บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
เฉียดคุก
เริ่มรับราชการเมื่อปี 2509 ถูกเชิญให้ออกจากราชการ (พูดซะเพราะ ความจริงถูก “ให้ออก”) เมื่อปี 2525 เป็นการให้ออกแบบมีเมตตา คือ ออกแบบได้รับเงินบำนาญ ขณะนั้นยศ พ.ต.ท. เป็นสารวัตรอยู่กองสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ ก่อนออกจากราชการชีวิตการทำงานกำลังพุ่ง การจับกุมคนร้าย การทำวิสามัญฆาตกรรม ไม่น้อยหน้าตำรวจอื่นในระดับเดียวกัน เคยได้รับโล่ปราบปรามดีเด่นของ กองบัญชาการตำรวจนครบาล สมัยท่านจำรัส จันทรขจร เป็นผู้บัญชาการ เหตุออกเป็นข่าวโด่งดัง เป็นครั้งแรกที่หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่เสนอข่าววันละ 4 ฉบับ พาดหัวตัวดำ “ตำรวจแกะดำพาผู้ต้องหาหนีออกนอกประเทศ” ความดังอยู่ที่บุคคลที่ตำรวจพาหนี คนหนึ่งในวงการเรียกว่า “เฮีย” ส่วนอีกคนเรียกกันว่า “เสี่ย” สมัยนั้นทั้งสองคนเป็นเจ้าพ่อในวงการบันเทิง ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเขา ทั้งสองถูกกล่าวหาว่า จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่น รวม 3 คดี จะไม่เอ่ยนามของเสี่ยและเฮียเพราะคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาพิพากษา “ยกฟ้อง” ทุกคดี ทั้งเฮียและเสี่ยถือเป็นผู้บริสุทธิ์ เสมือนไม่เคยถูกกล่าวหาและถูกฟ้องมาก่อน คนตายดัง,ผู้ถูกกล่าวหาก็ดังและคดีที่กล่าวหาก็อุกฉกรรจ์ มีหรือที่จะไม่เป็นข่าวครึกโครมและเป็นที่ติดตาม คนที่สืบสวนคดีก็คนกันเองทั้งนั้น แบบไก่เห็นนมงู งูเห็นตีนไก่ มันรู้ทางกันไปหมด ยุทธการดักฟังโทรศัพท์เกิดขึ้น เราดักเขา เขาดักเรา โดยใช้วิธีใต้ดิน ในที่สุดทั้งเฮียและเสี่ยไปโผล่ที่อเมริกา ออกนอกประเทศไปทางไหน อย่างไร ไม่มีใครรู้ ฝ่ายสืบสวนเป็นงง หนังสือพิมพ์ยอดจำหน่ายดีมากเพราะ เข้าใจเล่นข่าว แพลมทีละนิดๆ โดยเฉพาะตอนที่จะเปิดตัวผู้พาหนีออกนอกประเทศ แรกๆก็พาดหัว “รู้ตัวแล้ว ผู้พาหนีเป็นใคร” ฉบับต่อไป “เป็นตำรวจมือปราบ” ต่อไป “รู้ชื่อตำรวจแกะดำแล้ว” ฉบับต่อไป “ตำรวจแกะดำมีชื่อ “อ” ถึงตอนนี้พวกตำรวจที่ชื่อ “อ” เริ่มเป็นที่สนใจ คนติดตามข่าวพุ่งความสนใจไปที่เพื่อนผม “อดุลย์” เพราะเป็นผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิง เป็นผู้สร้างภาพยนตร์มีชื่อเสียง หนังสือพิมพ์รู้แล้วว่า “อ” ตัวจริงเป็นใครแต่ดึงข่าวเพื่อให้คนติดตาม พอเปิดชื่อออกมาเป็น “อังกูร” แบบเดียวกับม้ามืดเข้าป้าย เซียนพนันกระเป๋าฉีก
*หมองูตายเพราะงู ความจริงหลักฐาน ออกและเข้าประเทศไม่มี (ทำลายหมด) แต่ตอนที่พักอยู่โรงแรมที่ปีนังเป็นห่วงคนที่บ้านจึงโทรส่งข่าว ปรากฏว่าบ้านผมถูกเกาะโทรศัพท์ ไล่สายหาจุดปลายทางก็รู้แล้ว มือสืบที่ตามพิฆาตผมก็เร็ว รีบไปเช็คที่ด่านสะเดา ไม่พบหลักฐาน มือพิฆาตกัดไม่ปล่อยตามไปเอาหลักฐานที่ด่านของประเทศมาเลเซีย เจอทั้งพวงเลย แต่ยังไงก็ตามหลังผม เพราะตอนนั้นกลับถึงบ้าน กทม.เรียบร้อยแล้ว
*ความเสี่ยงและความเหงาเศร้าซึมคือ ตอนที่ผมขับรถกลับจากปีนังเข้า กทม.แต่ผู้เดียว ทานข้าวมื้อสุดท้ายกับเฮียและเสี่ยที่ร้านอาหารเล็กๆที่ปีนัง โบกมืออำลาจากกันเมื่อเวลาประมาณบ่าย 2 ขับรถหลงทางมาตลอด ภาษามือถูกใช้มากที่สุด พูดกันไม่รู้เรื่อง จะต้องไปให้ถึงด่านก่อน 18.00 มิฉะนั้นด่านปิดจะยุ่ง ในที่สุดก็มาจนถึงด่านเวลาประมาณ 17.00 น. เหตุการณ์ที่ด่านทั้งมาเลและไทยปกติมากเพราะยังไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น รับอาวุธปืนจากน้องรักที่ด่านสะเดาแล้วรีบขับรถกลับ กทม. ต้องถึง กทม.ให้เร็วที่สุดเพราะเส้นทางสายใต้ขณะนั้นอันตราย ถนนแบบโบราณ รถวิ่งสวนกัน มีโจรดักปล้นฆ่าผู้เดินทางในเวลากลางคืน VOLVO 244 สภาพใหม่ผ่านการใช้มาได้เพียงแปดหมื่นกิโล ถูกเหยียบพุ่งทะยานด้วยความเร็วเฉลี่ย 140 กม./ชม. อาวุธปืนพกสั้น .44 หนึ่งกระบอก กระสุนอะไหล่อีก 1 กระเป๋า ขนาด 11 มม.อีก 1 กระบอก กระสุนอะไหล่อีก 2 แม็ก ถ้ามีการปะทะกะสู้ได้ถึงครึ่งชั่วโมง โดยจะเก็บนัดสุดท้ายไว้เพื่อเจาะหัวตัวเอง *ขออาลัยน้องรักที่ด่าน ตม.สะเดา ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยและถูกย้าย พี่ขอโทษจริงๆ
รถทะยานเยี่ยงลูกธนูเพื่อแข่งกับแสงตะวันกำลังจะตกดิน ในที่สุดตะวันก็ลับฟ้า ข้างหน้าข้างหลังมีแต่ความมืด ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง สองข้างทางเป็นป่า มีแต่ต้นไม้ ไม่มีบ้านเรือนผู้คน ไม่มีแม้แต่รถวิ่งสวนและรถยนต์ที่จะให้แซง มันเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ ช่วงอยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนมันรู้สึกเหงาๆ หนาวเข้าหัวใจ คำถามก้องอยู่ในสมอง “กรูมาทำไมว๊ะเนี่ย” “กรูทำเพื่ออะไร?” “ที่กรูทำอยู่นี่มันผิดกฎหมายนี่หว่า” “คุกหรือเปล่าเนี่ย” ตอบตัวเอง มาถึงขนาดนี้แล้วอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ว่าแล้วก็เหยียบคันเร่งหนักเข้าไปอีก ขอบคุณรถ VOLVO ที่เป็นเพื่อนคนเดียวในขณะนั้น เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มอย่างดุดันสร้างความฮึกเหิมให้กับตัวเอง วันนั้นถ้าเพื่อน VOLVO เกิดเกเร สายพานขาด ท่อน้ำแตก ยางรถแตก ผมคงไม่ได้มีโอกาสมานั่งพิมพ์บทความนี้
ประมาณ 01.00 น. เข้านครศรีธรรมราช ค่อยเห็นสีแสง ใจชื้นคิดว่ารอดตายแล้ว เจอโรงแรมเล็กๆรีบเข้าพักทันทีเพราะความง่วงเริ่มมา เปิดวิทยุของโรงแรมฟังว่ามีข่าวเราบ้างไหมหนอ เงียบ ทุกสิ่งทุกอย่างปกติหมด ไม่กล้าโทรศัพท์เข้าบ้านเพราะสติสัมปชัญญะเริ่มกลับมา คืนนั้นหลับแบบคนหมดสติ ตื่นเช้าเช็คเอ๊าท์ ทานอาหารเสร็จควบ VOLVO มุ่งเข้ากรุงเทพฯ ถึงบ้านประมาณ 15.00 น.
พบภรรยาคอยรับที่หน้าประตู ผมเข้าไปกอดภรรยาแล้วน้ำตามันไหลออกมาโดยอัตโนมัติเหมือนคนสำนึกผิด ภรรยาให้กำลังใจ “กลับบ้านดีแล้วนึกว่าเดินทางไปเมกากับเขาด้วย” ภรรยาบอกว่า “เจ้านาย” โทรมาสั่ง ถ้ากลับมาให้รีบโทรหาทันที เจ้านายผมคือ พ.ต.อ.โสภณ วาราชนนท์ (ยศขณะนั้น) ท่านเป็นผู้กำกับการสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ ผู้บังคับบัญชาโดยตรง ผมรีบโทรรายงาน สักพักท่านมาหาผมที่บ้าน บอกว่า “อย่าไปไหนนะ พรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่ บชน.” (กองบัญชาการตำรวจนครบาล) ท่านบอกว่า ความจริงผู้บังคับบัญชาสั่งให้มาคุมตัว แต่ท่านไว้ใจ ท่านสั่งเสร็จแล้วก็กลับไป ก่อนกลับพูดทิ้งท้าย “ทำใจสบายๆ ลูกๆก็โตหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
รุ่งขึ้นผมจัดกระเป๋า มีกางเกงขาสั้น เสื้อคอกลม แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เตรียมนอนห้องขัง ถึงที่ทำงานผมมีความรู้สึกตื่นๆทั้งที่เป็นสถานที่ทำงานอยู่มาเกือบ 10 ปี กองทัพนักข่าวดาหน้าเป็นสิบ แสงไฟจากกล้องถ่ายรูปวูบวาบ คำถามจากนักข่าวพรั่งพรูแต่ไม่มีคำตอบใดหลุดออกไปเลย นั่งรออยู่ที่ห้องทำงานระหว่างที่ผู้บังคับบัญชาประชุมเพื่อชี้ชะตา ใกล้เที่ยง พ.ต.อ.โสภณฯออกจากห้องประชุมเดินมาตบไหล่ “อังกูร เอาแค่วินัย ไม่ต้องถึงคดีอาญา” ผมยกมือไหว้ขอบคุณที่ไม่ต้องนอนห้องขัง
การสอบสวนทางวินัยดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เดือนเดียวรู้เรื่อง มีคำสั่งสำรองราชการแล้วมีคำสั่งให้ออกจากราชการตามมา
ทันทีที่ออกราชการ คุณชาตรี โสภณพานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพจำกัด ติดต่อมาให้ไปพบที่สำนักงานใหญ่ธนาคารฯ บรรจุเข้าเป็นหัวหน้าส่วนตรวจสอบทั่วไปของธนาคารกรุงเทพ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ตำรวจของธนาคาร คุณชาตรีฯบอกอยากได้เงินเดือนเท่าไรบอกมา และยังให้มีสิทธิ์หาคนมาช่วยทำงานได้อีก 12 คน ผมจึงกวาดต้อนเอาตำรวจมีฝีมือ (นักบิน) ที่ถูกออกจากราชการไปช่วยทำงาน เป็นการพลิกประวัติศาสตร์วงการธนาคาร ผมเปิดหลักสูตรการสืบสวนให้กับพนักงานธนาคาร เดินสายบรรยายการสืบสวนให้กับสมาคมธนาคารไทย ทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ 5 ปี สามารถสืบสวนจับกุมพนักงานธนาคารฯที่ทุจริต รวมทั้งคนนอกที่ฉ้อโกงธนาคารได้สิบกว่าคดี
พ.ศ.2530 ผมคิดว่าควรที่จะกลับเข้ารับราชการเพื่อกู้ศักดิ์ศรี โดยมีเพื่อนรักรุ่นเดียวกันที่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ในกรมตำรวจสนับสนุน เข้าประชุม ก.ตร.นัดเดียวก็ผ่าน เริ่มต้นชีวิตตำรวจอีกครั้งในตำแหน่งสารวัตร กองอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้ารับราชการได้ไม่ถึงเดือนก็โชว์ผลงานใหญ่สะท้านวงการตำรวจคือ การจับกุมบ่อนลอยฟ้า ท้องที่ สน.บางรัก เกือบทำให้นายตำรวจใหญ่นครบาลกับสอบสวนกลาง ต้องบาดหมางใจกัน ชีวิตกลับมาเติบโตในวงการตำรวจ ปี 2543 ก็ได้ประดับยศนายพล เกษียณอายุปี 2546 ในตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง
*นี่แหละ ชีวิตที่เฉียดคุก
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์