บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
โจรกรรมเพชรซาอุฯ
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› โจรกรรมเพชรซาอุฯ




สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียอยู่ในฐานะที่ดีมาเป็นเวลานาน มีการเจริญไมตรีทางการทูต ไทยส่งแรงงานไปทำงานในประเทศซาอุฯจำนวนมาก เวลาเดียวกันคนประเทศซาอุฯก็เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเช่นกัน นับว่าประเทศซาอุฯสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียไม่ดีเหมือนเดิมเพราะมีเรื่องเกี่ยวพันกันระหว่าง 2 ประเทศหลายเรื่อง

1. เรื่องฆ่า จนท.สถานทูตซาอุฯ

2. เรื่องนักธุรกิจซาอุฯถูกหายตัวในประเทศไทย

3. เรื่องโจรกรรมเพชร

แต่ละเรื่องลึกลับซับซ้อน ไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้ชนิดเรียบร้อยสมบูรณ์และโปร่งใส ชุดสืบสวนฝีมือดีของเมืองไทยถูกเรียกตัวมาทำงาน แต่ละคดีก็จบลงหรือสรุปแบบยังมีประเด็นข้อกังขา ทิ้งไว้ให้คนที่สนใจขบคิดค้นหาต่อไปอีก

ประเทศซาอุฯเข้มงวดเรื่องการรับแรงงานไทยและห้ามคนซาอุฯเดินทางเข้าไทยทำให้ประเทศขาดรายได้ รัฐบาลไทยหลายสมัยพยายามแก้ไขแต่ก็ยังไม่สำเร็จ มีการรื้อฟื้นสืบสวนสอบสวนคดีหลายครั้งหลายคราก็ยังไม่เป็นที่พอใจของประเทศซาอุฯ

สมัยที่แรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯได้ ค่าหัวคิวส่งแรงงานไทยแพงมากๆ หัวละเป็นแสนๆบาท โดยมีหัวหน้ามาเฟียไทยเป็นผู้เรียกเก็บ จ่ายใครบ้างไม่ทราบ ทางการประเทศซาอุฯก็พยายามปราบปรามเรื่องนี้ มีการย้ายเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่ากลับประเทศและส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำการสืบสวนอย่างลับๆ จากการเข้มงวดกวดขันของทางการซาอุฯ ทำให้วงจรอุบาทว์ส่วยแรงงานชะงักและมีการฆ่ากันเกิดขึ้น

1.ปมขัดแย้งครั้งแรก เมื่อประมาณปลายปี 2531 ขณะที่แรงงานไทยส่งไปซาอุฯยังฟูเฟื่อง เมืองไทยเป็นสวรรค์ของคนซาอุฯ ในกรุงเทพฯแถวซอยนานาเหมือนกับเมืองๆหนึ่งในประเทศซาอุฯ เดินไปไหนก็มักจะพบแต่คนแต่งกายชุดขาว ชุดดำคลุมศีรษะแบบอาหรับมิดเดิลอีส ร้านค้าร้านอาหารบริการชาวตะวันออกกลางมากมาย เวลาเดียวกันที่พัทยาใต้แถวมาลินพลาซ่าก็คราคร่ำไปด้วยนักท่อเที่ยวจากซาอุฯ เกือบจะเรียกได้เลยว่าบริเวณทั้งสองแห่งนี้กลายเป็นเมืองตะวันออกกลางไปแล้ว

ที่พัทยามีการแบ่งโซนกินและที่ยวอย่างชัดเจน ไม่มีการล่วงล้ำแดน ทำให้อยู่กันได้อย่างสงบ บรรดาหญิงบาร์อะโกโก้ สาวนั่งดริ๊งค์ สาวขายบริการ สาวนั่งชั่วโมง จากทุกสารทิศเฮโรไปขุดทองที่พัทยา

กลุ่มซาอุฯอยู่แถวพัทยาใต้ ย่านมาลินพลาซ่าและโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ มีโบว์ลิ่งอยู่ที่ชั้นล่าง โรงแรมนี้ซาอุฯแทบจะเหมาไปเลย ฝั่งตรงข้ามกับมาลินพลาซ่าด้านฝั่งทะเล ย่าน Babyอะโกโก้เป็นถิ่นของแก๊งเยอรมัน แถวพัทยากลางกลุ่มฮอลแลนด์ยึดครอง พวกไต้หวันยึดหัวหาดอยู่พัทยานาเกลือ สถานบริการที่พัทยาเปิดดึกเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว

ในปลายปี 2531นั้นเอง จนท.กงศุลของซาอุฯถูกลอบสังหารที่พัทยาในขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์พัทยาใต้ ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายควบมอเตอร์ไซด์มีชายมือปืนนั่งซ้อนท้าย แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถมอเตอร์ไชด์ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถโดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 7.65 มม.หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือปล่อยลูกกระสุนเป็นชุด 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายคือ จนท.กงศุล ถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย.ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรออยู่ แล้วคนร้ายที่เป็นผู้ลั่นกระสุนก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิมเร่งเครื่องขับขี่หายไปกับความมืด เหตุเกิดและผ่านไปรวดเร็วมากแต่ก็ไม่พ้นสายตาของกลุ่มนายตำรวจหนุ่มที่เพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย กำลังนั่งพักผ่อนปล่อยอารมณ์ดื่มเบียร์กันอยู่ประมาณ 3-4 คน ทุกคนไม่มีอาวุธปืน ไม่มียานพาหนะ เพราะมิได้มาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขานั่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร เพียงเห็นคนร้ายเร่งเครื่องมอเตอร์ไซด์ผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากเสียงปืนดัง ไม่สามารถจำอะไรเกี่ยวกับคนรา้ยได้ ไปยังที่เกิดเหตุก็พบว่าเหยื่อตายสนิท ฝีมือการยิงของมือปืนแม่นยำ มีความชำนาญในการใช้อาวุธ การสืบสวนคดีนี้ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด

2.เหตุการณ์ต่อมา เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอและฯเลขานุการโทประเทศซาอุฯประจำประเทศไทยถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือ“บังมุด” จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลพิพากษายกฟ้อง หลังจากคดี“บังมุด”แล้วยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย

รายแรก จนท.สถานทูตซาอุฯถูกยิงเสียชีวิต 3 ศพในวันเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุมี ๒ จุด เวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ โดยคนร้ายใช้อาวุธปืนพกขนาด 7.65 มม.หรือขนาด .32

รายที่สอง ในระยะเวลาใกล้เคียงกับเหตุรายแรก มีนักธุรกิจของประเทศซาอุฯหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีก 1 คน ในขณะที่การสืบสวนคดีเรื่องฆ่า จนท.ทูตซาอุฯและคดีนักธุระกิจหายตัวยังไม่คลี่คลาย คดีโจรกรรมเพชรซาอุฯก็เกิดขึ้น เป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งเรื่องที่สาม

3.ประมาณปลายปี 2532 ตอนกลางๆเดือนธันวาคมมีข่าวแพร่งพรายออกมา รัฐบาลประเทศซาอุฯประสานมายังรัฐบาลไทยว่ามีคนไทยที่ไปทำงานที่ประเทศซาอุฯโจรกรรมเพชรล้ำค่า จากวังเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส มูลค่าหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศซาอุฯเข้มงวดแรงงานไทยที่จะไปทำงานซาอุฯมากยิ่งขึ้น

ขั้นต้นรัฐบาลไทยปฏิเสธ ต่อมารัฐบาลประเทศซาอุฯยืนยันว่า คนร้ายที่กระทำผิดเป็นคนไทยที่ไปทำงานในประเทศซาอุฯแน่นอนและได้หนีกลับประเทศไทยแล้ว ขอให้ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ

หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยทุกฉบับลงข่าวเรื่องโจรกรรมเพชรซาอุฯ ระบุคนร้ายคือนายเกรียงไกร เตชะโม่ง บ้านอยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ขณะนั้น พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย กำกับดูแลกรมตำรวจ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็น อ.ตร. มอบหมายให้มือปราบพระกาฬนำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบช.ก.ควบคุมกองปราบ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีนี้

การเจรจาในทางการทูตเกิดขึ้น ประเด็นจะส่งตัวผู้กระทำผิดซึ่งเป็นคนไทยให้กับประเทศผู้เสียหายหรือไม่ ประเทศไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับซาอุดิอาระเบีย ในทางปฏิบัติจะส่งก็ได้ ไม่ส่งก็ได้

ระหว่างเจรจาหาข้อยุติว่าจะส่งตัวหรือไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯขณะนั้นผู้กระทำผิดยังไม่ถูกจับกุม นสพ.ลงข่าวเพิ่มความกดดันให้กับนายเกรียงไกร เตชะโม่งเป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกจับตัวส่งไปให้ซาอุฯถูกแขวนคอตายสถานเดียว นายเกรียงไกรฯเห็นตัวอย่างในประเทศซาอุฯมาแล้ว ขนาดลักทรัพย์ธรรมดายังถูกตัดมือ แต่นี่ลักในพระราชวังกษัตริย์ไฟซาลผู้มีอำนาจ ก็คงจะถูกประหารชีวิตแน่นอน จึงทำให้นายเกรียงไกรฯต้องหนีสุดชีวิต พร้อมยาไซยาไน้ท์ติดตัวตลอดเวลา ถ้าถูกจับตัวได้ก็จะรีบกินยาไซยาไน้ท์ฆ่าตัวตายทันที

รัฐบาลไทยตัดสินใจเลือกไม่ส่งตัวนายเกรียงไกรฯไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎหมายของประเทศซาอุฯรุนแรงเกินไป โดยจะขอดำเนินคดีในประเทศไทย

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยอำนาจการสอบสวนของไทย มาตรา 20 บัญญัติไว้ว่า “ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหน้าที่นั้นให้พนักงานสอบสวนคนใดก็ได้”

หมวด 3 ว่าด้วยอำนาจศาล มาตรา 22 (2) “เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา………”

เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ก็ได้ประสานให้ซาอุฯส่งตัวแทนในฐานะเป็นผู้เสียหายมาร้องทุกข์ดำเนินคดี ซึ่งประเทศซาอุฯก็ได้ส่ง ร.ต.อ.ซาแอค เอ็มเอส ซาซิส เข้ามาให้ถ้อยคำ และอัยการสูงสุดก็ได้มอบหมายให้กองปราบปรามเป็นพนักงานสอบสวน

ย้อนกลับมาดูเรื่องการโจรกรรมเพชร ถ้าฟังตามข่าวแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าคนไทยตัวเล็กๆไม่มีการศึกษา จะสามารถอาจหาญเข้าไปโจรกรรมถึงในวังเจ้าชาย เข้าไปเอาได้อย่างไร ทำกันกี่คน มีคนอื่นร่วมไหม ทำไมมันง่ายนัก ไม่อยากจะเชื่อ แล้วนำกลับเข้าเมืองไทยได้อย่างไร รอดพ้นการตรวจตราของทั้งสองประเทศไปได้อย่างไร

ติดตามอ่านแล้วจะหายกังขา อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์อย่างเดียวจะงงเพราะเรื่องนี้ไม่มีการแถลงข่าวกันอย่างละเอียด ที่จะนำมาเปิดเผยนี้เป็นส่วนที่ผู้เขียนเข้าไปสัมผัสจริง เพราะอยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนโจรกรรมเพชรซาอุฯ ภาคสอง (ภาคแรก กองปราบเป็นผู้สืบสวนสอบสวนและจับกุมตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ส่งขึ้นศาล) ส่วนเพชรซาอุฯภาคสองนำโดย “เชอร์ล๊อคนู”(พล.ต.ท.ธนู หอมหวล ขณะนั้นตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง)

คดีเพชรซาอุฯภาค ๑ มีการจับกุมนายเกรียงไกรฯผู้กระทำผิดได้ ติดตามยึดเพชรกลับคืน เมื่อนำเพชรส่งคืนไปให้กษัตริย์ไฟซาล ปรากฎว่าเพชรอัญมณีบางชิ้นที่ส่งคืนไปเป็นของปลอม ทำให้รัฐบาลซาอุฯไม่พอใจ ไม่ยอมรับแรงงานไทย ไม่ยอมให้คนซาอุฯเข้าประเทศไทย ขณะนั้นเป็นรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็น อ.ตร. พล.ต.ท.ธนู หอมหวล หรือเชอร์ล็อคนู เป็น ผบช.ก. “เชอร์ล๊อคนู” เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เป็น หน.ชุดสืบสวน ผู้เขียนขณะนั้นยศ พ.ต.ท.ตำแหน่งเป็นรอง ผกก.2 ป. อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนเพชรซาอุฯภาคสองนี้ด้วย

เรื่องที่ พล.ต.ท.ธนูฯได้รับมอบหมายให้สืบสวนสอบสวนมีสองเรื่อง 1.กรณีฆ่า จนท. สถานทูตซาอุฯ 2.กรณีโจรกรรมเพชรซาอุฯ

ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนของเชอร์ล็อคนู ในคดีแรก(คดี จนท.ทูตซาอุฯถูกฆ่า) ผลออกมาแบบชนิดไม่คาดคิด ผมเองก็ยังนึกไม่ถึง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรจะพูดถึงในโอกาสต่อไป

ส่วนกรณีโจรกรรมเพชรซาอุฯภาคสอง เชอร์ล็อคนู ก็ยังสามารถเก็บตกได้ตัวผู้ต้องหาที่รับซื้อของโจร (ผู้รับซื้อเพชรและอัญมณี จากนายเกรียงไกรฯที่โจรกรรมจากวังกษัตริย์ไฟซาล)ได้อีกหลายคน และพบว่ามี จนท.ตำรวจอมเพชรอีกด้วย

เรื่อง จนท.อมเพชรของเชอร์ล็อคนู หรือเพชรซาอุฯภาคสองนี้ก็เล่นไม่ยาก กล่าวคือ ย้อนรอยการดำเนินการของตำรวจชุดแรก พบว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้นตามจุดต่างๆเมื่อพบของกลาง (ทรัพย์ที่จากการกระทำผิด) ที่ใด ก็จะทำบัญชีทรัพย์ที่ยึด แล้วนำไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจท้องที่ มีการส่งเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการณ์หลายชุด แยกย้ายกันไปตรวจค้นหลายจุด ทำให้มีบันทึกการตรวจยึดของหลายฉบับ แต่เมื่อนำผู้ต้องหา,ทรัพย์ของกลางเข้า กทม.แล้ว พบว่าของกลางบางรายการหายไป บางทีก็ขาดหายไปทั้งบันทึก เนื่องจากมีการจัดทำบันทึกใหม่เพื่อให้เรียบร้อย เอกสารเก่ามีหลายฉบับเลอะเทอะเลยจัดทำใหม่รวมเป็นใบเดียว ทำให้มีสิ่งของบางรายการขาดหายไป ส่วนที่ขาดนี่แหละถือว่าเป็นสิ่งของที่ถูกอม ทำให้คดีในภาคสองมีการจับกุมแต่เจ้าหน้าที่ระดับเล็กๆ ดูแล้วจิ๊บจ๊อยมาก ส่วนบลูไดมอนด์เพชรเม็ดใหญ่ที่ทางซาอุฯต้องการไม่รู้ไปอยู่ที่ใด สืบหาไม่ได้เหมือนเดิม

ข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนแรกประการหนึ่งก็คือ หลังจากออกปฏิบัติการตรวจค้นตามจุดต่างๆในต่างจังหวัดแล้ว พอกลับถึง กทม.มารวมทำบันทึกใหม่เพื่อใส่ชื่อผู้บังคับบัญชาลงไปด้วย อยากให้เจ้านายได้หน้า ทำให้ข้อเท็จจริงไม่ตรง และ รายละเอียดบางอย่างขาดหายไป ในขณะนั้นไม่มีใครคิดว่าจะถูกรื้อฟื้นคดี พอมีการรื้อฟื้นขึ้นมาติดคุกกันเป็นระนาว ตำรวจรุ่นใหม่ๆจงจำเอาไว้เชียว

ในช่วงที่ทำการสืบสวนการโจรกรรมเพชรซาอุฯภาคสอง ผู้เขียนทำหน้าที่รับ-ส่งตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งต้องโทษตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใกล้จะพ้นโทษ (นายเกรียงไกรฯ ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรฯรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีจึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง) ตอนเช้าประมาณ 09.00 น.ผู้เขียนจะไปรับตัวนายเกรียงไกรฯที่เรือนจำอยุธยาแล้วพาตัวไปสอบสวนที่ บชก.ถนนอังรีดูนังส์ กทม. โดยมี จนท.ราชทัณฑ์คุมตัวไปด้วย ผู้เขียนมีโอกาสใกล้ชิดนายเกรียงไกรฯ นั่งติดกันในรถช่วงที่เดินทางประมาณ 4-5 วันๆละกว่า 3 ชั่วโมง รายละเอียดต่างๆในความทรงจำของนายเกรียงไกรฯถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ นำมาเล่าสู่กันฟัง ทำให้ทราบเหตุการณ์บางตอนได้ชัดเจน ไม่มีผลทางคดีเพราะคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว

ลักษณะของนายเกรียงไกรฯเป็นคนบุคลิกหลุกหลิก ไม่นิ่ง(อยู่ไม่สุข) เหมือนหวาดระแวงตลอดเวลา นัยน์ตาล่อกแล่ก ความรู้สึกไว ตอบสนองทันทีเมื่อมีเสียงเรียก เหมือนคนไม่เคยไว้ใจใคร การพูดจาลักษณะใช้ความคิด คือคิดคำนึงก่อนพูด เป็นคนฉลาด ที่นิ้วกลางมือซ้ายฝังแม่เหล็กไว้ในนิ้วเพื่อใช้ในการต้มตุ๋นในการเล่นการพนันไฮโล

นายเกรียงไกรฯเดินทางเข้าไปขายแรงงานในประเทศซาอุฯเช่นเดียวกับผู้ขายแรงงานอื่นๆ เป็นพวก Unskill Labour( แรงงานไร้ฝีมือ) ทำงานอยู่ในบริษัทรับทำความสะอาดแห่งหนึ่งในซาอุฯ ซึ่งในบริษัทดังกล่าวนี้มีคนไทยอยู่ประมาณ 4-5 คน แล้วยังมีคนฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ร่วมทำงานในบริษัทเดียวกัน

ช่วงเกิดเหตุ บริษัทรับทำความสะอาดที่นายเกรียงไกรฯทำงาน ได้ไปรับจ้างทำความสะอาดวังของกษัตริย์ไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซีส วังดังกล่าวอยู่นอกเมือง เนื้อที่วังประมาณ 10 ไร่เศษ ภายในมีอาคารหลายหลัง เป็นที่ประทับของกษัตริย์,มเหสี มีห้องรับแขก ห้องรับรอง นับได้เป็นร้อยห้อง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงประมาณ 3 เมตรทั้งสี่ด้าน ในช่วงที่บริษัทรับจ้างทำความสะอาดนั้น กษัตริย์ไฟซาลและมเหสี แปรพระราชฐานไปพักร้อนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนประมาณ 15 วัน ในวังดังกล่าวจะมีเพียงแม่บ้านคนดูแลความเรียบร้อยประจำตึก คอยเปิดกุญแจตึกและตู้เก็บของให้คนงานทำความสะอาด และการทำความสะอาดดังกล่าวนี้ คนงานทุกคนจะเดินทางไปทำงานโดยรถปิคอัพของบริษัทฯ เช้าไปส่งเย็นรับกลับ มีการเซ็นชื่อเข้าทำงานและเซ็นกลับเพื่อเป็นการตรวจสอบว่า ใครมาทำงานบ้าง ใครไม่มาบ้าง จะได้คิดค่าจ้างแรงงานได้ถูก หัวหน้างานที่ถือสมุดคุมรายชื่อคนทำงานเป็นชาวฟิลิปปินส์

สิ่งที่ควรทราบคือ ประเทศซาอุฯเป็นประเทศมุสลิม จะไม่เลี้ยงสุนัข และเป็นประเทศที่กฎหมายแรงมาก คดีลักทรัพย์จะไม่ค่อยมี เพราะกฎหมายลงโทษหนักและทารุณ เช่น คดีลักทรัพย์ ผู้กระทำผิดจะต้องถูกตัดมือ การลงโทษที่รุนแรงทำให้คดีลักทรัพย์ไม่ค่อยเกิด เป็นเหตุให้เจ้าของทรัพย์ไม่ค่อยระมัดระวังในการรักษาทรัพย์ แต่ในสายตาของเกรียงไกรฯมองเห็นว่า มันเป็นเรื่องล่อใจเสียเหลือเกิน

เกรียงไกรฯเป็นคนฉลาด ไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าวก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็ยังมีกุญแจเสียบคาทิ้งไว้ ไม่มีการล๊อค

***การลงชื่อทำงานและลงชื่อกลับในเวลาเดียวกัน***เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกรียงไกรฯโจรกรรมทรัพย์สินในวังได้สำเร็จ

ตอนเช้า คนงานผู้ใดจะไปทำงานต้องลงชื่อในบัญชีการทำงาน ผู้ควบคุมจะเดินทางไปส่งคนงานที่วังและในตอนเย็นเลิกงาน ผู้ควบคุมมจะรับคนงานกลับ คนงานทุกคนต้องลงชื่อกลับ เกรียงไกรฯมองเห็นช่องทาง คือมีคนงานฟิลิปปินส์บางคน“อู้งาน” ขอลงชื่อกลับไว้ก่อนโดยรู้กับคนควบคุม เซ็นชื่อเข้าทำงานพร้อมเซ็นกลับไว้ในคราวเดียวกัน พอทำงานไปได้สักพักก็โดดหนีงาน แต่หลักฐานแสดงว่ามีการทำงานตามปกติ เวลาเดียวกันเกรียงไกรฯก็พบว่า แม่บ้านที่มาเปิดบ้านให้ทำความสะอาดบางวันก็ไม่ได้มาปิด บางวันมาเช็คห้อง บางวันก็ไม่มาเลย เพราะเจ้านายไม่อยู่และคงคิดว่าคงไม่มีใครกล้าลองดี

เกรียงไกรฯดูลาดเลาเพื่อโจรกรรมอยู่สองวัน วันที่สองก็เริ่มวางแผนว่าจะจัดการอย่างไร ในวันที่สามเกรียงไกรฯได้นำกระสอบปุ๋ยทบห่อให้เล็กติดตัวไปโดยไม่ให้ใครรู้ แล้วก็เซ็นชื่อเข้าทำงานพร้อมเซ็นชื่อกลับไว้ในสมุดคุมของหัวหน้างาน พร้อมกับบอกหัวหน้าว่าจะขอเดินทางกลับและมาทำงานเอง เป็นโอกาสให้เกรียงไกรฯสามารถแฝงตัวอยู่ในพระราชวังได้ทั้งคืน ตอนเช้าคนงานอื่นๆเข้าทำงานเกรียงไกรฯก็จะโผล่มาทักทายแล้วแยกย้ายกันทำงาน มีหลายอาคาร หลายห้อง ไม่มีคนงานใดสงสัย

แต่ในความเป็นจริงเกรียงไกรฯจะซุกตัวอยู่ในห้องในบริเวณตึกที่เห็นว่ามิดชิดไม่มีการตรวจสอบ เมื่อคนงานกลับหมด แม่บ้านไปแล้ว ก็จะออกจากที่ซ่อนเที่ยวค้นหาของมีค่า ใช้เวลาเลือกหาของมีค่าทั้งสิ้น 7 คืน และแล้วของมีค่าทั้งหมดถูกรวบรวมใส่ถุงปุ๋ย เหวี่ยงออกนอกกำแพงในเวลากลางคืน เกรียงไกรฯปีนกำแพงวังออกมา นำของมีค่ากลับที่พัก

ประเด็นเรื่องของมีค่านั้นจริงหรือเก๊ เกิดได้หลายทาง
1.เกรียงไกรฯเก็บของมีค่าตามตู้โชว์ ตามลิ้นชัก ตามตู้เซฟที่กุญแจตู้เซฟคาไว้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ที่มาของสิ่งของในตู้โชว์อาจจะเป็นของสวยๆงามๆที่ไม่ใช่ของแท้บ้างก็ได้
2.ตอนที่ตำรวจติดตามเอาสิ่งของที่ถูกโจรกรรมกลับคืนจากแหล่งรับซื้อ มีร้านรับซื้อบางรายรู้ว่าสิ่งของที่ตนรับชื้อไว้เป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอาไปคืนเจ้าหน้าที่ เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วนที่แกะของจริงเอาไปขาย หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ก็หาของปลอมยัดไส้เข้าไป ก็อาจจะเป็นได้ ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร

เกรียงไกรฯเคยทำงานอยู่ซาอุมาเป็นเวลา 7 ปี รู้ลู่ทางทางหนีทีไล่จุดอ่อนจุดแข็งการปฏิบัติงานของ จนท.ในประเทศซาอุฯ ถนนหนทางต่างๆสามารถเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวคล่องแคล่ว และคุ้นเคยกับการส่งของกลับเมืองไทยโดยการบรรจุหีบห่อ เคยส่งของกลับเมืองไทยมาก่อนแล้วหลายครั้ง

เกรียงไกรฯบรรจุอัญมณีลงกล่องกระดาษ 4 กล่อง สิ่งของมีค่าที่หยิบฉวยมาจากวังกษัตริย์ไฟซาลถูกลำเลียงใส่กล่องกระดาษแข็ง ผสมเสื้อผ้าของใช้ปะปนไป โดยของใช้ที่ไม่ค่อยมีค่าจะวางทับอยู่ด้านบน หีบห่อก็ไม่ได้ทำให้สวยงาม การเขียนจ่าหน้าก็เขียนด้วยลายมือเหมือนคนไม่มีการศึกษา การกระทำดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องประเมินสถานการณ์ผิด สิ่งของบรรจุหีบห่อ 4 หีบน้ำหนักรวม 90 กก. ไม่ได้หมายความว่าเครื่องเพชรอัญมณีหนักถึง 90 กก.แต่เป็นน้ำหนักรวมเสื้อผ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย เกรียงไกรฯฉลาดรู้ว่ากษัตริย์ไฟซาลฯจะเสด็จกลับวังภายใน 15 วัน ฉะนั้นก่อนครบกำหนดเสด็จกลับ เกรียงไกรฯก็เดินทางกลับเมืองไทย โดยส่งสิ่งของทางพัสดุภัณฑ์ทางอากาศไปก่อน เกรียงไกรฯเดินทางกลับประเทศไทยก่อนครบสัญญาทำงานที่ซาอุฯถึง 2 เดือน

เมื่อเกรียงไกรฯเดินทางถึง กทม.แล้วก็ไปติดต่อรับสิ่งของพัสดุภัณฑ์จากศุลกากร เป็นเรื่องที่เกรียงไกรฯเคยทำในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรของไทยก็เคยตรวจของเกรียงไกรฯมาก่อน ส่วนมากคนไปทำงานตะวันออกกลางมักจะนำสิ่งของที่ตนใช้อยู่ที่ต่างประเทศกลับมาบ้านด้วย ไม่ค่อยมีราคาค่างวด มีการเสียเงินใต้โต๊ะกันบ้างเล็กๆน้อยๆ ส่วนคราวนี้นายเกรียงไกรฯบอกว่ารู้สึกเสียวๆเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรสุ่มเปิด 1 กล่องโดยเอามือหยิบสิ่งของที่อยู่ตอนบนๆขึ้นมาซึ่งเป็นเสื้อผ้า ถ้าหากล้วงลึกลงไปอีกฝ่ามือเดียวก็จะถึงอัญมณีทันที ที่สุดเกรียงไกรฯสามารถนำสิ่งของออกได้

กษัตริย์ไฟซาลฯเสด็จกลับจากพักร้อนมาถึงวังก็ยังไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะข้าวของมีค่ามีจำนวนมากและการหยิบฉวยของเกรียงไกรฯเลือกหยิบบางชิ้นบางที่ไม่ให้ผิดปกติ

นาฬิกาที่ใช้ดูทิศเวลาละหมาดเป็นต้นเหตุ กรรมย่อมเห็นผลทันตา เมื่อกษัตริย์ไฟซาลเสด็จกลับวัง ถึงเวลาที่จะต้องทำพิธีละหมาด การละหมาดของกษัตริย์เคร่งครัดมาก คือ ต้องหันหน้าให้ถูกทิศ ไปทาง “ไบตุ้ลเลาะห์” หรือตรงตำแหน่งที่ประดิษฐ์สถานหินศักดิ์สิทธิ์ (กะบ้า) การบอกทิศที่ถูกต้องจำเป็นต้องใช้นาฬิกาเรือนหนึ่งซึ่งมิตรกษัตริย์อีกเมืองหนึ่งประทานมา โดยนาฬิกาเรือนดังกล่าวมีเข็มชี้บอกทิศทางที่นั่งทำพิธีละหมาด กษัตริย์ไฟซาลฯหานาฬิกาเรือนดังกล่าวไม่พบ จึงเกิดเอะใจหายไปไหน ตรวจดูทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีค่า พบว่าเพชรอัญมณีหายไปจำนวนมาก ตำรวจซาอุฯเรียกบริษัททำความสะอาดมาสอบสวน พนักงานทำความสะอาดทุกคนถูกสอบเครียดอย่างละเอียดหลายวัน การตรวจค้นตัว ค้นที่พักมีการกระทำโดยถี่ถ้วน คนงานทุกคนถูกกักตัวไว้สอบสวน
คนงานไทยที่ทำงานอยู่กับเกรียงไกรฯที่ซาอุฯถูกเรียกตัวไปสอบสวน มีคนงานไทยคนหนึ่งที่พักอยู่ด้วยกันกับเกรียงไกรฯรู้ทันทีว่าเกรียงไกรฯต้องเป็นคนร้าย เพราะเกรียงไกรฯขนข้าวของกลับไทยก่อนกำหนด ตำรวจซาอุฯสอบสวนคนงานทั้งหมดรวมทั้งตรวจค้นละเอียดไม่ได้หลักฐานก็ปล่อยตัว ทันทีที่ทางการซาอุฯปล่อยตัวคนงานไทยผู้นี้ก็รีบเดินทางกลับประเทศไทย ตรงไปหาเกรียงไกรฯทันที น่าจะมีการ Black mail เกิดขึ้น ของมีค่าที่ถูกโจรกรรมมาอาจถูกตอนไปบางส่วน

เกรียงไกรฯรู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัวแต่ยังใจเย็นเพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่าถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดใหญ่ๆโตๆเช่นนี้มาก่อน แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้นมีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกรขายไปเพียงไม่กี่ร้อยบาท คนรับซื้อที่ลำปางนำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จ.พิษณุโลกสายตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาเป็นล้าน

ดูเพชรไม่เป็น ใช้ของแข็งทุบเป็นการพิสูจน์ ไม่มีความรู้ในการดูเพชรแต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าเพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด เกรียงไกรฯจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณี เม็ดไหนทุบไม่แตกก็เชื่อว่าเป็นเพชร เก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อชื่อแม่

หลบหนี ขอตายไม่ยอมถูกจับ ของมีค่าถูกลำเลียงมาทุบขายไม่ทันหมด ข่าวเรื่องการติดตามจับกุมมาถึงเมืองไทย ประกอบกับถูกเพื่อนขู่ว่า เมื่อถูกส่งดำเนินคดีที่ซาอุฯต้องถูกแขวนคอแน่ เกรียงไกรฯร่ำลาพ่อแม่ญาติพี่น้อง ขอไปตายดาบหน้า พร้อมหาซื้อไซยาไน้ทติดตัวไปด้วย ระหว่างหนีถ้าจวนตัวเห็นว่าจะถูกจับกุม จะกินไซยาไน้ทฆ่าตัวตายทันที

เพชรส่วนหนึ่งฝังดิน เกรียงไกรฯเป็นห่วงทรัพย์สิน รวบรวมของมีค่าใส่ถุงพลาสติกแล้วฝังดินโดยไม่ให้ใครรู้ เหตุที่ฝังดินเนื่องจากได้แนวคิดจากหนังสือนิทานอีสป ตอนที่เกรียงไกรฯหลบหนีออกจากบ้าน ญาติพี่น้องพากันเป็นห่วง กรียงไกรฯบอกว่าสามารถเอาตัวรอดได้และบอกด้วยว่า หากจำเป็นหรือมีความเดือดร้อนจะเป็นผู้ติดต่อมาหาญาติเอง ญาติๆไม่ต้องติดต่อไปหาเขา

เดินป่าตอนแรกๆมีลูกหาบ เกรียงไกรฯเดินทางเข้าป่า ไปทาง อ.แม่สอด มุ่งเข้าสู่แดนพม่า ขั้นแรกมีคนติดตามไปดูแลด้วย เป็นคาราวาน พอนานๆเข้าคนที่ติดตามทนลำบากไม่ไหวหนีกลับหมด

ทีมล่านำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร ร.ต.อ.จีรวัฒน์ แท่งทอง และลูกน้องซึ่งเป็นตำรวจกองปราบอีกหลายคน แบ่งกำลังติดตามเป็น 5 สาย ญาติพี่น้องนายเกรียงไกรฯ ถูกเรียกมาสอบสวนทั้งหมด ข้อมูลเกี่ยวกับเกรียงไกรฯถูกคายออกมา ไม่มีใครรู้ว่าเกรียงไกรฯหลบหนีไปที่ใด แต่ที่รู้แน่ๆคือเกรียงไกรฯไม่ยอมให้จับเป็น มิได้หมายความว่าจะต่อสู้แต่จะชิงกินยาฆ่าตัวตายก่อนถูกจับ ชุดไล่ล่าใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 เดือนก็สามารถจับกุมผู้ให้ความร่วมมือ ผู้ที่ช่วยจำหน่ายทรัพย์ ช่วยพาหลบหนีได้ 3 คน ถูกแจ้งข้อหาร่วมลักทรัพย์หรือรับของโจร

กำลังส่วนหนึ่งติดตามหาทรัพย์สินที่เกรียงไกรฯจำหน่าย จากเกรียงไกรฯไปยังพ่อค้าทองที่ลำปาง จากลำปางขายต่อไปยังพ่อค้าทองที่ จ.พิษณุโลก จากพิษณุโลกสู่ร้านค้าเพชร “สันติมณี” ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ของนายสันติ–นางดาราวดี ศรีธนขันธ์

ทีมล่าติดตามหาเกรียงไกรฯอย่างไม่ลดละ ต้องปีนเขาข้ามป่าข้ามทุ่ง ไม่พบร่องรอย กลับมาวิเคราะห์วางแผนกันใหม่ มีข้อมูลว่าเกรียงไกรฯไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างแน่นอนเพราะนายเกรียงไกรฯชอบความสะดวกสบาย และจากการสืบเสาะข้อมูลทราบว่า เกรียงไกรฯชอบผู้หญิง ดังนั้นการที่จะหลบอยู่ในป่าคงอยู่ได้ไม่นาน

ชุดที่ 1 เฝ้าการเคลื่อนไหวของญาติ กำลังถูกวางซุ่มดูความเคลื่อนไหวของญาติเกรียงไกรฯ ช่วงเกิดเหตุนั้นระบบการสื่อสารไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือไม่มี การติดต่อสื่อสารจะใช้จดหมายกับโทรเลข เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ในเขตพื้นที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ถูกประสานให้ร่วมมือ เวลาล่วงเลยเป็นเดือนไม่มีจดหมายติดต่อไปยังพ่อแม่หรือพี่น้องของเกรียงไกรฯเลย มีแต่จดหมายถึงกำนันประมาณ 2 ครั้ง

กำนันเป็นตัว “คัทเอ๊าท์” การสื่อสารสมัยก่อนจดหมายถึงลูกบ้านจะต้องผ่านกำนัน เรียกกำนันไปสอบสวนดักดูจดหมาย ปรากฏว่ามีจดหมายของเกรียงไกรฯเขียนถึงพ่อแม่ส่งผ่านกำนัน เกรียงไกรฯไม่มีเงิน ให้ธนาณัติส่งเงินไปให้ ระบุชื่อผู้รับเป็นผู้หญิงอยู่ที่แม่สอด จ.ตาก

ผู้หญิงที่เกรียงไกรฯบอกให้ส่งเงินไปให้ต้องมีความเชื่อมโยงกับเกรียงไกรฯแน่ จุดเริ่มต้นการสืบสวนพุ่งไปที่ตัวหญิงที่จะเป็นผู้รับธนานัตื ทีมงานวิเคราะห์ว่าจะต้องเป็นหญิงขายบริการ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบตามซ่องโสเภณีที่แม่สอดทุกแห่ง พบหญิงผู้มีชื่อดังกล่าว ดึงตัวมาสอบอย่างลับๆทำให้รู้ที่พักของเกรียงไกรฯว่าอยู่ที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งในแม่สอด

การวางแผนจับกุมเกรียงไกรฯต้องรอบคอบรัดกุม ไม่กลัวจะต่อสู้หรือหลบหนีแต่ต้องคิดทำอย่างไรจึงจะจับตัวได้เป็นๆ ป้องกันไม่ให้ดื่มยาฆ่าตัวตาย วางแผนเสร็จเรียบร้อย ตำรวจนอกเครื่องแบบนำโดย พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทรกับพวก ให้หญิงแฟนเกรียงไกรฯนำหน้าเคาะประตูห้องพักโรงแรม ตำรวจต้องหลบตัวต่ำและอยู่ห่างๆเพราะประตูห้องพักมีกล้องตาแมวมองจากด้านในออกมาได้ เมื่อสิ้นเสียงเคาะประตูสักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงถอดกลอนประตูดังแกร๊ก ชุดปฏิบัติงานรู้หน้าที่เริ่ม กระแทกประตู ปรากฏว่าติดโซ่ เรื่องพรรค์นี้ชำนาญ เพิ่มแรงกระแทกเต็มที่ หมุดที่ยึดโซ่ขาด ประตูเปิด พ.ต.ท.เจษฎากรฯพุ่งหลาวบกเข้าใส่ร่างคนซึ่งมีอยู่คนเดียว จะเป็นใครไม่ได้นอกจากเกรียงไกรฯมือข้างหนึ่งของ พ.ต.ท.เจษฎากรฯปิดปากนายเกรียงไกรฯอีกมือหนึ่งคว้าจับแขนเกรียงไกรฯไว้ และเป็นจริงตามคาด ยาชนิดหนึ่งไม่ได้พิสูจน์ทราบเป็นยาอะไรอยู่ในมือขวาของนายเกรียงไกรฯ จับกุมเกรียงไกรฯได้สำเร็จ นำตัวไปดำเนินคดีที่กรุงเทพฯ ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหะสถานในเวลากลางคืน นายเกรียงไกรฯรับสารภาพ ศาลได้พิพากษาตัดสินจำคุก คดีถึงที่สุดและปัจจุบันพ้นโทษแล้ว.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์