ถ้ำเปลี่ยนชีวิตถ้าจิตตก
บทเรียนจาก"ถ้ำ"ที่ต้องจำและเข็ด ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนจากที่กล้าในหลายๆเรื่องกลายเป็นกลัวที่แคบที่มืด พยายามแก้ไขโดยไม่บอกให้ใครรู้ เหตุเกิดในช่วงระหว่างปี 2525-2530 จำไม่ได้ว่าวันเดือนปีใดแต่เหตุที่เกิดฝังลึกในจิตใต้สำนึก สยองทุกครั้งที่นึกถึง
ภรรยาผมศิษย์เก่ามาแตร์เดอีรุ่น33 เป็นรุ่นหนึ่งที่รักใคร่กันมากมีการพบปะสังสรรค์กันทุกเดือน มีครั้งหนึ่งที่จัดทัศนาจรเชียงใหม่ เดินทางด้วยรถบัส สมาชิกประมาณ30คน ผมต้องรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลความปลอดภัยของคณะ โปรแกรมท่องเที่ยวมีลุยถ้ำที่เชียงใหม่ด้วย จำไม่ได้ว่าถ้ำชื่ออะไร เกิดมาไม่เคยเข้าถ้ำ เมื่อคณะมีความต้องการไปก็ไป ปีนขึ้นเขาเล็กน้อยก็ถึงปากถ้ำ นับเป็นห้องแรก มีหินงอกหินย้อยสวยงามดี ห้องนี้น่าจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเป็นทางการแล้ว ไม่ทราบว่าได้คำแนะนำจากใครบอกให้เดินลึกเข้าไปจะพบห้องโถงเหมือนท้องพระโรงอีก2ห้อง ถ้านับรวมกับห้องแรกก็เป็น3ห้อง ทุกคนในคณะอยากเข้าไปดูให้ถึงที่สุด พวกมากลากไป เมื่อคณะไปผมก็ต้องไปด้วย ในทัวร์นี้มีผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิง สามีของเพื่อนภรรยาผมตัวโตกว่าถูกมอบหมายให้นำหน้า ส่วนผมปิดท้ายระวังหลัง แรกก็คิดว่าดีเพราะคนนำหน้าถ้ามีอะไรก็ต้องเจอก่อน ได้รับการแจกตะเกียงรั้ว คนนำหน้าถือไปหนึ่งและผมหลังสุดอีกหนึ่ง ท่าทางจะสนุก เดินลึกเข้าไปช่องทางเดินเริ่มแคบและมืด ทางเดินเป็นดินชื้นๆไม่มีน้ำ อากาศเย็นไม่มีลม คนนำหน้าชูตะเกียง คนต่อๆไปเดินเกาะเอวคนข้างหน้า ถึงช่วงหนึ่งเป็นรูกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตรต้องก้มคลานเข้าไป คลานไปประมาณสิบกว่าเมตรก็ถึงห้องโถงใหญ่ แสงไฟจากตะเกียงส่องดูก็ไม่เห็นสวยงามอะไร เสียงคนในกลุ่มบอกกว่าต้องไปอีกห้องถึงจะสวย จากห้องดังกล่าวเมื่อเดินต่อไปจะมีรูให้คลานเข้าไปอีก รูเล็กลงกว่าครั้งแรก เมื่อคนนำหน้าไปคนอยู่หลังๆก็ต้องตาม ขณะที่คลานเข้าไปหูผมเริ่มดังหวิงๆ ใจเต้นแรงจนได้ยินเสียง เริ่มอึดอัดหายใจไม่ออก ความตื่นกลัวเริ่มมาเยือน อยากจะวิ่งกลับออกไปแต่เมื่อนึกว่าข้างหน้าเป็นผู้หญิงตั้งหลายคนยังไปได้เราก็ต้องได้ ในที่สุดคนสุดท้ายก็เข้าไปถึงห้องโถงที่3 ตะเกียงมีแค่สองดวงยกขึ้นส่องดูเห็นผนังถ้ำลางๆมืดๆดำๆ ไม่เห็นความสวยงามตรงไหน แสงตะเกียงเริ่มหรี่แสดงว่าอ็อกซี่เจนน้อยลง เสียงในหูเริ่มดังมากกว่าเก่า ใจเต้นแรงขึ้น อยากจะวิ่งทะลุกำแพงถ้ำออกไปสูดลมหายใจให้เต็มปอด ความกลัวเริ่มเกาะกุมแต่ถูกกดไว้ด้วยหน้าที่ลูกผู้ชาย ระหว่างยืนตระหนกอยู่นั้นมีเสียงผู้หญิงกล้าคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น "ออกดีกว่า หายใจไม่ออก" ทุกคนในคณะเห็นด้วย "เออๆ ออกเถอะ" ส่วนผมอยากจะตะโกน "กูเกือบจะบ้าอยู่แล้วโว้ย" แล้วคณะก็เริ่มคลานออกทีละคนๆกลับทางเดิม คนนำหน้าคลานออกไปก่อน คิดดูคนสุดท้ายถูกกดดันแค่ไหน ในใจอยากจะวิ่งพรวดออกไปเป็นคนแรกแต่ทำไม่ได้เพราะทุกคนอุ่นใจว่ามีการ์ดหลังที่เข้มแข็ง อ็อกซีเจนเริ่มน้อยลงเพราะทุกคนได้คายคาร์บอนไดอ็อกไซด์ออกมา พยายามสูดหายใจให้เต็มที่แต่รู้สึกเหมือนไม่มีอากาศ อึดอัดมากๆ ระหว่างที่รอคลานออกเป็นคนสุดท้ายชูตะเกียงไปข้างหน้าให้เพื่อนๆได้แสง ไม่กล้าส่องไปด้านหลังกลัวเจอสิ่งที่ไม่อยากเจอ จิตเริ่มมโนภาพน่าจะเนื่องมาจากชอบดูหนังสยองขวัญ ถ้ามันมีสัตว์ร้ายหรือสัตว์ประหลาดมาฉุดกระชากเอาตัวเราจะทำไง ใครจะช่วยเรา ห้ามจิตไม่ให้คิดไม่ได้จริงๆ จิตตก โรคความกลัวเข้าสิงทันที ระหว่างที่ยืนกระซับกระส่ายรอคิวคลานออกความรู้สึกเกิดขึ้นในร่างกาย ร้อนซู่ๆในกระดูกสันหลังเริ่มจากบั้นเอวแล้วค่อยๆเลื่อนขึ้นๆ จากข้อต่ำสุดขึ้นสูงมาเรื่อยๆทีละข้อจนถึงต้นคอขึ้นสู่สมอง ในหูเกิดเสียงหวิงๆดังมากขึ้น เหมือนคนกำลังจะเป็นบ้า อยากจะตะโกนให้ดังๆ อยากดิ้นพราดๆ อยากจะสูดหายใจให้เต็มปอด เป็นความรู้สึกเกิดขึ้นภายใน กระวนกระวาย หงุดหงิดมาก คลานพ้นจากห้องที่สามเข้าสู่ห้องที่สอง รู้สึกเวลาผ่านไปช้ามาก ในที่สุดก็กลับถึงปากถ้ำ สูดลมหายใจแรกเต็มปอดเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ดีใจพอๆกับถูกหวย เสียงดังในหูหายไป สบถในใจชาตินี้จะไม่เข้าถ้ำอีก เข็ดจนตาย
ทุกอย่างเป็นปกติจนกระทั่งวันหนึ่งต้องไปติดต่อประสานงานที่อาคาร16ชั้นภายในกรมตำรวจ ขึ้นลิฟต์พร้อมกับคนอื่นแน่นลิฟต์จนหายใจรดต้นคอ ขณะลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้นพลันติดกึก ลิฟต์ค้าง ไฟฟ้าดับ ความมืดเข้ามาแทน เพิ่งเคยติดค้างในลิฟต์เป็นครั้งแรก ความรู้สึกเหมือนตอนติดในถ้ำเข้ามาอัตโนมัติ ความร้อนซู่วิ่งจากไขสันหลังสู่สมอง ขนหัวลุก กระวนกระวาย ถามคนที่ยืนข้างๆว่าจะติดอีกนานไหม มีเสียงตอบว่า เป็นประจำเดี๋ยวก็มีช่างมาแก้ หลายคนยืนเป็นปกติมีผมคนเดียวที่รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า สักพักไฟฟ้าอัตโนมัติเริ่มทำงาน มีแสงริบหรี่ๆเหมือนในหนังสยองขวัญ ในใจได้คำตอบ โรคกลัวที่แคบที่มืดกินกูอีกแล้ว ประมาณ5นาทีลิฟต์ก็ทำงาน ขาลงเดินไม่ยอมใช้ลิฟต์
ยังไม่แน่ใจว่าเป็นโรคกลัวที่แคบที่มืด ต้องลองอีกสักครั้ง ไปที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง (จำสถานที่ไม่ได้แล้ว) ต้องเข้าถ้ำมืดๆปากทางแคบๆ พอเดินเข้าไปใกล้ความรู้สึกแบบที่ติดค้างในถ้ำมาเยือนทันที ไม่น่าเชื่อ เข้าไม่ได้ทั้งๆที่เด็กอายุ10ขวบวิ่งเข้าเฉยเลย ต้องหาทางแก้ให้ได้
อีกครั้งไปเที่ยวกับกลุ่มสตรีภาคพื้นแปซิฟิกที่จังหวัดราชบุรี มีรายการเที่ยวชมถ้ำอีก ถ้ำแห่งนี้จำชื่อไม่ได้ ปากถ้ำกว้างมีหินงอกหินย้อย อยากทดสอบภาวะจิตอีกสักครั้ง เดินเกาะกลุ่มไปกับคนอื่นๆ พอเข้าไปได้สัก10เมตรความรู้สึกเดิมๆก็มาทันที รีบหันหลังเดินกลับ สร้างความงวยงงให้กับเพื่อนๆที่เดินไปด้วย ออกมาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วเดินกลับเข้าไปใหม่ พยายามนึกว่าคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ ต้องไม่กลัว ในที่สุดก็สามารถเดินตามคนอื่นเข้าไปได้ ความรู้สึกซู่ซ่าหายไป
จากวันนั้นถึงวันนี้ยังไม่ได้เฉียดใกล้ถ้ำหรือที่แคบที่มืดอีกเลย โรคนี้หายรึยังไม่รู้ จนกระทั่งมีข่าวทีมฟุตบอลหมูป่าและโค้ชรวม13ชีวิตติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ขณะที่เขียนต้นฉบับเวลาผ่านไปครบ7วันยังไม่สามารถช่วยเหลือนำตัวออกมาได้ สงสารเด็กๆกลุ่มนี้ ขนาดตัวผมเองอยู่ในถ้ำเพียงแค่ครึ่งค่อนชั่วโมงยังจิตตกแปรปรวนขนาดนี้ แล้วสภาพจิตใจของเด็กๆเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ภาวนาให้ทุกคนปลอดภัย.