บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
แหล่งเพาะนักสู้
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› แหล่งเพาะนักสู้










บทความนี้ออกมาพร้อมกับข่าวนักเรียนเหล่าทัพถูกฝึกถูกซ่อมถึงตาย อวัยวะสำคัญบางส่วนหายไป ญาติพี่น้องโกรธเคืองและทำให้เกิดแนวร่วมสื่อ on line พากันชิงชังแช่งชักหักกระดูก ถามหาความจริงจากผู้บังคับบัญชาก็ได้คำตอบ“มันก็เป็นแบบนี้แหละ ผมเองก็โดน” มันเหมือนกับเอาเบนซินราดไปบนกองไฟ ก็ท่านเป็นทหารพูดจากใจ คนสมัยนี้ชอบให้พูดเลี่ยงปลอบประโลม ผู้ที่ตอบอาจเป็นคนสมัยเก่าแต่จริงใจ
*บทความของผมอาจจะเพิ่มความเกลียดชังเข้าไปอีก แต่ถ้าจะเกลียดผมกรุณาอ่านให้จับเสียก่อนค่อยด่า แล้วจะรู้ว่า“ทำไมผมให้ยอมให้ลูกผมเรียน นักเรียนเหล่าทัพหรือตำรวจ”
*สงคมปัจจุบันมีทั้งคนดีและคนชั่ว ยิ่งยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองคนชั่ว หรือเรียกง่ายๆว่า “โจร”มันเพิ่มขึ้น จะมีใครรับมือกับคนพวกนี้ ทหารถูกฝึกมาให้รับฟังคำสั่งโดยไม่มีข้อแม้ หากคำสั่งไม่ชอบผู้ออกคำสั่งรับไป สั่งให้ออกลาดตระเวนพบข้าศึกต้องยิงต้องฆ่า จะมาอ้างว่าไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาสงสารทำไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ประเทศชาติเจ๊ง ตำรวจก็เหมือนกัน พบโจรเอามีดจี้คอผู้หญิงคุณต้องช่วย จะอ้างว่ากลัว เดี๋ยวพลาดตัวประกันตาย“ไม่ได้” เมื่อเลือกอาชีพนี้ต้องทำได้แม้ตัวจะตาย คนนอกวงการฟังแล้วก็จะหมั่นไส้เกลียดผม แต่เป็นความจริงที่ต้องพูด ไม่มีคนแบบนี้บ้านเมืองจะอยู่เป็นสุขได้อย่างไร
*จั่วหัวเรื่องว่า“แหล่งเพาะนักสู้” คิดว่าน่าจะถูกต้อง การเป็นนักสู้ต้องกล้า ต้องไม่กลัวตาย แหล่งเพาะเหล่านี้อยู่ที่ไหนล่ะ? ที่เป็นทางการก็มีหลักสูตรนักเรียนเหล่าทัพกับตำรวจ ทุกประเทศเหมือนกันหมด ถ้าไม่เป็นทางการก็คงเป็นวิชาชีพเช่น มวย การต่อสู้ป้องกันตัวต่างๆ จะขอพูดแต่ที่เป็นทางการ ผู้ปกครองหลายคนอยากให้ลูกเป็นนักเรียนเครื่องแบบ ทหารบ้างตำรวจบ้าง รู้หรือเปล่าว่าส่วนหนึ่งมีการฝึกความเป็นลูกผู้ชาย มันโหดสุดๆจนบางเรื่องไม่อาจจะนำมากล่าวได้ ฝึกจนตายไปก็มี ผู้ปกครองและเจ้าตัวเองไม่รู้เรื่อง ไม่มีความพร้อม ฟังจากผมแล้วเอาไปพิจารณา เมื่อฟังเสร็จแล้วจะเกลียด จะด่าผมก็เป็นเรื่องของคุณ
*เคยเขียนในบทความหลายเรื่องว่าผมเป็นลูกชาวนา พบว่าไม่มีอาชีพอะไรที่หนักหนาสาหัสกว่าอาชีพนี้ สมัยก่อน(ปี พ.ศ.2496)ไม่มีเครื่องจักรกลช่วย ทำด้วยแรงคนแรงควายทั้งสิ้น ลองทำดูได้ไม่กี่วันต้องยอมแพ้ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน สมัยนั้นเดินตีนเปล่ารองเท้าไม่มี ไถนาจนไถหัก พอกันทีอาชีพนี้มุ่งไปตายเอาดาบหน้า ขอไปเรียนหนังสืออาศัยวัดเป็นที่พักพิง เด็กวัดสมัยก่อนก็พอเป็นที่รู้กันเหลือขอทั้งนั้น ตัวใหญ่ชอบข่มเหงตัวเล็ก ใครรังแกผมท้าชกหมด ชกกันแบบไม่มีเวที ไม่มีกรรมการ เป็นการสู้แบบถ้าไม่ไหวมึงยอมแพ้แล้วอย่ามาแหยมกูอีก ผ่านการชกนอกสังเวียนมาเป็นสิบ เจ็บทุกครั้งที่ชกกัน บางครั้งถูกเตะน้ำตาไหลพรากแต่ต้องกัดฟันเพื่อเอาชนะให้ได้ ก็มีบางครั้งต้องยอมแพ้เพราะสู้มันไม่ได้จริงๆ เรื่องแบบนี้พ่อแม่ผมไม่เคยทราบ แต่ผมทราบแล้วสอนลูก
*อยู่กับพระๆก็โหด ต่อยกันไอ้คนแพ้ไปฟ้องเราถูกเฆี่ยนด้วยหวาย บางทีพระมีลูกแถมมวยไทยซึ่งเราไม่อาจสู้ได้ ผมก็แก้แค้นพระ บิณฑบาตได้อาหารมาผมแอบกินก่อนที่เหลือจัดถวาย ของที่ญาติโยมถวาย พระจำไม่ได้ผมก็แอบเอาไปขายเพราะเงินไม่พอใช้เรียน บาปบุญไม่รู้ขอให้ชีวิตรอดก่อน
*สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ ไปด้วยความเซ่อซ่า ได้ยินเพื่อนๆนักเรียนคุยกันดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ เครื่องแบบเท่ห์ ชวนกันไปกวดวิชา แอบลักฟังตังก็ไม่มีที่จะไปเรียนเพิ่มเติม นั่งรถเมล์ไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เห็นนายสิบยืนถือปืนที่ป้อมยามหน้าโรงเรียนก็ยกมือไหว้บอกว่า “ผมจะมาสมัครสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย” นายสิบคนนั้นมองเด็กบ้านนอกแบบสมเพสแล้วบอกว่า “รับสมัครที่กองบัญชาการศึกษา อยู่วังสวนสุนันทาโน่นไอ้หนู” ผมยกมือไหว้นายสิบพร้อมนึกในใจ “กูโง่และเชยฉิบหาย” และนายสิบคนนั้นก็คงไม่รู้หรอกว่าในที่สุดผมก็ได้มาเป็นนายเค้า
*สมัครสอบ ได้ระเบียบการมา โหต้องมีวิ่ง ว่ายน้ำ ไต่เชือก ต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น ไปซ้อมวิ่งรอบลู่วิ่งสนามศุภฯ2รอบให้ได้8นาที อันนี้พอได้ ส่วนการไต่เชือกไม่มีที่ฝึกซ้อมอาศัยการดึงข้อบาเดี่ยว เชื่อว่าผ่าน สมัยนั้นสระว่ายน้ำไม่มีไปซ้อมว่ายที่แม่น้ำเจ้าพระยา เอาตรงใกล้ๆสะพานพุทธฯ ไม่ได้ว่ายข้ามฟากกลัวจมตาย ว่ายเลียบๆทวนกระแสน้ำไปตามแนวฝั่ง ซ้อมอยู่เป็นเดือนๆด้วยความมุ่งมั่นต้องสอบเข้าให้ได้ พ่อแม่อยู่บ้านนอกไม่เคยรู้เรื่อง
*ผู้สมัครสอบ3พันกว่าสอบได้เป็นอันดับที่30ดีใจ ก่อนวันมอบตัวเลี้ยงสังสรรค์เด็กวัดด้วยกันจนดึก นอนไม่หลับจะได้เป็นนายร้อย รุ่งขึ้นตี5ไปรอขึ้นรถที่ใกล้ๆศาลาเฉลิมกรุง มีรุ่นพี่แต่งเครื่องแบบประมาณ20คนสั่งให้พวกเรา75ชีวิตขึ้นรถบัสโฉมหน้ามุ่งโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ระหว่างทางเงียบกริบเพราะไม่รู้จักเลยไม่ได้คุยกัน ชมทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ วาดฝันถึงชีวิตที่จะเปลี่ยนอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ประมาณ08.00น.รถพามาถึงสะพานโพธิ์แก้วซึ่งเป็นที่ทราบดีถ้าไปทางลัดตัดทุ่งก็ประมาณ8กิโลถึงโรงเรียน แต่ถ้าไปตามถนนก็จะประมาณ10กิโล พอข้ามสะพานรถบัสก็หยุด นักเรียนรุ่นพี่ที่แต่งเครื่องแบบเงียบมาตลอดทางก็แผดเสียงดังแบบเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยได้ยิน “ทุกคนเปลี่ยนเป็นชุดนักกีฬาแล้วลงไปเข้าแถว ให้เวลา5นที” เอาละซีใจเริ่มระทึก พอลงจากรถๆก็เคลื่อนที่ไป พวกเราเข้าแถวตอนเรียงสามข้างถนน แบ่งเป็น3หมวด เป็นการฝึกการจัดระเบียบแถวไปในตัว เรียงลำดับสูงไปต่ำ เสียงคนสั่งช่างไม่เป็นมิตรยังกับโกรธมาสัก10ปี เข้าแถวเสร็จได้ยินเสียงตะโกน “หมอบ” ทุกคนพร้อมปฏิบัตินอนราบไปกับบาทวิถี คำสั่งต่อมา“กลิ้งไปทางซ้าย” เอาละซี ก็ข้างถนนมันมีแต่พงหญ้าแล้วเป็นคูน้ำครำมีดินโคลน “ว่ายไปข้างหน้า” อุบ๊ะ มันมีแต่โคลน ว่ายก็ว่ายว๊ะ เสียงแผดต่อมา “คืบไปข้างหน้า” พวกเราก็ว่ายไปบนโคลนและพงหญ้า ไปได้ประมาณ100เมตรถึงทุ่งหญ้านาข้าว เสียงสั่งคำราม“กลิ้งขึ้นไป” เอ้าให้กลิ้งก็กลิ้ง “คลานคืบไปข้างหน้า อกติดพื้น” มันโหดสิ้นดีก็ดินมันเรียบเสียเมื่อไหร่ แถมโดนใบหญ้ากอข้าวทิ่มบาดอีก “ม้วนตัวไปข้างหน้า” “กลิ้งไปทางซ้าย” “กลิ้งไปทางขวา” “ฟังเรียกแถว” “วิ่ง” “เดินมด” “เดินเป็ด” “เดินช้าง” “วิ่งรอบนิ้ว” สารพัดที่จะสรรหาคำสั่ง พวกเราทุกคนทำตาม กว่าถึงโรงเรียนก็เที่ยงวัน ถึงโรงเรียนนึกว่าจะได้พักหนอยกลับมาพาชมสถานที่ มันแคบอยู่เมื่อไรตั้ง400ไร่ วิ่งชมลูกเดียว มีแถมคลานคืบกับพื้นซีเมนต์ เสื้อผ้าที่ใส่ขาดวิ่น หนังกำพร้าถลอก แผลเป็นให้เห็นจนถึงปัจจุบัน ถึงโรงเรียนแล้วรุ่นพี่บอกให้เดินได้ แต่ต้องเดินฉาก มือสองข้างขัดหลัง เตะเท้าไปข้างหน้าให้ได้ฉากกับขาที่ยืน สืบตัวไปข้างหน้า ตบเท้าลงพื้นแล้วก้าวเท้าอีกข้างให้ได้ฉาก เดินสลับกันไป มันทรมานยิ่งกว่าวิ่งอีก
*ถึงเวลากินข้าวนั่งเป็นชุดๆละ4คน เก้าอี้สอดเก็บอยู่ใต้โต๊ะ เมื่อสั่งนั่งทุกคนก็เลื่อนเก้าอี้ออกมา ปรากฏว่ามีเสียงดัง ทันใดก็มีเสียงดังอย่างฟ้าผ่า “เอาใหม่ อย่ามีเสียง” เก้าอี้ถูกเก็บเข้าที่แล้วสั่งนั่งอีกครั้ง เจ้ากรรมจริงๆมีเพื่อนคนหนึ่งทำเกิดเสียงจนได้ เท่านั้นเองทุกคนก็แบกเก้าอี้วิ่งรอบสนาม2รอบแล้วกลับเข้าที่ คราวนี้75คนเลื่อนเก้าอี้ไม่มีเสียงเลย ยังกินไม่ได้ ต้องนั่งหนึ่งในสามของเก้าอี้ หลังตรง มือกอดฉากยกเสมอไหล่ เหงื่อไหลจากปลายข้อศอกลงพื้นโต๊ะเหมะๆ พอบอก “กินได้” เสียงจับช้อนส้อมและภาชนะต้องไม่มีเสียง ใครทำเกิดเสียงวิ่งอีก เวลากินต้องตักอาหารจากจานเข้าปากเป็นแนวฉาก ใครลัดฉากวิ่ง ใครทำข้าวสุกหกแม้เพียงเม็ดเดียวต้องแบกเม็ดข้าววิ่งรอบสนามแล้วเอาไปทิ้งลงสระให้ดังตูม ทิ้งยังไงมันก็ไม่ดังก็เลยต้องโดดลงไปด้วย คำเรียกนักเรียนนายร้อยตำรวจปีหนึ่งคือ “นักเรียนใหม่” คำพูดที่แทงเสียดใจคือ “นักเรียนใหม่สิทธิเท่ากับศูนย์” “เคลื่อนที่ด้วยการวิ่ง ถ้าจะเดินต้องเดินฉาก” นี่เพียงแค่ครึ่งวันแรก เวลานั่งส้วมถ่ายนั่งไม่ลงขามันระบม บ่ายสามโมงเลิกเรียน วิ่งแล้วฝึก นอนสี่ทุ่มตีห้าตระโกนตื่น วิ่งอีก เป็นแบบนี้ถึง4ปี ตอนแรกคิดในใจ (มันจะวิ่งหาพระแสงอะไรว๊ะ) จบแล้วจึงได้คำตอบ“ผู้แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่าเท่านั้นคือผู้ชนะ”
*อุดมคติของตำรวจ๙ข้อท่องก่อนนอนทุกคืนและทุกคน ๑.เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ ๒.กรุณาปรานีต่อประชาชน ๓.อดทนต่อความเจ็บใจ ๔.ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก ๕.ไม่มักมากในลาภผล ๖.มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อปวงชน ๗.ดำรงตนยุติธรรม ๘.กระทำการด้วยปัญญา ๙.รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกคนจำได้ ซึมซับ แต่ออกไปแล้วปฏิบัติไม่ได้ครบนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
*ที่นี่นอกจากจะสอนวิชาการ วิชากฎหมายแล้ว ยังสอนความเป็นลูกผู้ชาย เป็นนักสู้ ครบรูปแบบ แรกที่ชอบคือ มวยไทย ทุกคนต้องรู้เบสิก รู้จุดที่ทำอันตรายคู่ต่อสู้ให้ถึงตายตรงไหนบ้าง ทุกคนต้องจับคู่ขึ้นชกบนเวทีหมดทุกคน จึงรู้ว่าการชกมวยนี่มันเจ็บ ไม่สนุกแต่ก็ต้องเรียน ยูโด ยูยิสู จับส่วนไหนของร่างกายคู่ต่อสู้ที่พร้อมหักได้ ฟันดาบ ต่อสู้ป้องกันตัว มือเปล่าสามารถสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธมีดได้ การขี่ม้า ยิงปืน ขับรถ กระโดดร่ม การเข้าสังคม การเต้นรำ การผ่าชำแหละศพ อีกร้อยแปดพันประการที่สถาบันอื่นอาจไม่มี
*การฝึกโหดทำให้เราเกิดความพร้อมทั้งด้านพละกำลัง จิตใจ ไหวพริบ ประสบการณ์ เมื่อสำเร็จออกไปแล้วจิตใจฮึกเหิม เห็นคนร้ายถือปืนอยู่ตัวเรามือเปล่ายังสามารถสู้ได้
*ถึงจุดสำคัญที่จะต้องเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้าสู่แหล่งเพาะนักสู้ ประการแรกคือการตรวจร่างกาย จัดใหญ่คือหัวใจคุณสมบูรณ์หรือไม่ บางคนมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หัวใจโต ควรหลีกเลี่ยง ประการต่อไปคือปอดสมบูรณ์ดีหรือไม่ ปอดแฟบหรือเป็นจุด อีกประการหนึ่งกำลังของกล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นทนทานไหม ลองซ้อมวิ่งให้ได้สักวันละ5-10กิโล ว่ายน้ำวันละ5-10กิโล ไต่เชือกให้ได้ความสูงสัก10เมตร ฝึกซ้อมมวยไทย ซ้อมชกและเตะกระสอบทราย ถ้าบุตรหลานคุณหรือตัวผู้สมัครมีความชอบความสนุกกับสิ่งเหล่านี้ค่อยไปว่ากันทางด้านวิชาการ การสอบเข้าต้องแข่งขันกันมากถึงขนาด1พันคนเอาแค่1เท่านั้น
*จะเข้าสู่สนามนักสู้ อยากจะเป็นคนเหล็ก ต้องเตรียมตัวให้พร้อม แล้วคุณจะไม่มีคำว่า“เสียใจ” จากความหวังดีและเอาข้อมูลที่ไม่เคยมีใครบอกกล่าวมาแจ้งให้ทราบ เกลียดหรือหมั่นไส้ผมไหมครับ?



"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์