กรุงเทพเมืองโคตรรถติด
ที่ต้องมาเขียนเรื่องนี้ก็เพราะเมื่อเย็นวันก่อนช่วงเลิกงาน ฝนเทมาห่าใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ จราจรอัมมะพาตไปทั้งเมือง ระยะทางที่เคยใช้เวลาในการเดินทาง๓๐ถึง๔๕นาที(บนด่วนยกระดับ) กลายเป็น๒ชั่วโมงกับ๔๕นาที งานนัดหมายเสียหายหมด ถึงแม้จะถึงงานช้ากว่ากำหนดก็ไม่มีใครว่ากันเพราะทุกคนช้าเหมือนกันหมด แต่ที่ยั๊วมากเพราะปวดฉี่ จะจอดรถบนทางด่วนแล้วฉี่หน้าก็ยังไม่หนาพอ เพราะยังไม่มืดและรถมันก็ไม่มีความเร็ว จอดแช่๑๐นาทีเคลื่อนที่ได้๑เมตร ทุเรศจริงๆ โชคดีวันก่อนเพิ่งไปเติมน้ำมันมาเขาแถมน้ำดื่มมาด้วย๒ขวดเล็ก รีบเทน้ำทิ้งที่ข้างรถไป๑ขวดแล้วก็บรรจงยัดจู๋เข้าปากขวดเบ่งฉี่ แปลกแฮะปวดแทบตายแต่เบ่งไม่ค่อยออก พอฉี่จะออกรถดันต้องเคลื่อนที่ มันทุลักทุเลเต็มที ลืมบอกว่าผมขับรถไปคนเดียว หากมีคนอื่นไปด้วยคงจะเปลี่ยนกันขับแล้วฉี่ได้สบาย พอรถหยุดอีกทีคราวนี้ผมรีบเบ่งฉี่ออก ขวดร้อนฉ่า เจ้าประคุณเอ๋ยกลัวฉี่ล้นขวดอีก ต้องกลั้นแล้วยกขึ้นมาดู ปัดโธ่ยังมีที่ว่างเหลืออีกตั้งเยอะ ฝากบอกยังท่านทั้งหลายไว้ เดินทางในกรุงเทพฯอย่าลืมพกขวดน้ำติดไปด้วย นี่ยังดีน๊ะมีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดปัญหาแบบเดียวกันนี้คือรถติดขณะเดินทางใน กทม. ผมขับรถมีเพื่อนนั่งไปด้วย เพื่อนเกิดท้องเสีย(ท้องอึ)ชนิดกลั้นไม่อยู่ พอดีวันนั้นกลับจากช๊อปปิ้งมีถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่ใส่ของอยู่ในรถ เพื่อนผมรีบเทของออกจากถุงแล้วกระโดดไปนั่งเบาะหลัง ผมทำหน้าที่ขับรถ ขับบ้างหยุดบ้าง พลางได้ยินเสียงดังฟังแล้วรู้เลย มันเป็นเสียงอึไหลชนิดท้องเสียอย่างแรง สิ้นเสียงกลิ่นก็ตามมาตลบอบอวนจนผมต้องลดกระจกข้างระบายลมออกไปเสียบ้าง นี่แหละชีวิตคนกรุงเทพฯ
เรื่องปัญหาการจราจรติดขัดใน กทม. เคยมีคนรับอาสาแก้หลายคนแล้ว เสียหน้าหรือหน้าแหกไปตามๆกัน เพราะเทวดาที่ไหนก็แก้ไม่ได้ เคยคุยกับชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสร้างศูนย์การค้าใหญ่โตในกรุงเทพฯ บอกว่า"คุณอย่ามาสร้างตรงจุดนี้เลย ขนาดยังไม่ได้สร้างรถก็ติดจนเกือบจะขยับตัวไม่ได้อยู่แล้ว" ฝรั่งบอกว่า"จราจรในกรุงเทพฯเลยจุดที่จะแก้ไขมาหลายปีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญที่ไหนก็แก้ไม่ได้ ผู้ใช้รถใช้ถนนแก้กันเอง" ผมฟังฝรั่งพูดแล้วเป็นงง แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้ว
คำว่า"แก้ปัญหาด้วยตัวของมันเอง"ก็คือผู้ใช้รถใช้ถนนจะต้องรู้ ต้องศึกษาว่าเวลาใดควรเวลาใดไม่ควรเดินทางไป ณ.จุดใด นั่นก็คือต้องมีการวางแผนการเดินทาง หลีกเลี่ยงสถานที่และระยะเวลาที่การจราจรติดขัดและต้องปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะการขับขี่,การหยุดและจอดรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเพียงแต่คอยอำนวยความสะดวกให้รถมีการลื่นไหลไปตามปกติเท่านั้น
ข้อมูลที่ท่านควรจะทราบ ถ้าจะมีการนัดหมายพบปะกันในเมืองในวันราชการที่ไม่ใช่วันหยุด ในช่วงเช้าควรจะเป็นเวลา๑๐.๐๐น. ช่วงบ่ายควรจะเป็นเวลา๑๓.๓๐น.หรือ๑๔.๐๐น. เหตุผล เวลาก่อนหน้านั้นผู้ที่ทำงานอ๊อฟฟิช พวกข้าราชการ พวกส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนเขาเดินทางกัน ท่านอย่าไปแย่งพื้นที่ถนนเขา พอ๐๙.๓๐น.บุคคลเหล่านี้เข้าที่ทำงานหมดแล้ว คงเหลือพวกระดับบริหาร,ประธานบริษัท,นักช๊อปปิ้ง,พวกว่างงานควรจะออกตอน๑๐.๐๐น.เพราะห้างสรรพสินค้าเปิดแต่เวลา๑๐.๓๐น. ถ้าเดินทางออกนอกเมืองต้องศึกษาเวลาของรถบรรทุกเขา(สำหรับใน กทม.ห้ามรถบรรทุกเข้ามาวิ่งอยู่แล้ว) พอเวลาใกล้เที่ยง(วันราชการ)จะมีรถกลุ่มหนึ่งแห่ออกมาจากที่ทำงานไปยังที่นัดหมายทานข้าวกลางวัน จะทำให้ปริมาณรถในถนนเพิ่มมากขึ้นอีก
เวลาเลิกงานตั้งแต่๑๕.๓๐น.เป็นต้นไปรถจะเริ่มมากอีกเพราะงานเลิกจะต้องรีบไปรับลูกรับหลานที่โรงเรียน เส้นทางเดินรถตัดกันไปตัดกันมา จะเห็นว่ารถแน่นเต็มถนนไปหมด
ส่วนวันหยุดโดยเฉพาะวันเสาร์ช่วง๑๑.๐๐น.จะเป็นวันมหาโหดโคตรรถติด เพราะรถทุกคันที่เคยจอดในที่ทำงาน ต่างพากันออกมาขับในท้องถนน เพื่อจะไปหาที่กินที่ทานนอกบ้าน เรียกว่าทานกันเป็นครอบครัวและหากเป็นเย็นวันศุกร์หรือเสาร์ต้นเดือนยิ่งแล้วยิ่งติดใหญ่เพราะพวกเศรษฐีสิ้นเดือนมีเยอะ เดือนหนึ่งขอกินให้เต็มที่สักครั้ง
วันอาทิตย์ถนนสายอื่นที่ไม่ได้มุ่งไปตามห้างสรรพสินค้าการจราจรจะเบาบาง แต่ถ้าเป็นเส้นทางไปสู่ห้างสรรพสินค้าที่รวมตัวกันอยู่อย่างเป็นกระจุกจะติดขัดแบบไม่ขยับตัวทีเดียว
ถ้าสัปดาห์ไหนมีวันหยุดติดต่อกันตั้งแต่๓วันขึ้นไปรับรองถนนในกรุงเทพฯว่างเพราะนัดกันไปติดที่พัทยา,หัวหิน,ชะอำ,เชียงใหม่แทน
ศึกษาเกี่ยวกับสถานที่บ้าง ทราบไหมเย็นค่ำวันศุกร์หรือเสาร์ถนนบางสายติดขัดแบบไม่ขยับเขยื่อน เช่นสุขุมวิทตอนต้นๆ ก็เพราะบริเวณดังกล่าวมีโรงแรมใหญ่ๆอยู่ติดๆกันนับรวมแล้วมากกว่า๑๐โรงแรม ค่ำวันศุกร์,วันเสาร์คนไทยชอบสังสรรค์จัดงาน งานแต่ง,งานเต้นรำ,งานสมาคม,งานชมรม,งานเปิดตัวสินค้า,งานฉลองในโอกาสต่างๆ แต่ละงานเชิญผู้มาร่วมงานอย่างน้อยงานละ๑๒๐๐คนถึง๒๐๐๐คน ตีเสียว่าผู้รับเชิญจะมาร่วมงานเพียง๘๐% แขก๑๐๐๐คนรถก็ปาเข้าไป๑๐๐๐คัน ถ้าถนนนั้นมี๑๐โรงแรมก็ลองเอา๑๐คูณเข้าไป มันเป็นดั่งนี้แล
ผมมีวิธีแก้ปัญหาการจราจรติดขัดใน กทม.นอกเหนือไปจากการที่ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องช่วยกันแก้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว วิธีนี้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็รู้แต่ไม่มีใครกล้าทำ ยิ่งเป็นนักการเมืองด้วยแล้ว กลัวชนิดขี้หดตดหาย กลัวเสียคะแนนเสียง กลัวอิทธิพลกลุ่มนานทุน นั่นคือ การออกกฏหมายผังเมืองและควบคุมการก่อสร้างอาคารสูง ความสูงอาคารไม่ควรเกิน๖ชั้น ไม่รู้จะแข่งเรื่องความสูงไปทำไม แผ่นดินไหวหรือไฟไหม้ทีจะรู้สึก ที่ผมว่าอาคารสูงควร๖ชั้นเพราะไม่เกินขีดความสามารถของการดับเพลิง ความเจริญจะได้ขยายไปในแนวราบ ศูนย์การค้าใหญ่ๆไม่ควรให้สร้างติดๆกัน เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของผู้ไปใช้บริการ *ทั้งหมดนี้ผมเคยเสนอแล้วโดนด่าไม่มีดีเพราะบ้านเมืองเราอยู่ในยุค"นายทุน" จึงมีคำพูดว่า "ไม่อยากรถติดก็ไปอยู่ในป่าในเขาซี"