กว่าจะได้ดาวเหงื่อเป็นปี๊บ
จากเรื่อง เด็กเลี้ยงควายมาเป็นนายร้อย แฟนคลับชอบใจเพราะผมบอกว่า ควายฉลาดกว่าผม (ในบางเรื่อง นะครับ) ฉะนั้นใครว่าคุณโง่เป็นควายแสดงว่าผู้นั้นไม่รู้จักควายดีพอ แบบนี้ต้องจับให้ไปไถนาซะบ้าง จะรู้สึก
บทความฉบับก่อนเป็นแรงบันดานใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครจากไหน รวยจนไม่สำคัญ หากมานะพยายามย่อมไปถึงจุดหมายได้ ขอเพียงอย่าหมดพยายาม สร้างความฝันแล้วไปให้ถึง
พูดถึงเรื่องความฝันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ลบหลู่ไม่ได้ ตอนเด็กแม่เล่าว่า ขณะที่ตั้งท้องผม คืนนั้นแม่นอนที่ชานบ้าน (บ้านโบราณจะเป็นทรงไทย ใต้ถุนสูง หลังคาทรงปั้นหยา มีชานยื่นออกไปไม่มีหลังคา) คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง แม่นอนชมจันทร์ที่ชานบ้านจนหลับไป ตื่นมาพร้อมกับความฝัน แม่เห็นดวงจันทร์สวยงามซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน อยากได้เป็นเจ้าของ ทันใดนั้นดวงจันทร์ก็ลอยคล้อยต่ำ ใกล้เข้ามา ๆจนใกล้ตัว แม่โดดคว้าพระจันทร์ไว้เต็มอก แล้วก็ตื่น ความฝันถูกถ่ายทอดให้คนใกล้ตัวฟังจนถึงผมเมื่อจำความได้ ไม่ได้คิดมากอะไร ความฝันนี้เริ่มมาปรากฏชัดตอนที่ออกไปไถนาแล้วคันไถหัก เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต พอกันทีสำหรับการทำนา เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องไถนา
เห็นความลำบากของญาติพี่น้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เมื่อหันหลังให้ก็ต้องไปให้สุด เส้นทางชีวิตข้างหน้ายิ่งกว่าเดินบนขวากหนาม ไม่มีคนดูแลปกป้อง ชีวิตเป็นเด็กวัดและตอนเป็นนักเรียนต้องดูแลตนเอง หมัด กำปั้น และเท้า เท่านั้นที่จะเบิกทางให้เดินต่อไปได้ การชกต่อยเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นประจำ ต่อยกันทีก็โดนพระเรียกไปเฆี่ยนทีนึง ก็ดีเหมือนกันถ้าพระไม่เรียกไปเฆี่ยนก็คงจะต่อยกันจนตายไปข้าง ถูกพระเฆี่ยนนี่แสบมากเพราะท่านใช้หวาย เฆี่ยนที่ขาอ่อนและน่องจนเนื้อปูด ผมก็เอาคืนพระได้พอสมควรเหมือนกัน หลังจากบิณฑบาตต้องจัดอาหารใส่สำรับถวายพระ ผมจะยักอาหารส่วนหนึ่งทานเป็นมื้อเช้าและใส่กระเป๋าไปทานเป็นอาหารกลางวันที่โรงเรียน ยามไม่มีเงินก็ขโมยปิ่นโตอะลูมิเนียม พานแว่นฟ้าที่เป็นทองเหลือง ทุบให้เป็นก้อนแล้วเอาไปชั่งกิโลขาย จำเป็นต้องทำไม่งั้นชีวิตก็ไปไม่รอด
สอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจได้ดีใจมาก ลือกันทั้งวัด ส่งข่าวบอกญาติพี่น้องที่บ้านนอก สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ รออีก ๗ วันจดหมายไปถึงคนที่ อ.บางปะหันคงได้ไชโย ก่อนจะถึงวันมอบตัวเพื่อนๆเด็กวัดล้อมวงฉลองไม่ได้นอนทั้งคืน รอ ๖ โมงเช้าไปขึ้นรถที่ข้างศาลาเฉลิมกรุง หนังสือแจ้งมอบตัวให้เตรียมกางเกงขาสั้นเสื้อยืดคอกลมรองเท้าผ้าใบไปด้วย รถบัส ๒ คันพาพวกเราออกเดินทางตรงไปสามพราน มีนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นพี่นั่งคุมไปด้วย ระหว่างเดินทางช่างเงียบ ขณะชมวิวทิวทัศน์เพลินความฝันหยุดกึกเมื่อมีเสียงระเบิดจากปากรุ่นพี่ ทุกคนเปลี่ยนเป็นชุดกีฬารองเท้าผ้าใบ ไม่มีคำอธิบาย พวกเรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นความตื่นเต้นเล็กๆ เมื่อรถวิ่งข้ามสะพานโพธิ์แก้ว มองลัดทุ่งเห็นโรงเรียนนายร้อยตำรวจอยู่ลิบๆ ทันใดรถบัสทั้งสองคันจอดสนิทข้างทาง พร้อมกับเสียงดังราวฟ้าผ่า ทุกคนลงจากรถ พร้อมเสียงอื้ออึงตามมาไม่ขาดสายจากรุ่นพี่ซึ่งทีแรกนึกว่าเป็นใบ้ สมัยนั้น (ปี 2505) สองข้างถนนเป็นคูน้ำโคลนลึกประมาณเข่า มีหญ้าคาขึ้นรก จากขอบถนนต้องกลิ้งลงไป คลานต่อ ม้วนหน้าม้วนหลัง ไปตามคูน้ำสักระยะก็ถูกเรียกแถวกลางทุ่งนา จัดระเบียบแถว ระยะต่อระยะเคียง (จากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งมาเป็นเอาตอนนี้) เดินบ้าง วิ่งบ้าง คลานคืบ เดินมด เดินช้าง เดินเป็ด สารพัดสรรหา ระยะทางจากสะพานโพธิ์แก้วลัดทุ่งนาถึงโรงเรียนประมาณ ๘ กม.ใช้เวลา ๒ ชั่วโมงกว่า ถึงประตูโรงเรียนเข้าไม่ได้อีก นักเรียนรุ่นพี่แต่งชุดฝึกพร้อมดาบปลายปืน เตรียมแทง ต้องขออนุญาตผ่าน ยังไม่พอ พาชมสถานที่ต่างๆในโรงเรียน วิ่งไปบนถนนคอนกรีตตะวันตรงหัว ร้อนตีนเพราะรองเท้าหลุดหายก็ต้องทนวิ่งไป ยืนท่องคติพจน์ของตำรวจ เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่..... กว่าจะจบเท้าเกือบพอง วิ่งชมสถานที่รอบโรงเรียนแล้วให้ไปอาบน้ำ โดดลงสระทั้งเหงื่อ ร่างกายไม่แข็งก็คงเป็นไข้ เปลี่ยนชุดเพื่อทานอาหารกลางวัน (เป็นมื้อแรกของผม) อ้าว.. เดินเหมือนคนปกติก็ไม่ได้ ต้องเดินฉาก เตะท้าวขึ้นไปในอากาศให้ได้ ๙๐ องศา สืบตัวไปข้างหน้าแล้วตบเท้าลง
ชีวิตในปีที่ ๑ ถือว่าหนักสุด ถูกฝึกให้รู้จักระเบียบวินัย การจัดระบบตนเองตั้งแต่เท้าจรดศีรษะ เสื้อผ้าหน้าผม จัดเสื้อผ้าในตู้ยืน ทั้งพับและแขวน การจัดตู้ปลายเตียง การวางสิ่งของ รวมทั้งการปูเตียงผ้าขาวตึงเป๊ะ ทุกคนต้องจัดเหมือนกันหมด ทุกวินาทีมีค่า กิจกรรมทุกอย่างมีกรอบเวลา ชีวิตเร่งรีบไม่เป็นตัวของตัวเอง กินเป็นเวลานอนเป็นเวลา ชีวิตจะสุขสบายเมื่อประมาณ ๓ ทุ่มครึ่งหลังจากที่ยามตระโกน นอน นอน นอน ไฟโรงนอนดับมืด ทุกอย่างเงียบสงบ แม้เข็มสักเล่มตกพื้นก็คงจะได้ยิน ไม่มีเสียงกรน ทุกคนคงอ่อนเพลียจากการเรียนการฝึก หลับแบบไม่ได้สติ ส่วนผมนอนน้ำตาไหลหมอนเปียกชุ่ม ชีวิตเหนื่อยหนักลำบากยิ่งกว่าทำนา จะต้องผ่านไปให้ได้ ในใจของเพื่อนๆคงจะคิดเหมือนกันเพียงไม่ได้สื่อออกมา จึงมีหลายคนลาออกเพราะได้สถานที่เรียนที่คิดว่าน่าจะดีกว่า บางคนก็ไปเรียนต่างประเทศ แต่พวกเราก็รักกันและยอมรับว่ารุ่นของเราคือเพื่อนทุกคนที่ผ่านการซ่อมอย่างหนักในวันแรก สะอึกในใจถึงชีวิตรันทดหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว สะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อเสียงดังราวฟ้าผ่า ตื่น ตื่น ตื่น ชีวิตวันใหม่รีบเร่งเพราะมีเสียงสั่งดังตามมา ทุกคนเก็บที่นอนให้เรียบร้อย แต่งชุดกีฬา เข้าห้องน้ำ ฟังเรียกแถวที่ลานฝึกภายใน ๑๐ นาที สิ้นเสียงความชุลมุนเกิด ไม่มีใครช่วยใคร ทุกคนเก็บมุ้ง พับ จัดผ้าคลุมหมอน ปรับที่นอนให้ตึง เปลี่ยนเสื้อผ้า เข้าห้องน้ำ ยืนฉี่ยังไม่สุด ได้ยินเสียงเรียกแถวที่กลางลานฝึก อั้นฉี่ไว้ครึ่งหนึ่งรีบไปเข้าแถว ใครมาถึงช้าถูกแยกไปอีกพวกหนึ่ง ทำโทษโดยการวิ่งรอบสนามบ้าง ยึดพื้น สก็อตจั๊มพ์บ้าง โดนเข้าบ่อยๆทุกอย่างก็เข้าที่ ทุกคนสามารถปรับตัวทันเวลาหมด
ชีวิตเริ่มต้นด้วยการวิ่งเป็นแถวเท้าพร้อม เป็นการฝึกไปในตัว (บางคนวิ่งเท้าพร้อมไม่เป็น ถูกลงโทษให้วิ่งรอบแถว) จนในที่สุดก็สามารถวิ่งเท้าพร้อม รักษาระยะต่อระยะเคียง ดูแล้วสวยงาม วิ่งจากลานฝึก ปานะดิษฐ์ ไปรอบสนามกีฬา ลานฝึกศรียานนท์ ระยะทางประมาณ ๒ กม. หยุดพักเหนื่อยแล้วกายบริหาร ขากลับฝึกการเดิน ตัวตรง เก็บคาง มองตรงไปข้างหน้า แขนเหยียดตรงข้างลำตัว มือกำหลวม แกว่งพองาม เดินไปร้องเพลงมาร์ชตำรวจไป กลับเรือนนอนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด ทานอาหารแล้วเข้าห้องเรียน ภาคเช้าเป็นเช่นนี้ทุกวัน การเดินของนักเรียนนายร้อยถูกฝึก สง่า ผึ่งผาย ดูเท่ห์ สวยงาม ฝึกถึงขนาดเอาขันน้ำวางบนศีรษะแล้วเดิน ขันจะต้องไม่ตกลงมา การเดินต้องปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า อกผายไหล่ผึ่ง แต่พอเกษียณออกมาเห็นท่าเดินบางคนแล้วตลก เดินแบะแช่แบะ ปลายเท้าออกข้างแบบชาลีแชปปลิ้น ลืมท่าเดินที่เคยฝึกมา ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับผู้มีอำนาจ ใหญ่จนใครก็ไม่กล้าเตือน บางคนก็เดิมตุ้มเพลกๆ ดูตลก พวกนี้ข้อเข่าไม่ดี ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามสภาพสังขารแต่ในอดีตทุกคนเนี๊ยบมาแล้วทั้งนั้น
ชีวิตนักเรียนปีหนึ่งมักจะถูกเรียกให้เจ็บใจว่า นักเรียนใหม่ โดนเรียกทีไรมันเสียดแทงทุกครั้ง การเคลื่อนที่ของนักเรียนใหม่คือการวิ่ง ถ้าจะเดินก็ต้องเดินฉาก แม้แต่การทานอาหาร การตักอาการใส่จาน ส่งอาหารเข้าปาก ต้องเป็นฉาก ใครลัดฉากถูกทำโทษ ใครทำอาหารหกแม้ข้าวสุกตกสักเม็ดคุณจะต้องแบกข้าวสุกเม็ดนั้นไปวิ่งรอบสนามแล้วทิ้งเม็ดข้าวสุกลงในน้ำให้ดัง ตูม นั่นคือ คุณต้องโดดลงน้ำไปทั้งตัว การยกเลื่อนเก้าอี้นั่งต้องไม่มีเสียง ครั้งแรกๆมีเสียงดังเกิดจนได้ ทุกคนจึงต้องแบกเก้าอี้เหนือหัววิ่งรอบสนาม คราวต่อไปเมื่อทุกคนเข้ายืนประจำโต๊ะอาหาร มีคำสั่ง นั่ง เก้าอี้หลายสิบตัวถูกเลื่อนออกพร้อมกันโดยไม่มีเสียงแม้แต่น้อย การนั่งเพียง ๑ ใน ๓ ของเก้าอี้ หลังตรง (ห้ามนั่งพิงเก้าอี้เด็ดขาด) นั่งแล้วยังทานไม่ได้ แขนสองข้างต้องกอดฉากยกเสมอไหล่ มีนักเรียนเวรตรวจดูความเรียบร้อย บางคนเหงื่อไหลลงปลายศอกเพราะเหนื่อยจากการวิ่งมาแล้วยังถูกให้นั่งกอดฉากอีก แขนสั่นดิ๊กๆ โล่งอกได้กินซะทีเมื่อมีคำสั่ง กินได้
ช่วงการเรียน อัดแน่นด้วยวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านกฎหมาย วิชาการตำรวจ ระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ไม่เกี่ยวกับคดี การตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อหาร่องรอยหลักฐานในคดีต่างๆ การถ่ายภาพ การตรวจศพและการผ่าพิสูจน์ศพ ยุทธวิธีเข้าตรวจค้นจับกุม การต่อสู้ป้องกันตัว มือเปล่าสู้กับมือเปล่า มือเปล่าสู้กับอาวุธ มวยไทย มวยปล้ำ ยูโด ยูยิตสู ขี่ม้า ขับรถ ยิงปืนในรูปแบบลักษณะต่างๆ วิชาการทหาร การใช้อาวุธทุกชนิด ฝึกการรบแบบกองโจร Hit & Run ฝึกกระโดดร่ม หลักสูตรการเป็นผู้นำ Leadership มรรยาทในการเข้าสังคม มารยาทในการรับประทานอาหาร และอีกหลายๆอย่างมากมายจารนัยไม่หมด *เป็นวิชาของลูกผู้ชายล้วนๆซึ่งไม่สามารถจะแสวงหาได้จากที่ใด และในสถานบันหลักสูตรทหารเหล่าทัพต่างๆก็จะมีสอนลักษณะนี้เช่นกัน
*คำตอบทั้งหมดมาอยู่ที่ปี๔ ปีสุดท้าย เป็นพี่ใหญ่ที่จะต้องถ่ายทอดจิตวิญญาณ การเป็นผู้นำ การเตรียมความพร้อมทั้งกายและใจเพื่อออกไปรับใช้ประชาชน ให้กับรุ่นน้องๆต่อไป สำนึกและขอบคุณรุ่นพี่ฝึกสอนเคี่ยวเข็นเรามา เป็นยิ่งกว่าความรักและคำหวานที่จะมอบให้ น้ำตาซึมตอบแทนความประสงค์ดีที่พี่ๆมอบให้ แม้จะเสียเหงื่อเป็นปี๊บก็เกินคุ้ม
คืนสุดท้ายหลังรับพระราชทานกระบี่จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เลี้ยงฉลองอำลากันบนฟลอร์ลีลาศขนาดใหญ่กลางลานฝึกปานะดิษฐ์ เที่ยงคืนตรงเสียงเพลงลาก่อนสามพรานจากวงสุนทราภรดังกระหึ่ม เป็นสัญญาณที่เราต้องจากกันและจากสถาบัน น้ำตาซึมขณะจับเมือเพื่อนๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ ๕๗ ปี เพื่อนๆจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ๓๓ คน ที่เหลืออยู่ก็เพียงรอวันที่จะตามเพื่อนไป เพลง ลาก่อนสามพราน ยังแว่วอยู่ในหูจนทุกวันนี้ คิดถึงเพื่อนและสถาบันที่สร้างคนสร้างจิตวิญญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สร้างต้นทุนให้กับทุกคนที่ผ่านสถาบันนี้ นั่นแหละ... ทุกคนล้วนเสียเหงื่อเป็นปี๊บทั้งนั้น.