หญิงอกสามศอก
ท่านคงเคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่ในสมัยก่อนพูดอยู่เสมอว่า "เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก
." แต่เดียวนี้ไม่ค่อยจะได้ยินแล้ว อาจเป็นเพราะสมัยนี้ผู้หญิงไม่ต้องลำบากเหมือนแต่ก่อน ผมลองนึกๆดูว่าผู้หญิงลำบากในเรื่องใดบ้าง ตามความเห็นของผู้ชาย เห็นมีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่อง "การคลอดลูก" สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญ การคลอดลูกต้องพึ่งหมอตำแย หมอตำแยก็มีความรู้แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เครื่องมือช่วยไม่มี ความสะอาดก็ยังไม่เพียงพอ ผมเองก็คลอดโดยหมอตำแย ไม่รู้ว่ารอดมาได้อย่างไร เชื่อไหมคุณพ่อผมเคยเป็นหมอตำแยประจำหมู่บ้าน เดี๋ยวนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่า การทำคลอดสมัยก่อนเป็นเรื่องใหญ่มาก การเตรียมสถานที่เป็นเรื่องสำคัญ บ้านต่างจังหวัดเป็นพื้นไม้กระดานปูห่างๆ ไม่อัดแผ่นชิดเข้าลิ้นเหมือนสมัยนี้ พื้นบ้านแบบโบราณเป็นประโยชน์ เวลาคลอดเลือดตกมาลงใต้ถุนไปเลย ที่สำคัญคือบ้านต้องมีขื่อ มิฉะนั้นหาที่ถูกผ้าขาวม้าสำหรับให้คนที่จะคลอดโหนไม่ได้ ใช้เชือกก็ไม่ได้ต้องผ้าขาวม้าอย่างเดียว ถ้าขื่ออยู่สูงก็ใช้ผ้าขาวม้าหลายผืนผูกต่อกัน ปลายผ้าด้านล่างต้องขอดเป็นปมเพื่อให้ผู้คลอดโหน การผูกปมต้องให้ได้ตำแหน่งพอดี เวลาคนที่จะคลอดจับโหนตัวแล้วเบ่ง ตัวจะลอยขึ้น ก้นจะยกพ้นพื้น หมอตำแยนั่งอยู่ข้างหน้าจะได้เข้าไปทำหน้าที่ ช่วยประคับประคองเอาเด็กออกมาได้ง่าย
พอผู้คลอดเจ็บท้องก็จะต้องเตรียมสถานที่ให้พร้อม คะเนว่าน้ำคร่ำเริ่มไหล หมอตำแยจะต้องพ่นน้ำมนต์ เรียกว่าสะเดาะเคราะห์ ใช้คาถา"องคุลีมาร"ทำให้ออกลูกง่าย พอช่องคลอดเปิด หมอตำแยจะเอามือล้วงเข้าไปคลำทารก ถ้าพบ"เส้นผม"หมอจะโล่งใจว่าเด็กเอาทางศีรษะออก สามีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ต้องช่วยภรรยาเบ่ง หมอตำแยจะเรียกว่า "ช่วยกันข่ม" คือช่วยเอามือกดรูดตั้งแต่หน้าอกลงไป ตอนที่ทารกคลอดพ้นมาแล้วนี่ก็สำคัญ ตัวเด็กจะไถไปบนพื้นกระดาน หมอตำแยต้องกระทืบบนพื้นกระดานแรงๆ ๒-๓ ที ความสะเทือนทำให้เด็กส่งเสียงร้อง ว่าแล้วหมอตำแยก็ใช้นิ้วล้วงเข้าปากทารก กวาดเอาของเสียหรือน้ำคร่ำที่สำลักเข้าไปออก
ตอนตัดสายสะดือน่ากลัวที่สุด เขาใช้"ใบจาก"ที่มุงหลังคา ดึงเอาใบที่แข็งแรงมา ๑ ใบ เอามีดตัดใบจากให้เป็นปากฉลาม แล้วใช้ใบจากนี้แหละตัดสายสะดือ โดยเอาก้อนดินแข็งๆก้อนใหญ่รองสายสะดือแล้วเอาใบจากค่อยๆเฉือนจนขาด โดยก่อนตัดต้องเอานิ้วรูดสายสะดือไล่ของเหลวออกไป ความยาวจากตัวทารกเกือบคืบ ใช้ด้ายผูก ๓ เปาะแล้วจึงตัด
"รกเด็ก"นี่ซิสำคัญ สมัยโบราณมีความเชื่อที่ฟังดูแล้วเข้าท่า คือเขาจะเอา"รกเด็ก"ใส่ในหม้อตาล (หม้อตาลเป็นยังไงผมไม่ต้องอธิบายเดี๋ยวหน้ากระดาษไม่พอ) เอาเกลือโรยให้ทั่ว (กันเน่า) เอาไว้ที่หัวนอนแม่เวลาอยู่ไฟ พอครบ ๗ วันจึงเอา"รกเด็ก"ไปฝังดินทั้งหม้อตาล โดยฝังไว้ที่ใต้ถุนบ้าน (บ้านสมัยก่อนใต้ถุนสูง) ความเชื่ออยู่ตรงนี้ครับ ถ้าจะให้ลูกรักพ่อ รักแม่ ห่วงใยบ้าน ไปไหนก็จะคิดถึงบ้าน ต้องฝัง "รก" ไว้ใต้ถุนบ้าน แต่เดี๋ยวนี้เอา"รกเด็ก"ไปทำ Stem Cell ฝากไว้ที่สถานรับฝาก เด็กรุ่นใหม่จึงไม่ค่อยห่วงหรืออยากกลับบ้าน
ยังไม่หมดกรรมวิธีนะครับ ต้องอยู่ไฟก่อน พิธีกรรมตอนนี้สำคัญมาก มิฉะนั้นแม่ (ผู้คลอด) จะเจ็บไข้ ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยออดๆแอดๆ การอยู่ไฟตามวิธีโบราณบ้านนอก แม่ต้องนอนนุ่งผ้าเตี่ยว (ผ้าเตี่ยวเป็นยังไงก็นึกถึงชุด "บีกินนี่" สมัยนี้ก็แล้วกัน) หันหน้าท้องเข้าหาเตาอั้งโล่ระยะห่างประมาณศอก เตาอั้งโล่สุมด้วยไฟถ่านไม้สะแก (ต้องไม้สะแกนะครับ มันร้อนเด็ดนัก) พัดไฟให้ลุกโชน นอนในลักษณะนี้ต่อเนื่องเป็นเวลา ๑๓ วัน แล้วเปลี่ยนเป็นไฟเผาแกลบอีก ๒ วัน ทั้งนี้เพื่อให้มดลูกเข้าอู่ และแผลของอวัยวะที่ฉีกขาดตอนคลอดก็จะสมานติดเหมือนเดิม
ตอน "ออกไฟ" ต้องมีกรรมวิธีอีก ต้องหาหมอพ่นน้ำมนต์ เรียกน้ำมนต์ "ธรณีสาร" ดับพิษไฟ มิฉะนั้นผิวหนังหน้าท้องอาจจะเป็นแผลพุพอง ปวดแสบปวดร้อน ทำให้เป็นแผลเป็น มิน่าเล่า ผู้หญิงบ้านนอกสมัยก่อนจึงหน้าท้องลาย ก็คงจะเป็นเพราะไม่ได้พ่นน้ำมนต์ "ธรณีสาร" นี่เอง
ฟังดูแล้วน่ากลัวจริงๆ แต่เดียวนี้การแพทย์เจริญ ผู้หญิงสมัยนี้ไปคลอดลูกยังกับไป Shopping อยู่ไฟก็ไม่ต้องอยู่ การคลอดเป็นเรื่องง่าย แต่การเลี้ยงเด็กกลายเป็นเรื่องยากไป ผมสังเกตดู คนที่เลี้ยงลูกเก่งกลายเป็นพ่อ แต่สำหรับผมยกหน้าที่นี้ให้ภรรยาเพราะผมติดงานราชการ
ทีนี้มาพูดถึงเรื่อง "ผู้หญิงอกสามศอก" เมื่อก่อนนี้เราเรียกชายชาตรีที่เข้มแข็ง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวว่า "ชายอกสามศอก" แต่ดูๆแล้วเดี๋ยวนี้พวกผู้ชายชักจะเพี้ยนๆ เวลามองดูการเดินทางด้านหลังบางทีเดาผิด ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมอยากให้พวกผู้หญิง "ปฏิวัติ" เสริมสร้างตนเองให้มีความแข็งแกร่งเช่นชาย อะไรที่ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ควรจะทำได้ ตอนนี้พวกผู้ชายกำลังระเริงว่าเพศหญิงเป็นเพศอ่อนแอ ทำไมไม่รวมใจกันแข็งข้อ เอาผู้ชายให้อยู่หมัด พวกคุณผู้หญิงทั้งหลายทราบไหม ความจริงพวกผู้ชายเขาเกรงใจพวกท่านอยู่แล้ว ดูในกฎหมายรัฐธรรมนูญซิ มาตรา ๓๐ ไม่ว่าจะเป็นฉบับไหนจะต้องระบุ "ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน" มาตรานี้ใครแตะต้องไม่ได้ ขืนแตะยุ่งไม่มีวันจบ ผู้ชายเขากระซิบบอกกันว่า "อย่าไปแหย่รังแตนเข้าเชียวนะ"
มาถึงเรื่องการต่อสู้ป้องกันตัว วันนี้จะติดเขี้ยวเล็บให้ผู้หญิง เริ่มแรกท่านต้องศึกษาจุดอ่อนของผู้ชาย ถ้าเป็นการสู้กันตัวต่อตัว แบบมือเปล่า ผู้หญิงได้เปรียบ จุดอ่อนผู้ชายจุดแรกตรงหว่างขา เตะผ่าหมากเข้าไปเลย รับรองใครโดนเข้าตัวงอเป็นกิ้งกือ อาวุธในตัวท่านที่แข็งที่สุดคือศอก เข่าและแข้ง งอศอกแล้วใช้ปลายแหลมของศอกเป็นอาวุธ เช่นเดียวกับการงอเข่ากระแทก หรือใช้แข้งเตะผ่าหมากให้โดนไข่ รับรองถ้าใครโดน"จุก"ตัวงอ จุดอ่อนของผู้ชายอีกจุดหนึ่งคือที่ "ลูกกระเดือก" นิ้วมือพวกท่านมีเล็บอยู่แล้ว คว้าเข้าไปเลยที่ลูกกระเดือก เกร็งนิ้วทั้งห้าควักเอาลูกกระเดือกออกมาเลย จุดที่สามที่ลูกตาทั้งสองข้าง ท่านถ่างนิ้วชี้กับนิ้วนางกางออกให้เต็มที่ งอนิ้วกลางแล้วเอานิ้วโป้งกดปลายนิ้วกลางไว้ เสยพรวดเข้าไปที่ลูกตาทั้งสองข้างให้สุดแรงเกิด อยากรู้นักผู้ชายคนไหนจะทนไหว (อาวุธท่านี้ถึงพิการทีเดียว)
เรื่องการใช้เล็บ"ข่วน"ของท่าน สกัดการบุกรุกของฝ่ายชายไม่ได้หรอกครับ เพียงแต่ยั่วยุให้เขาโกรธคุณยิ่งขึ้น เชื่อไหมคดีที่เกิดขึ้น กรณีที่หญิงถูกทำร้ายถึงตาย ตำรวจเขาจะขูดเนื้อเยื่อใต้เล็บไปตรวจ ร้อยทั้งร้อยรายพบเนื้อเยื่อของฝ่ายตรงข้าม นั่นคือบรรดาผู้หญิงถนัดเสียจริงเลยคือเรื่องการใช้เล็บข่วน ลองเปลี่ยนเป็นใช้วิธีตามที่ผมแนะนำไปข้างต้นดูบ้างซิครับ
และจะบอกเคล็ดลับให้สักอย่าง เห็นผู้หญิงตบตีกันแล้วสงสาร คือแบมือตบ ผลัดกันตบ ตบกันไปตบกันมา (ตอนนี้มีให้ดูแต่ในละครน้ำเน่า) บางทีก็จิกผม ดึงผม ทำไมผู้หญิงไม่กำหมัดให้แน่นแล้วทิ่มตรงเข้าไปที่เบ้าตา หรือที่ปลายคางคู่ต่อสู้ รับรองถ้าเชื่อผม ทีเดียวรู้เรื่อง ไม่ต้องตบกันนานเสียเวลา
จุดอ่อนของพวกท่านอยู่ตรงไหน รู้ไหม เรื่องการตัดสินใจของท่าน ตัดสินใจช้า ไม่รู้จะเอายังไงดี กลัวไปหมด ความฮึดสู้ไม่มี พูดง่ายๆต่อให้มีอาวุธก็ไม่กล้าใช้ ทั้งหมดนี้แก้ได้ครับ มันอยู่ที่กระบวนการฝึกฝน การเรียนรู้ ให้เกิดทักษะและมีประสบการณ์ ไม่ใช่ส่งลูกหลานไปเรียนแต่วิชาเสริมสวย แต่งหน้า ตัดเย็บเสื้อผ้า การเดินแบบ อบรมแต่วิชากุลสตรี ทำไมไม่เป็นการต่อสู้ป้องกันตัว มวยไทย ยูโด ยูยิตสู การใช้อาวุธ ไม่ได้ฝึกไว้รังแกใคร แต่เพื่อให้รู้วิธีการเพื่อจะเอาตัวรอดเมื่อถึงเวลาคับขัน ที่สำคัญที่สุดคือได้ประสบการณ์ มีพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ คนไม่เคยมีประสบการณ์แก้ปัญหาไม่ถูกหรอกครับ ถ้าท่านเห็นตำรวจหญิงหรือทหารหญิงในหน่วยรบแล้วจะหนาว ผู้ชายยังไงยังงั้น อย่าลืมนะครับ สังคมมันเปลี่ยนไป ท่านต้องช่วยเหลือตัวท่านเอง นอกบ้านคือสมรภูมิ ไม่ใช่ญาติ,ไม่ใช่เพื่อนพ้องหรือคนรู้จัก เขาอาจเป็นโจร *จำไว้ "ลงมือก่อนมีสิทธิ์ชนะ"