การตัดสินใจที่ต้องจำจนตาย
ทุกคนล้วนผ่านการตัดสินใจ มีทั้งถูกและผิด การตัดสินใจที่ถูกต้องควรผ่านกระบวนการ คิด,ไตร่ตรอง,ประมวลข้อมูลจากความรู้ประสบการ,ประเมินผลได้ผลเสีย แล้วจึงตัดสินใจ บางครั้งต้องฟังแนวคิดจากผู้อื่นประกอบ แต่การตัดสินใจเฉพาะหน้าแบบเฉียบพลันทันที ข้ามกระบวนการทั้งหมด ซึ่งเป็นภาวะของผู้นำ การตัดสินใจผิดพลาดฝังใจยากที่จะลืม ส่วนการตัดสินใจถูกต้องจะไม่จดจำเพราะมีความสำเร็จเป็นจุดหมายปลายทาง สร้างความพึงพอใจอยู่แล้ว การตัดสินใจผิดพลาดอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้
ช่วงรับราชการเป็นหัวหน้าหน่วยเคยตัดสินใจผิดพลาด ไม่มีใครตำหนิเพราะเป็นหัวหน้า ครั้งหนึ่งนำกำลังเข้าจับกุมคนร้ายสำคัญที่ทางการต้องการตัวมากๆ ให้ลูกน้องไปดูสถานที่ ซุ่มโป่งหาข้อมูลเป็นแรมปีจนรู้ชัดแน่นอน เวลาจับกุมอยากได้หน้าเพราะมีผู้บังคับบัญชาติดตามดูการทำงาน ให้ลูกน้องเขียนแผนที่จุดหมายที่จะเข้าจับแล้วขอนำเอง ปรากฏว่าเข้าผิดจุด คนร้ายหลบหนีไปได้ เหตุการณ์ผ่านมาหลายสิบปียังฝังในหัวใจ
คราวที่ต้องไปล้อมจับคนร้านปล้นฆ่าชิงทรัพย์ คดีมีหมายจับ ติดตามจนพบยานพาหนะ รถยนต์ที่คนร้ายใช้ในการกระทำผิดจอดที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง วางกำลังล้อมจุดที่รถจอด กล้องส่องทางไกลกำลังขยายอย่างดีถูกนำมาใช้ ไม่มีใครเคยเห็นหน้าคนร้ายตัวเป็นๆ เห็นแต่ภาพถ่าย พลกล้องทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง กล้องจับที่รถดูว่าจะมีใครมาขึ้นรถและใช่คนร้ายหรือไม่ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง อากาศยามบ่ายร้อนมาก ทุกคนอดทนและตื่นเต้น พลกล้องรายงาน นายๆ มันมาที่รถแล้วครับ มาครบสามคนเลย (คนร้ายแก๊งนี้มี 3 คน) มึงดูให้แน่ ใช่คนร้ายหรือเปล่า คำตอบ คลับคล้ายคลับคราครับนาย เอาละซีกูจะทำยังไงว๊ะเนี่ย กำลังส่วนจู่โจมเข้ามาถามถี่ๆ นายๆ เอาไง (โธ่..มึงไม่รู้เลยว่าหัวใจกูเต้นเร็วและแรงมาก มือที่กำด้ามปืนเหงื่อออกเปียกชุ่ม) ความเป็นผู้นำ ไม่ตอบ แต่เดินถือปืนแอบไว้ด้านหลังตรงไปยังที่รถคนร้ายจอด ลูกน้องกระจายกำลังโอบตามเจ้านายไปอย่างแนบเนียน ชายวัยรุ่น 3 คนตรงไปขึ้นรถแล้วออกรถอย่างรวดเร็วจนล้อหมุนฟรี (3 คนที่ไปขึ้นรถอาจเห็นความผิดสังเกต) ออกอาการลักษณะนี้ไม่ต้องคิดมาก คนร้ายแหงๆ มึงรู้ตัวแล้วจะหลบหนี .44 หัวกระสุนเจาะเกราะที่ถือแอบด้านหลังยิงไปที่เครื่องรถยนต์รถทันที หวังจะหยุดรถคนร้ายก่อนแล้วสอบถาม มึงเป็นใคร วินาทีนั้นไม่มีเวลาที่จะสั่งการ พอนายลั่นกระสุนปัง ลูกน้องทั้งทีมระดมยิงไปที่รถราวห่าฝน รถยนต์ค่อยวิ่งช้าลงๆแล้วหยุดนิ่ง กำลังตำรวจค่อยๆคืบคลานเข้าไปใกล้รถอย่างระมัดระวัง (คนร้ายอาจจะยังมีชีวิตและยิงสวนออกมาได้) ใกล้เข้าไปๆ ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นติดๆกัน 2 นัด ตำรวจทุกคนหมอบราบกับพื้นหันไปดูที่ต้นเสียง โธ่..พวกเรายิงเอง ใช้ปืนลูกซองยาวลำกล้องแฝดยิงเข้าไปในรถทางกระจกด้านหลัง พี่เห็นในรถมันไหวๆอยู่ เลยกันเหนียวไว้ก่อน (เป็นรุ่นพี่ที่ตามไปร่วมด้วย) โล่งใจไปที นึกว่าคนร้ายยิงออกมา เข้าไปที่รถจอดแล้วเปิดประตูรถออก ร่างวัยรุ่นข้างหน้า 2 ข้างหลัง 1 นอนฟุบกับเบาะรถ เลือดท่วมร่าง เฮ้ย.. เอารูปมาเทียบ ใช่เปล่าๆ เสียงตอบกลับ ใช่ครับนาย สั่งให้ค้นตัวดูชื่อในบัตร โล่งใจ หนึ่งในนั้นชื่อตรงกับหมายจับ ส่วนคนร้ายอีก 2 คนในหมายระบุเป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ (นี่แหละตัวปัญหา ใช่คนร้ายหรือเปล่า แต่เตรียมทางแก้ไว้แล้ว) กองทัพนักข่าวซึ่งติดตามขบวนไปด้วยแต่แรก กดชัตเตอร์ยิงภาพอย่างเมามัน
ไม่นานชุดที่ไปตามพยานก็มาถึงพร้อมผู้หญิงกลางคนสองคนซึ่งเป็นผู้เสียหายถูกปล้นทรัพย์ ทั้งสองตัวสั่นอย่างเห็นชัด หนูกลัว ๆ จำหน้าไม่ได้เลย ลักษณะผู้นำออกทันที คุณไม่ต้องห่วง มันตายแล้ว ตำรวจสืบสวนมานานหลักฐานชัด เป็นคนร้ายที่ปล้นคุณ 100% ชี้เลย แล้วผู้หญิงทั้งสองก็ชี้ไปที่ศพ ภาพที่ยืนยันคนร้ายนี้ปรากฏหราบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์และติดในสำนวนการสอบสวน วิสามัญไม่ผิดตัว คดีนี้เป็นอันรอดไป
มีหลายคดีที่ได้ช่วยชีวิตคน คดีแรกไปล้อมจับคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่า เหตุเกิดซึ่งหน้ากลางวันแซกๆ ขณะที่พวกเรานั่งรับประทานอาหารที่ร้านขายอาหารป่ามีชื่อ บ้างบึง ชลบุรี (นำกำลังฝ่ายสืบสวนนอกเครื่องแบบไปสืบจับคดีลักรถยนต์) อาหารป่ารสเด็ดกำลังถูกนำเข้าปาก เสียงปืนดังปังใกล้ๆหู ผู้ชายนั่งทานอยู่โต๊ะติดๆกันล้มดิ้นกับพื้นเลือดพุ่ง พวกเราทุกคนดึงอาวุธปืนพกวิ่งตามคนร้ายซึ่งวิ่งข้ามถนนหน้าร้านเข้าไปในดงอ้อยสูงท่วมหัว ไร่อ้อยกว้างประมาณ 5-6 ไร่ขนานไปกับแนวถนนฟากตรงข้ามร้าน พวกเรากระจายกำลังล้อมไร่อ้อย ยิงปืนขึ้นฟ้าลุยเข้าไปในไร่ เปิดทางให้คนร้ายหนีออกทางด้านถนน ทุกคนตะโกน ออกมามอบตัว ๆ สักพักคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์อายุประมาณ 25 ถืออาวุธปืนพกชูเหนือศีรษะ ท่าทางยอมให้จับแต่ยังถือปืนอยู่ในมือ ลูกน้องซึ่งยืนอยู่ข้างๆ นาย ผมวิสามัญเลยนะ ผมร้องห้ามสุดเสียง อย่า ๆๆ มันยอมแล้ว (ความจริง ตราบใดที่คนร้ายยังถืออาวุธปืนอยู่ในมือ เจ้าหน้าที่ผู้เข้าจับกุมสามารถใช้อาวุธปืนยิงได้) นับว่าผมได้ช่วยชีวิตคนไว้ 1 คน
ช่วงที่มีคดีคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ชิงทรัพย์ผู้มาเบิกเงินจากธนาคารเกิดชุกชุม สืบสวนจนทราบตัวคนร้ายแน่ชัด มืออุ้มสะกดรอยติดตาม โอกาสเหมาะฉกตัวโม่งเข้าป่าตอนกลางดึก มือสังหารใจไม่ถึง นายต้องสั่งก่อน ผมถึงจะทำ ปกติถ้ามือเฉียบขาดลั่นไกเลยไม่ต้องสั่ง พอถามคนร้ายรู้เลยว่าใครเป็นนาย มันเข้ามาเกาะขาแน่น นายๆ อย่าฆ่าผมเลย ลูกผมกำลังเล็กๆ ผมห่วงลูกครับ คำร้องขอมันปี๊ดเข้าสมอง เราก็กำลังมีลูกชายเล็กๆเหมือนกัน สั่งก็ดังลั่น เลิกๆ ไม่ต้องทำมันแล้ว บันทึกจับกุมข้อหาซ่องโจร ส่งโรงพักดำเนินคดี เฮ้อ..ช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่ไว้เป็นรายที่สอง
อีกราย โจรสาวโคตรแสบร่วมกับสามีตระเวนไปตามธนาคารต่างๆ คอยสังเกตว่าใครถอนเงินจากธนาคารมากๆก็จะเดินตาม เมื่อออกจากธนาคารก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้อง (โจร) ขับจักรยานยนต์ตาม ชุดสืบสวนก็สะกดรอยตามไป เห็นกันจะๆตอนเข้าชิงทรัพย์ แต่ยังไม่จับ กะเหมาเข่งเอาตัวหัวหน้าด้วย เพราะมันต้องไปแบ่งเงินกันที่บ้านหัวหน้า ตำรวจชุดจับกุมดักคอยหน้าบ้าน ชุดตามคนร้ายก็รายงานให้ทราบว่าเข้ามาใกล้แล้ว คนร้ายขับรถถึงหน้าบ้าน สาวแสบเปิดประตูรั้วรับ เข้าจับทันที คนร้ายสู้เลยถูกยิงตายทั้ง 2 คน (คนหนึ่งขับรถ อีกคนนั่งซ้อนท้ายทำหน้าที่จี้ชิงทรัพย์) สาวแสบวิ่งเข้าบ้านสะดุดล้ม ลูกน้องชักปืนเล็ง ตายเถอะมึง ผมเข้าขวางคร่อมร่างผู้หญิงเพราะเห็นว่าเธอท้อง อย่าๆๆ กูขอ) รอดตายไปอีก 2 ชีวิต
คดีเหล่านี้เหตุเกิดก่อนปี พ.ศ.2525 ขาดอายุความหมดแล้ว เป็นเรื่องที่นึกขึ้นมาทีไรก็เป็นสุขใจที่ได้ช่วยชีวิตคน (ถ้าเป็นคดีในสมัยนี้ คนทำคงติดคุกแน่)
ปี พ.ศ.2525 ผมพบกับการตัดสินใจที่ยากลำบากสุดๆ โดดเดี่ยว เหงา เศร้า จนทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าที่ตัดสินใจทำไป ถูกหรือผิด เมื่อผมพาคนที่นับถือสองคนออกนอกประเทศ เป็นเหตุให้ผมถูกออกจากราชการ จะไม่เอ่ยชื่อจริงของบุคคลทั้งสองเพราะเป็นผู้มีชื่อเสียง คนหนึ่งคือเฮีย อีกคนคือเสี่ย ครั้งนั้นทั้งสองถูกกล่าวหาว่า เป็นจ้างวานใช้ผู้อื่นฆ่าคนตายถึง ๓ ราย (ปัจจุบันถือว่าทั้งสองคนบริสุทธิ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๓) แต่ตอนที่ถูกกล่าวหาเราชอบพอกัน ก่อนเดินทางผมแวะที่บ้านเอาอาวุธปืน ภรรยาจูงลูกชายอายุ ๖ ขวบตามออกมาห้าม อย่าไปเลย ๆ เพราะเธอรู้ว่าจะมีผลอะไรตามมา ผมหันหลังให้ภรรยาและลูกแล้วขับรถออกจากบ้านไปทันที ภาพใบหน้าภรรยายืนมองดูอย่างเศร้าๆยังติดตา ส่วนลูกชายคงไม่รู้เรื่องอะไร ในใจของผมมันอธิบายไม่ถูก เมื่อหันหลังให้แล้วก็ไม่ต้องกลับมามอง รถยนต์วอลโว่ 740 ของภรรยาเพิ่งซื้อมาวิ่งทะยานด้วยความเร็วเฉลี่ย 140 กม./ชม. เสี่ยเป็นคนขับรวดเดียวไม่มีการพักนอน เพียงแต่หยุดเติมน้ำมัน พักทานอาหารเช้าที่ชุมพรแล้วไปต่อ ผมหลับไปตลอดทาง ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดาบ่ายแก่ๆ ทำใบอนุญาตผ่านออก ฝากอาวุธปืน 2 กระบอก รีวอลเวอร์ .44 กับ .45 ออโตเมติก พร้อมกระสุนปืนเต็มพิกัด ทำใบผ่านเข้าประเทศมาเลเซียเรียบร้อย เสี่ยภาษาอังกฤษดี ขับรถไปเจรจาไปด้วยเพราะเส้นทางค่อนข้างวกวน ประมาณเที่ยงคืนก็ถึงปีนัง พักที่โรงแรมปีนัง 1 คืน เสี่ยเจรจาเรื่องตั๋วเครื่องบินปลายทางอเมริกา การตัดสินใจที่ยากลำบากเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทั้งเฮียและเสี่ยถาม จะไปด้วยกันไหม จะได้ซื้อตั๋วพร้อมกัน อย่าลืมนะ การตัดสินใจอะไรมันขึ้นอยู่กับสถานการในขณะนั้นด้วย เมื่อสองชวนหนึ่งน้ำหนักย่อมเอนเอียง แต่ความผูกพันที่มีต่อครอบครัวและหน้าที่การงานมีอยู่ จึงได้ปฏิเสธ (การตัดสินใจครั้งนี้คิดว่าถูกต้อง)
รุ่งขึ้นเราสามคนทานอาหารกลางวันที่ อลอสตาร์ มาเลเซีย เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเราสามคนจริงๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ไม่ได้มีโอกาสพบปะกันสามคนอีกเลย แต่เราก็ยังติดต่อกันทาง Line บ้าง โทรศัพท์บ้าง บ่าย 2 ผมเริ่มว้าเหว่เพราะต้องขับรถกลับกรุงเทพฯแต่ผู้เดียว เราโบกมือล่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ววอลโว่ก็ทะยานกลับ สมัยนั้นไม่มี GPS นำทาง ขับรถหลงทางเวียนวนอยู่ในมาเลเซีย แวะถามคนข้างทางมาตลอด พูดกันไม่รู้เรื่อง กว่าจะถึงด่านสะเดาเข้าเขตไทยก็เกือบ 17.00 น. รับปืนคืนมาวางบนเบาะนั่งใกล้ๆเพื่อหยิบใช้ในยามคับขัน ช่วงนั้นมีโจรดักปล้นสะดมคนเดินทาง มีการตัดต้นไม้ล้มขวางถนนให้รถจอดแล้วปล้นทรัพย์
ออกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดาไม่นานตะวันก็ตกดิน ถนนแคบและมืดสนิทไม่มีไฟฟ้าริมทางเลย จะหารถยนต์ให้แซงหรือรถยนต์สวนทางสักคันก็ไม่มี สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สูงหนาทึบ มันวังเวงและเหงาเข้าหัวใจ มีแต่เสียงเครื่องยนต์ดังกระหื่มเป็นเพื่อน วางแผนในใจ ถ้าเครื่องยนต์รถเสียจะทำยังไง ถ้าถูกโจรปล้นจะรับมือยังไงดี ถ้าเกิดเหตุจะไม่ยอมหยุดรถแน่ ถ้าหยุดรถกูได้ก็ยิงกัน กระสุนขนาด .44 มีประมาณ 30 นัด ส่วน .45 โอโต้มีกระสุนอะไหล่อีก 2 แม็ก ตัดสินใจว่าถ้ามีการปล้นจะไม่ยอมให้ถูกจับ กระสุนนัดสุดท้ายเตรียมไว้เจาะสมองตัวเอง ขับรถไปด้วยหัวใจที่คิดเตลิด คิดถึงบ้าน คิดถึงลูก คิดถึงเมีย จิตว้าวุ่นอยู่จนถึงเกือบเที่ยงคืนก็ถึงนครศรีธรรมราช พักนอน 1 คืน เปิดวิทยุฟังข่าวไม่มีเกี่ยวกับเรา เช้าตื่นขึ้นก็ตีรถมุ่งกรุงเทพฯ แวะทานข้าวที่หัวหิน หาหนังสือพิมพ์อ่านก็ไม่มีข่าว แต่พบความผิดสังเกต เห็นนายตำรวจรุ่นน้องคนหนึ่งแอบดูเรา แทนที่จะเข้ามาทักทายเหมือนปกติ เขากลับกลัวเรา รีบหลบไปทันที รู้เลยว่าในแวดวงตำรวจต้องมีเคลื่อนไหวแน่ บึ่งรถต่อกลับถึงบ้านยังไม่ค่ำ พบ พ.ต.อ.โสภณ วาราชนนท์ ผู้กำกับการตำรวจสืบสวนนครบาลใต้ เจ้านายโดยตรงคอยที่บ้าน พี่โสภณฯเจ้านายที่แสนดีบอก มีคำสั่งให้คุมตัว แต่ไว้ใจ พรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่ๆทำงานเก้าโมงเช้า แล้วพี่โสภณฯก็กลับไป
บรรยากาศในบ้านแสนเศร้าเมื่ออยู่กับลูกกับภรรยา มีแต่น้ำตาแทนคำพูด เช้ารุ่งขึ้นไปรายงานตัวตามนัดพร้อมเตรียมกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดคอกลมใส่กระเป๋าไปด้วย เตรียมนอนห้องขัง ผู้บังคับบัญชาประชุมเครียดจนถึงเที่ยงพี่โสภณฯออกจากห้องประชุมมาตบไหล่ สบายใจ อังกูร ไม่ต้องเข้าห้องขัง พักราชการระหว่างตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย
สามเดือนสำนวนการสอบสวนทางวินัยก็เสร็จ มีคำสั่งให้ออกจากราชการ ถือว่าการสอบสวนเร็วมาก อะไรไม่เท่าหนังสือพิมพ์หลายฉบับตีข่าวพาดหัว นายตำรวจแกะดำพาผู้ต้องหาหนีออกนอกประเทศ เป็นครั้งแรกของหนังสือพิมพ์ที่วันเดียวออกถึง 4 ฉบับ เพราะมีข่าวให้เล่นมาก
ออกจากตำรวจเพียงแค่เดือนเดียว คุณชาตรี โสภณพนิช เจ้าของธนาคารกรุงเทพจำกัดก็เชิญให้ไปทำงานที่ธนาคาร รับทันที เป็นหัวหน้าส่วนตรวจสอบทั่วไป ทำหน้าที่เสมือนเป็นตำรวจของธนาคาร มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีฉ้อโกงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธนาคารกรุงเทพ ขอบคุณ คุณชาตรีฯที่ให้โอกาสกำหนดเงินเดือนให้กับตนเองและยังให้หาคนมาช่วยทำงานอีกด้วย ทำให้ตำรวจฝีมือดีๆที่ถูกออกจากราชการได้มีงานทำหลายคน
5 ปีที่ธนาคารกรุงเทพ ได้ทำคุณประโยชน์และชื่อเสียงให้กับวงการธนาคารมากมาย สร้างหลักสูตรอบรมการสืบสวนให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร สืบสวนจับกุมคดีทุจริตฉ้อโกงธนาคารได้มากมาย จนกระทั่งปี พ.ศ.2530 ก็อำลาธนาคารกรุงเทพกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้ง การรับราชการมีความเจริญก้าวหน้า ปี พ.ศ.2543 ก็ได้รับพระราชทานยศเป็นพลตำรวจตรี เกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ.2546 ในตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง
*นั่งคิดทบทวน ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ที่ตัดสินใจกระทำลงไป ถูกหรือผิด ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละคร