เฉียดตาย 1 โดนขังห้องมืด (ครั้งที่2)
ผมรับราชการตำรวจเริ่มตั้งแต่ยศร้อยตำรวจตรี จนเกษียณอายุราชการ รวมระยะเวลา ๔๐ กว่าปี มีเรื่องเฉียดตายหลายครั้งเนื่องผมอยู่ในสายงานสืบสวนปราบปรามมาโดยตลอด โชคดีนะที่ไม่ตายเพราะถ้าตายก็คงไม่ได้มาเล่าสู่กันฟัง เรื่องที่จะนำมาเล่า จะคัดเอาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ในแง่ของการสืบสวน รู้วิธีการของตำรวจ รู้วิธีการของโจร ยิ่งรู้มากทำให้มีต้นทุนมาก สามารถที่จะอยู่ในสังคมปัจจุบันได้สบายๆและโดยเฉพาะผู้อ่านที่รับราชการตำรวจ หรือมีลูกหลานรับราชการตำรวจ จำไว้เป็นตำรา เรื่องพรรค์นี้ไม่มีใครค่อยสอนกัน
ตำรวจสมัยผม ใครๆก็อยากจะได้ขั้นบำเหน็จความชอบประจำปี ๒ ขั้น เพราะถ้าได้ขั้นมากยศจะมาเร็วเงินเดือนจะสูงตามไปด้วย และการนับอาวุโสเพื่อจะเลื่อนตำแหน่งก็จะนับยศก่อน ยศสูงถือเป็นอาวุโส ยศเท่ากันก็จะดูที่เงินเดือน ใครเงินเดือนมากก็อาวุโสกว่า ถ้าเงินเดือนเท่ากันอีกก็จะดูว่าใครครองยศก่อนกัน ครองยศก่อนเป็นอาวุโส เรื่องอาวุโสไม่ใช่ธรรมดา เพราะถ้าตำแหน่งว่างลงก็จะพิจารณาแต่งตั้งผู้อาวุโสกว่าขึ้นไปแทน พอถึงตำแหน่งสูงสุดที่มันมีตำแหน่งเดียวคนเดียวต้องใช้คำว่า แย่งกัน แบบเอาเป็นเอาตาย เพื่อนรุ่นเดียวกันตอนเรียนหนังสือรักกันจะตาย แต่พอถึงตอนตำแหน่งสูงสุดแย่งกัน โกรธกันชนิดหน้าไม่มอง ไม่ยอมเผาผีกันก็มี วิธีจะเอา ๒ ขั้นตอนพิจารณาเงินเดือนไม่ยาก
วิธีที่ ๑ พวกที่มี เส้นพวกชอบ เลีย ได้แก่พวกที่เป็นลูกท่านหลานเธอ มีผู้ใหญ่ที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลฝากฝังมา ผู้ที่เป็นลูกหลาน โดยเฉพาะเป็นลูกหลานของ เมียน้อย รวมทั้งอิทธิพลทางด้านการเมือง หัวหน้าหน่วยที่เป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้ใครได้ ๒ ขั้น ก็จะเอาเด็กฝากเหล่านี้ไว้ใกล้ตัว เช่น เป็นนายเวร หัวหน้าสำนักงาน หน้าห้อง เป็นต้น เพราะว่าทางราชการกำหนดสัดส่วนการพิจารณาให้ผู้ที่จะได้ ๒ ขั้นเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นของบุคคลากรในหน่วย เมื่อเอาบุคลากรในหน่วยหารด้วย ๑๐ แล้ว ทุกหน่วยงานจะเหลือเศษทศนิยมเช่น ๐.๔, ๐.๕ มันยังไม่ถึงคน ต้องปัดเศษไปให้หน่วยเหนือ เศษทศนิยมทั้งหลายแหล่ไปรวมกันที่หน่วยเหนือ ทศนิยมต่างๆรวมกันแล้วเป็น เลขตัวเต็ม ทำให้มีขั้นเหลือไปเฉลี่ยแบ่งกันเฉพาะผู้มีเส้น เห็นหรือยังไอ้พวกที่มีแผน ไอ้พวกที่รู้มากอิงผู้ใหญ่จึงได้ดิบได้ดีไปเยอะ แต่พวกที่ทำงานด้วย ลำแข้งไม่ต้อง เลียเจ้านายแล้วได้เป็นใหญ่เป็นโต ก็มี เขาใช้วิธีที่ ๒ ครับ
วิธีที่ ๒ พวก ทำงานเป็น ผมเป็นผู้หนึ่งอยู่ในกลุ่มนี้ เคยบอกแล้วไงผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดที่ อ.บางปะหัน จ.อยุธยา พ่อแม่ทำนา อาศัยวัดโพธิ์กุฏิ ต.๒๕ ลูกศิษย์อาจารย์วีระ กลิ่นเกษรไง เส้นสายไม่มี ทำงานลูกเดียว ตำรวจส่วนมาก ทำงานได้แต่ที่ ทำงานเป็นมีไม่มาก ผมจะบอกวิธีการ ทำงานเป็นให้ คือต้องดูว่านโยบายของหน่วยเหนือมีหลักเกณฑ์การพิจารณาบำเหน็จความชอบยังไง เช่น พิจารณาให้ผู้ที่มีผลงานปราบปรามดีเด่น ได้โล่รางวัลชมเชยผลงาน ทำโครงการเด่นดังจนเจ้านายมีหน้ามีตาได้รับคำชม มีผลการจับกุมดีเด่น(โดยมีการให้คะแนนตามความยากง่ายของคดี)เป็นต้น
ในวิธีที่ ๒ นี้ก็มีการแก่งแย่งกันอีก คือเวลาใครไปทำการสืบสวนคดีสำคัญๆมาได้ ก็จะงุบงิบรู้กันเฉพาะกลุ่มคนทำงาน แล้วรายงานให้ นายใหญ่ทราบ เวลาไปทำการจับกุม ให้นายใหญ่ออกหน้า คอยออกทีวี คอยแถลงข่าวหนังสือพิมพ์ บางเรื่องถูกผู้สื่อข่าวถามลึกๆ ตอบไม่ได้(ก็มันจะไปตอบได้ยังไงเพราะเพิ่งได้รับโทรศัพท์ก็รีบกระหืดกระหอบมาถึง ชื่อผู้ต้องหายังจำไม่ได้เลย) อย่างนี้เขาเรียกว่า ชงให้เจ้านาย บางคดีพลาดเนื่องจากลูกน้องเอา ของกลางไปยัด จัดฉาก ญาติผู้ถูกจับเขามีหลักฐาน ทำให้เจ้านายพลอยโดนฟ้องไปด้วยก็แยะ วิธีชั่วๆแบบข้างต้นนั้นผมไม่เอา มันเสียชื่อเด็กวัดโพธิ์ ง่ายนิดเดียวผมบังเอิญไปค้นเจอหลักเกณฑ์การพิจารณาบำเหน็จความชอบของข้าราชการตำรวจ ( ปัจจุบันผมไม่แน่ใจว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่) มันมีอยู่ข้อหนึ่งว่า กรณีที่ข้าราชการตำรวจปฏิบัติงานเป็นผลดีแก่ทางราชการ จนได้รับคำชมเชยจากหน่วยงานต่างกระทรวง ระดับอธิบดีกรมขึ้นไป ให้พิจารณาบำเหน็จความชอบแก่ข้าราชการตำรวจผู้นั้น สูงกว่าขั้นปกติอีก ๑ ขั้น.. แหละนี่เองเป็นที่มาของคำว่า เฉียดตายของผม
สมัยที่ผมรับราชการอยู่กองกำกับการสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ซึ่งมีหน้าที่ในการสืบสวนจับกุมคดีอาญา การสืบสวนนี่ไม่เหมือนกับการสอบสวนนะครับ คือสามารถทำการสืบสวนคดีอาญาได้ทั่วประเทศ แต่การสอบสวนมีอำนาจเฉพาะคดีที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ๆตนรับผิดชอบเท่านั้น ขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งเป็นสารวัตรแผนก ๓ ยศพันตำรวจตรี แผนก ๓มีหน้าที่รับผิดชอบสืบสวนปราบปรามเรื่องการปลอมแปลงเป็นหลัก และสมัยนั้นมีการปลอมแปลงเหรียญกษาปณ์ชนิด ๕ บาทกันมาก ผมได้รับหนังสือซึ่งส่งลงมาจากผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น ให้ปราบปรามเหรียญกษาปณ์ ๕ บาทปลอม เป็นหนังสือของอธิบดีกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง มันเข้าเป้าตามที่ผมได้กล่าวไปแล้วพอดี ผมก็เริ่มลงมือสืบสวนทันที บางท่านจะงงงวยว่ามันจะไปสืบสวนกันยังไง ไม่ยากเลยครับ อันแรกผมรีบไปติดต่อขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้อง ที่กรมธนารักษ์ ต้นเรื่อง โยงไปที่เจ้าหน้าที่แผนกเงินกองกษาปณ์ สมัยนั้นอยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง(วัดพระแก้ว) ผมเลยทราบว่าพวกธนบัตรเก่า เหรียญกษาปณ์เก่าเขาเอาไปทำลาย ธนบัตรเก่าเอาไปเผา เหรียญกษาปณ์เก่าที่ผิดรูปเอาไปหลอมทำใหม่ ธนบัตรที่ยังใช้ได้ทั้งนั้นเอาไปเผาครั้งละหลายสิบล้าน ร้อยล้านบาท อย่าตกใจนะครับพอเผาแล้วกองกษาปณ์ก็พิมพ์ธนบัตรขึ้นมาใหม่ จำนวนเงินเท่าเดิมกับที่เผาทำลายไป ท่านจึงเห็นธนบัตรฉบับใหม่ๆออกมาเรื่อย แต่สำหรับเหรียญกษาปณ์ปลอมมีแยะจริงๆ ตอนนั้นเหรียญที่มีค่าสูงสุดคือเหรียญ ๕ บาท คนจึงปลอมเหรียญ ๕ บาท ไม่มีใครคิดที่จะปลอมเหรียญ ๑ บาท เจ้าหน้าที่ต้องคัดเหรียญปลอมออกเป็นตัวอย่างในการสืบสวนจับกุม อันที่จริงเปรียญ ๕ บาทปลอมก็ยังคงใช้ได้ในตลาด คนไหนได้มาก็ใช้ไปอย่าไปโวยวาย ถ้าใครโวยวายก็หยุดแค่นั้น รับกรรมไป แต่พอไปถึงเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้อง ต้องเก็บออก แล้วก็ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ปราบปรามทราบ ผมได้ตัวอย่างเหรียญกษาปณ์ปลอมมาเพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการเปรียบเทียบ ขั้นต่อไป ผมเรียกบรรดาตำรวจลูกน้องในแผนกผมมาระดมมันสมอง ท่านเชื่ออย่างหนึ่งนะครับ ตำรวจฝ่ายสืบสวนมีพื้นฐานงานสืบสวน มีวิชาโจร มีสายลับ(พรรคพวกที่เป็นโจร)กันทุกคน ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในเรื่องนี้ไม่มีใครมาอยู่ฝ่ายสืบสวนหรอกครับ ไปเป็นเสมียนธุรการหรือสายตรวจหรือเป็นจราจรดีกว่า ผมสั่งให้ลูกน้องแยกย้ายกันไปหาข้อมูลเรื่องนี้ ใช้เวลาไม่นาน จ.ส.ต.ประสงค์ฯลูกน้องผมก็มารายงานเบาะแสเกี่ยวกับแก๊งผลิตเหรียญ ๕ บาทปลอม จาก จ.ส.ต.ประสงค์ฯไปสู่ เฮียป๋ออดีตผู้จำหน่ายเหรียญ ๕ ปลอม โดยราคาขายส่งเหรียญละ ๓ บาท จาก เฮียป๋อโยงไปสู่เจ้าของโรงกลึงแถวนางเลิ้งซึ่งเคยเป็นผู้ปล่อยเหรียญปลอม จากโรงกลึงดังกล่าวทำท่าจะตัน โดยโรงกลึงบอกว่าเดี๋ยวนี้เลิกปั๊มเหรียญปลอมแล้ว การถามเอาข้อมูลนี้ไม่ใช่ผมไปเรียกเขามาถามนะครับ ต้องให้ผู้คุ้นเคยเขาไปพูดคุยกันและต้องใช้เวลาเป็นเดือนข้อมูลจึงจะออกมา แต่ยังพอได้ข้อมูลเพิ่มมาว่า มีการย้ายที่ไปผลิตในบ้านนายทหารอากาศ ในซอยสุขสันต์ ย่านบางเขน ข้อมูลแค่นี้กว่าจะหาซอยเจอใช้เวลาหลายเดือน พอเจอซอยแล้วโชคช่วยเพราะในซอยดังกล่าวมีบ้านนายทหารอากาศเพียงหลังเดียว เป็นบ้านตึกหลังใหญ่มีบริเวณเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ติดป้ายชื่อที่รั้วหน้าบ้าน พลอากาศตรี
.ข้อมูลมีเพียงแค่นี้ ที่บ้านหลังนี้จะผลิตของผิดกฎหมายจริงหรือเปล่า เจ้าของบ้านจะรู้ด้วยหรือไม่ ต้องไปสืบสวนเอา และเป็นบ้านทหารยศสูงด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่าย จะรายงายผู้ใหญ่ทางตำรวจไปเลยก็ไม่ได้เพราะข้อมูลน้อยมากจนเรียกได้ว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิดเลยก็ได้ ผมกับ จ.ส.ต.ประสงค์ฯเช็คข้อมูลกันเป็นเดือน จ ะหาข้อมูลยังไงไม่ให้เขารู้ตัว ผมต้องเปลี่ยนรถยนต์ขับผ่านหน้าบ้านหลังนี้ทุกวัน เปลี่ยนรถที่ใช้ทุกครั้ง โดยยืมรถคนอื่นขับไปเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต วันหนึ่งทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากการสังเกตพบว่าในบริเวณบ้านมีต้นไม้ครึ้มและยังมีบ้านหลังเล็กๆอีก ๒-๓ หลัง หน้าบ้านติดถนนซอย หลังบ้านติดลำลางสาธารณะซึ่งไม่มีน้ำมีแต่หญ้าคาสูงท่วมหัว ทุกวันผมกับ จ.ส.ต.ประสงค์ฯนอกเครื่องแบบขับรถผ่านหน้าบ้านดังกล่าว สังเกตความผิดปกติ แล้วผมให้ จ.ส.ต.ประสงค์ฯถอดรองเท้า(ใช้เท้าเปล่า) เดินที่ถนนหน้าบ้านเป้าหมายและให้พยายามใช้ความรู้สึกขณะที่หน้าเท้าสัมผัสกับพื้นถนน มีแรงสั่นสะเทือนหรือไม่ โดยคิดแบบชาวบ้านว่า เวลาปั๊มเหรียญจะต้องใช้เครื่องจักรปั๊มกระแทกอย่างแรง พื้นจะต้องสั่นสะเทือน จ.ส.ต.ประสงค์ฯเดินผ่านหน้าบ้านไม่ต่ำกว่า ๑๐ เที่ยว (เดินวันละเที่ยว เดินวันหนึ่งแล้วต้องหยุดไปหลายวันแล้วเดินใหม่) ก็ยังหาร่องรอยอะไรไม่ได้ จ.ส.ต.ประสงค์ฯออกหัวคิดอีก คราวนี้ผมจอดรถทางด้านหลังบ้านเป้าหมาย ให้ จ.ส.ต.ประสงค์ฯปลอมตัวเป็นคนเกี่ยวหญ้าคา ไปเกี่ยวหญ้าที่หลังบ้านเป้าหมาย โดยให้เข้าไปชิดกำแพงบ้านแล้วเอามือขุดคุ้ยดินให้เป็นรูลึกเข้าใต้กำแพงบ้าน พร้อมกับเอามือซุกในรู เพื่อสังเกตว่าแผ่นดินสะเทือนหรือไม่( วิธีการลูกทุ่งน่าดู) คดีเรื่องนี้ต้องยกให้ไหวพริบของจ่าประสงค์ ขณะที่จ่าประสงค์เอามือคุ้ยดินข้างกำแพงด้านหลังบ้านเป้าหมาย บนบ้านดังกล่าวชั้นที่สองปิดม่านสีส้มอ่อน จ่าสงค์สังเกตเห็นว่าม่านในบ้านไหวเหมือนถูกลมพัด บ้านปิดหน้าต่างหมดมันจะไหวโดยแรงลมไม่ได้ ต้องมีคนแอบเปิดดูแน่ จ่าสงค์รีบเดินไปบอกผมที่นั่งคอยในรถห่างไป ๑๐๐ เมตร จ่าสงค์บอกผมว่า นายๆถ้าไม่รีบจู่โจมเข้าบ้าน มันรู้ตัวแน่ มันเห็นผมแล้ว เอายังไงกันดี ในบ้านนั้นทำผิดกฎหมายหรือเปล่าก็ไม่รู้ หมายค้นก็ยังไม่ได้ขอ บ้านนายทหารผู้ใหญ่เสียด้วย
เหตุการณ์ฉุกเฉิน ผมกล้าได้กล้าเสียอยู่แล้ว เป็นไงเป็นกัน ผมรีบแต่งเครื่องแบบซึ่งเตรียมไว้ในรถด้วย แต่งเครื่องแบบเสร็จขับรถพร้อมจ่าสงค์ไปที่บ้านดังกล่าว เห็นมีเด็กผู้ชายวัยรุ่น ๒ คนวิ่งสวนรถผมออกไป ไม่แน่ชัดว่าวิ่งหนีออกมาจากบ้านเป้าหมายหรือไม่ ผมรีบขับรถไปจอดที่หน้าบ้านนั้น แต่ก่อนที่จะจอดรถเห็นผู้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังปีนประตูรั้วบ้านดังกล่าวออกมา สมองผมตัดสินใจมึงต้องผิดแน่ไม่งั้นมึงไม่ปีนรั้วหนีอย่างมีพิรุธ ว่าแล้วผมกับจ่าสงค์รีบคว้าแขนชายดังกล่าวปีนกลับเข้าไปในบ้านอีก ใช้ปีนอย่างเดียว อารามรีบร้อนกุญแจประตูบ้านไขไม่ทัน ผมแต่งเครื่องแบบยศนายพันอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายมาก ชายดังกล่าวพูดว่า ขอคุยได้ไหมครับ ศัทพ์คำว่า ขอคุยตำรวจทุกคนเข้าใจเป็นคำเฉพาะหมายความว่า ขอเจรจาให้เงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับความผิด ผมบอกว่า เฮ้ยดูก่อนซิมีอะไรบ้าง ชายดังกล่าวพาไปที่ตึกหลังเล็กชั้นเดียวกำแพงทึบ ๔ ด้าน มีประตูเข้า-ออกทางเดียว พอเปิดเข้าไปต้องผงะ ใจผมเต้นด้วยความลิงโลดดีใจ เครื่องจักแบบปั๊มกระแทกตัวเบ้อเร่อสูงเลยหัวตั้งอยู่กลางห้อง ติดเครื่องปรับอากาศไฟฟ้าสว่าง เครื่องจักรยังติดอยู่ โอ้โฮมันเก็บเสียงได้ร้อยเปอร์เซ็น เราผ่านหน้าบ้านเป็นสิบๆเที่ยว ไม่มีเสียงก็เพราะกำแพงก่ออิฐสองชั้นระหว่างชั้น ยัดด้วยทรายแล้วยังบุชานอ้อยอย่างดี ผมแกล้งเซ่อถามชายดังกล่าวว่า ทำอะไรกันเนี่ย(ความจริงรู้อยู่แล้ว) ผมถามว่าทำอะไรชายคนดังกล่าวบอกว่า ผมมีอยู่ ๒แสนเอาไปก่อน เดี๋ยวผมบอกเถ้าแก่เอาให้อีก ผมไม่สนหรอกเรื่องเงิน ตาพยายามสอดส่ายหาของกลางคือเหรียญ ๕ บาทที่ปั๊มเรียบร้อยแล้ว จ่าสงค์ก็ตระโกนบอกผมว่า เจอแล้วเจ้านายเต็มกระสอบเลย ผมรีบเข้าไปหาจ่าสงค์ตะลึงกับเหรียญ ๕ บาทขาววับเต็มกระสอบจนลืมชายคนดังกล่าว ทันใดนั้นเองได้ยินเสียงประตูปิดดัง ควับ คงนึกภาพออกนะ ประตูซีเมนต์หนากรอบเหล็กแนบสนิท เวลาปิดมันดังยังไง พร้อมกันนั้น ไฟฟ้าในห้องก็ดับ ผมตกใจรีบไปเปิดประตู มันเปิดไม่ออกเพราะถูกลั่นกลอนด้านนอก โชคดีที่แอร์คอนดิชั่นไม่ถูกปิด มิฉะนั้นคงขาดอากาศหายใจ
ผมยังไม่ได้บอกท่านทั้งหลายว่าผมเป็นคนกลัวที่แคบและมืด เวลาเป็นแล้วมันน่ากลัวจริงๆ เหตุที่เป็นก็เพราะตอนหนุ่มๆเคยไปเที่ยวกับภรรยาและเพื่อนภรรยานักเรียนมาแตร์รวมแล้ว ๒๐ กว่าคน ส่วนมากเป็นผู้หญิงมีผู้ชาย ๒ คน คือผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง พวกเราไปเที่ยวถ้ำกัน ถ้ำบ้าอะไรก็ไม่รู้อยู่บนเขาแถวจังหวัดเชียงใหม่ พวกเราคลานเข้าถ้ำซึ่งเป็นรูชนิดตัวคนพอรอดเข้าไปได้ครือๆ พอเข้าไปแล้วเป็นโพรงโตข้างใน แต่ภายในถ้ำมืดสนิทไม่มีแสงเล็ดรอดต้องจุดเทียนเข้าไป ผู้ชายคนหนึ่งจุดเทียนถือนำหน้า ส่วนผมจุดเทียนตามหลังสุด พวกเพื่อนเมียผมเกิดบ้าอะไรก็ไม่รู้เข้าไปถึง ๓ ชั้น คือเมื่อเข้าไปชั้นที่ ๑ แล้วจะมีรูเล็กๆให้รอดเข้าได้เฉพาะตัว จากชั้น ๑ เข้าไปชั้น ๒ และชั้น ๓ พอรอดเข้าไปได้แล้วจะไปโป่งข้างใน เวลากลับออกนี่ซิแสนจะทรมาน เพราะผมต้องออกหลังสุด กว่าจะเลื้อยออกไปได้ทีละคนจนถึงผมก็แทบตาย แซงออกก่อนก็ไม่ได้ รูมันเล็กและกลัวเพื่อนเมียจะหาว่าไม่เป็นแมน เจ้าประคุณเอ๋ยอากาศมันไม่พอจะหายใจ มันอึดอัดหายใจไม่ออก แล้วยังไม่รู้ใครเสือกพูดว่า อังกูรช่วยระวังหลังเผื่อมีสัตว์ประหลาด พอได้ยินคำพูดว่าสัตว์ประหลาดเท่านั้น ผมมีอาการเย็นวูบจากไขสันหลังวิ่งขึ้นไปท้ายทอย ขนแขนรุกตั้งผมชอบดูหนังสัตว์ประหลาดมากคิดไปต่างๆนาๆ กว่าจะออกมาได้ผมกลัวแทบแย่ ตั้งแต่นั้นมาผมกลายเป็นคนกลัวที่แคบและมืด ตอนหลังผมเคยลิฟต์ติดที่กรมตำรวจครั้งหนึ่งประมาณ ๑๐ นาที ผมแทบคลั่ง ที่บรรยายมานี้ถ้าคนไม่เคยเป็นจะไม่รู้สึก แต่ถ้าคนกลัวแบบผม มันแทบจะเป็นบ้า ไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น
ตอนที่ผมกับจ่าประสงค์ถูกขังอยู่ในห้อง สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือไม่มี วิทยุว๊อคกี้ท๊อคกี้ก็ไม่ได้เอาติดตัวไป ในใจคิดว่าคงเป็นศพเน่าขึ้นอืดในห้องแน่ จ่าสงค์มีพระคุณต่อผมมาก จ่าสงค์เป็นคนสูบบุหรี่ ผมด่ามันอยู่เรื่อยเพราะผมเหม็นกลิ่นบุหรี่ จ่าสงค์จุดไฟแช็คพอมีแสงสว่าง ผมนึกรักจ่าสงค์ขึ้นมาทันที เราช่วยกันดันประตูยังไงก็ไม่ออก ( ลักษณะประตูเปิดออกสู่ข้างนอก) ผมหมดทางที่จะหาวิธี แต่จ่าประสงค์หัวไว แกเห็นทั่งเหล็กขนาดใหญ่วางอยู่กับพื้น ๑ ตัว (ทั่งคือแท่นสำหรับใช้รองตีเหล็ก ลักษณะเป็นเหล็กใหญ่ยาว ๒ ศอก น้ำหนักไม่ต่ำกว่า ๕๐ กิโล) จ่าประสงค์กับผมจับทั่งกันคนละข้างแล้วโยนแกว่งลักษณะไกวเปล นับหนึ่ง , สอง, สาม แล้วโยนทั่งไปที่บานประตู ได้ผลกลอนประตูที่ล๊อคด้านนอกหลุด ประตูเปิด ทั้งหมดใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที ไอ้คนที่ขังเราหายไปแล้ว ผมกับจ่าสงค์นั่งรถไปปากซอย โชคช่วย มันกำลังยืนเรียกแท็กซี่อยู่ริมถนนใหญ่ ผมรีบกระชากตัวมันขึ้นรถแล้วลั่นกุญแจใส่ข้อมือมันทันที พร้อมกับบอกไปว่า มึงจะฆ่ากูนี่หว่า พร้อมกับบันทึกจับกุมในข้อหา ผลิตเหรียญกษาปณ์ปลอม ยึดแท่นปั๊มเหรียญและเหรียญกษาปณ์ชนิด ๕ บาทที่ผลิตเรียบร้อยแล้ว๑ กระสอบใหญ่ ส่งดำเนินคดี ผลการดำเนินคดี ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมติดคุก ๑๔ ปี ผมได้รับรางวัลเป็นเงินสดหลักแสนและหนังสือชมเชย เป็นหนังสือจากอธิบดีกรมธนารักษ์ ในขณะนั้นคือท่านวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ถึงกรมตำรวจ ทำให้ผมได้รับบำเหน็จความชอบไป ๒ ขั้นในปีนั้น แต่ถ้าวันนั้นจ่าประสงค์ไม่ได้เอาไฟแช๊คไป เครื่องปรับอากาศในห้องเกิดดับ และไม่มีทั่งเหล็กอยู่ในห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะได้มีโอกาสมาเล่าให้ใครต่อใครฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมกับจ่าประสงค์ฯต่างก็เกษียณอายุราชการด้วยกันทั้งคู่ ไม่ได้พบกันเลย ผมยังนึกถึงจ่าอยู่เสมอ และคงจะไม่มีวันลืมเลือน.