเอกมนต์ชัย พันธ์คงชื่น หนังสือพิมพ์ลงข่าวต่อเนื่องพาดหัวทุกวัน ผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยอันดับหนึ่งคือ “จ่าทูล” และเป็นเหตุให้จ่าทูลถูกย้ายออกนอกพื้นที่ ขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งเป็นสารวัตรอยู่ที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลใต้ จ่าทูลมีบ้านพักอยู่ในกรุงเทพ ส่วนจะพักอยู่ตรงไหนยังไงจ่าทูลไม่ให้ใครรู้ วันหนึ่งเวลากลางวัน จ่าทูลไปหาผมที่ๆทำงาน ผมสอบถามเรื่องคดีฆ่านายกเทศมนตรีที่นครปฐม ก็แน่นอนเรื่องอะไรจะบอกความจริง เท่าที่จ่าทูลเล่าให้ฟังก็เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ได้ถูกสร้างขึ้น คือโยน “ขี้”ไปให้ “ไอ้แห้ง”หรือ “บุษกร”มือปืนรับจ้างเพชรบุรี จ่าทูลกำลังติดตาม “วิสามัญ”ไอ้แห้งเพื่อปิดคดี แต่อธิบดีมนต์ชัยไม่เชื่อ จึงย้ายจ่าทูลให้พ้นนครปฐม และไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคดีที่นายกเทศมนตรีถูกฆ่า จ่าทูลเล่าให้ฟังว่า เขาอยู่นครปฐมไม่ได้ เพราะมีอยู่วันหนึ่งเขาถูกลอบยิงด้วยอาวุธปืน เอ็ม ๑๖ จ่าทูลรอดตายเพราะเป็นคนระวังตัวและชั่งสังเกต จ่าทูลเล่าว่าในวันนั้น เขาเห็นรถยนต์ปิคอัพแปลกหน้าแล่นผ่านหน้าบ้าน ที่กระบะท้ายรถดังกล่าวมีชายฉกรรจ์นั่งอยู่สองคน หนึ่งในจำนวนสองคนเป็น “มือฆ่า”จากราชบุรี (ใครเป็นมือฆ่า พวกนักฆ่ารู้ๆกันอยู่) เมื่อรถปิคอัพขับผ่านบ้านจ่าทูลไปสักพักก็วกกลับมาอีก บ้านจ่าทูลอยู่ติดถนน ขณะที่รถปิคอัพผ่านหน้าบ้าน จ่าทูลสังเกตเห็นอาการคนนั่งที่กระบะท้าย รู้ทันทีว่าโดนยิงแน่ ขณะนั้นจ่าทูลอยู่กับลูกเมียและมีผู้ใหญ่บ้านผู้หนึ่งนั่งคุยอยู่ด้วย จ่าทูลตระโกนด้วยเสียงดัง “หมอบ” จ่าทูลฝึกลูกเมียมาดี ทุกคนพร้อมจ่าทูลนอนหมอบราบติดพื้น แต่สงสารผู้ใหญ่บ้านไม่เคยผ่านการฝึกวิชาทหารมาก่อน ไม่รู้เรื่องมัวแต่ยืนงงๆ เลยโดนกระสุน เอ็ม ๑๖ พรุนไปทั้งตัวขาดใจตายทันที จ่าทูลรู้ว่าเป็นฝีมือตำรวจด้วยกัน จึงไปร้องเรียนกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับตำรวจที่จ่าทูลจำได้ ผู้ที่ถูกกล่าวโทษว่าพัวพันฆ่าผู้ใหญ่บ้านก็เตรียมการมาดี มีหลักฐานที่อยู่อ้างอิง ชนิดเสือพบสิงห์ เอาอะไรกันไม่ได้ จ่าทูลเกณฑ์สมัครพรรคพวก แบกศพผู้ใหญ่บ้านแห่รอบองค์พระปฐมเจดีย์ ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์เป็นข่าวใหญ่ จนผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับว่า จะทำการสอบสวนให้ เพราะภัยมืดกำลังมาถึงตัว จ่าทูลจึงต้องหลบเข้ากรุงเทพ จ่าทูลบอกกับผมว่า เมื่อเขาจะเดินทางไปที่ใดก็ตาม มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนรถ เพื่อไม่ให้ฝ่ายที่มุ่งสังหารเขาจำได้ และรถยนต์ของผมก็ถูกกำหนดเป็นพาหนะคันหนึ่งของจ่าทูล ผมใช้รถยนต์เก๋งวอลโวติดฟิล์มกรองแสงดำมืดจ่าทูลชอบมาก ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะจ่าทูลเป็นลูกน้องเก่า ประกอบกับตอนนั้นยังหนุ่มแน่น เรื่องยิงกันไม่กลัว เวลาเรานั่งรถเดินทางไปไหนก็ตาม อาวุธปืนจะวางข้างกาย ในลักษณะพร้อมยิงเสมอ

วันหนึ่งจ่าทูลไปหาผมที่ๆทำงาน บอกให้ผมช่วยขับรถพาไปให้ปากคำ ที่กองกำกับการนครปฐม พนักงานสอบสวนนัดไว้เวลาบ่าย ๒ โมง ผมดีใจที่จะกลับไปเยี่ยมถิ่นเก่า จึงได้รับจ่าทูลนั่งคู่ไปด้านหน้า ผมเป็นผู้ขับรถ ไปถึงนครปฐมก่อนเวลานัดเล็กน้อย ผมแปลกใจว่าทำไมตำรวจนครปฐมให้เกียรติผมมาก จัดที่ให้จอดรถด้านหน้าอาคารสถานที่ทำการ ผมลงจากรถไปทักทายลูกน้องเก่า ส่วนจ่าทูลขึ้นไปพบผู้สอบสวนซึ่งเป็นผู้กำกับการตำรวจจังหวัด ท่านผู้นี้ก็เป็นมือปราบระดับพระกาฬทีเดียว ท่านคือ “พ.ต.อ.โสภณ สะวิคามิน”(ยศตำแหน่งในขณะนั้น) สักพักใหญ่ๆ จ่าทูลกลับมาหาผมบอกว่าผู้กำกับไม่อยู่ ผมลองให้ตำรวจลูกน้องติดตามหาผู้กำกับเพราะไม่อยากให้เสียเวลาต้องกลับมาให้สอบอีก ลูกน้องเก่ารายงานว่าตามไม่พบ เราทั้งสองจึงต้องเดินทางกลับกรุงเทพ ผมนึกตำหนิอยู่ในใจว่าเป็นผู้ใหญ่ระดับนี้แล้วไม่น่าผิดนัด ผมกับจ่าทูลกลับกรุงเทพแล้วก็แยกกัน ไม่ได้พบกันอีกเลย จนกระทั่งประมาณ ๑ เดือนต่อมา หนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ลงข่าวพาดหัว จ่าทูลถูกสังหารด้วยอาวุธปืน เอ็ม ๑๖ เสียชีวิตขณะกำลังขับขี่รถ เหตุเกิดที่ถนนเพชรเกษม ต.ธรรมศาลา อ.เมือง จ.นครปฐม เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ผมรีบเดินทางไปสอบถามข่าวคราวจากภรรยาจ่าทูลได้ความว่า พนักงานสอบสวนนัดจ่าทูลไปสอบสวนที่กองกำกับการจังหวัดนครปฐมเมื่อตอนกลางวัน สอบสวนเสร็จ จ่าทูลก็เดินทางกลับกรุงเทพเมื่อเวลาใกล้ห้าโมงเย็น จ่าทูลขับรถไปแต่ผู้เดียวแล้วถูกกลุ่มมือปืนที่นั่งมาในกระบะรถบรรทุกสิบล้อมีประมาณ ๓-๔ คน ระดมยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม ๑๖ จ่าทูลโดนยิงขณะที่รถบรรทุกมือปืนตีขนาบขึ้นทางด้านขวา โดยที่มีรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งขับบล็อกอยู่ข้างหน้า เป็นการจัดฉากฆ่าชนิดปิดประตูตีแมวทีเดียว ผมไปดูสภาพรถยนต์ของจ่าทูลซึ่งเป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าโคโรลล่า ถูกกระสุนปืนเอ็ม ๑๖ พรุนไปทั้งคันไม่ต่ำกว่า ๕๐ รู ผมยังนึกว่า จ่าทูลไม่น่าอายุสั้น เมื่อเดือนก่อนเรายังเดินทางไปด้วยกันอยู่เลย (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเฉียดตาย)

หลังจากนั้นอีกหลายปีจนผมลืมเรื่องจ่าทูลไปแล้ว ผมได้พบกับ “เสี่ยน้ำ” อดีตเจ้าของโรงน้ำแข็งที่ต้นสำโรง อำเภอเมืองนครปฐม เสี่ยน้ำเป็นผู้กว้างขวาง เป็นที่รู้จักกันดีในวงการตำรวจและบรรดานักเลง,มือปืน ระยะหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นกำนันตำบลต้นสำโรงและหันไปเอาดีทางสร้างภาพยนตร์ กำนันน้ำกับผมรู้จักกันดีตั้งแต่ครั้งที่ผมรับราชการอยู่ที่นครปฐม กำนันดีใจที่ได้พบผมบอกว่า “จำได้ไหมครั้งที่ผมเดินทางไปนครปฐมกับจ่าทูล” ผมพยักหน้ารับจำได้เพราะเป็นครั้งเดียวในชีวิต กำนันน้ำเล่าต่อ “ผมตกใจแทบแย่เมื่อฟังวิทยุรู้ว่าสารวัตรไปด้วย”(กำนันน้ำเรียกผมว่า “สารวัตร”) “ผมรีบบึ่งมอเตอร์ไชด์แทบแย่ (สมัยนั้นต้องใช้รถมอเตอร์ไซด์ในการติดต่อ โทรศัพท์มือถือไม่มี) ผมยอมให้ใครมาทำสารวัตรไม่ได้เด็ดขาด” เพียงแค่นี้ผมก็เข้าใจเรื่องราว ไม่ต้องซักไซ้อะไรมาก จ่าทูลถูกกำหนดให้ตายตั้งแต่วันเดินทางไปกับผม นึกถึงแล้วขนหัวลุก ถ้าเราไม่มีคุณค่าความดีอยู่บ้าง คงถูกเหมาผสมปะเสไปกับจ่าทูล และก็คงตายฟรี เพราะคดีนี้ไม่ทราบตัวคนร้ายอยู่แล้ว ผมพูดอะไรไม่ออก มีก้อนติดอยู่ในลำคอได้แต่กล่าว “ขอบคุณ ๆกำนันน้ำ” เป็นคำขอบคุณที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ และทุกวันนี้ผมก็ยังนึกถึงกำนันน้ำอยู่เสมอ ที่ทำให้ผมเฉียดตาย
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์