ดูหรือยัง..บั้งไฟพญานาค
ถึงฤดูกาลทีไรต้องมีเรื่องเถียงกันในวงสนทนา ไม่ถึงกับต้องวางมวยแต่ทำให้บรรยากาศในการรับประทานกร่อย"บั้งไฟพญานาค" ได้ข้อยุติ ต้องไปดูให้เห็นกับตา เก็บความข้องใจไว้นานถึงสิบสองเดือนเพราะปีมีหนเดียว จองสถานที่ล่วงหน้าเป็นปี คุ้มค่าเมื่อได้เห็นจะๆ กลับมาเล่าคนฟังไม่เชื่ออีก ต้องพาไปดูอีกเป็นรอบสอง ตอนนี้พอแล้ว ใครไม่เชื่อก็ต้องไปดูเอง ถ้ายังไม่ได้ดูอย่าพูด หากพูดผิดสถานที่คุณอาจบาดเจ็บได้
ปรากฏการณ์นี้จะเกิดในเดือนตุลาคมประมาณวันออกพรรษาของทุกปี บางปีก็ตรงพอดี บางปีก็เกิดก่อนหรือช้าไป 1 วัน ชาวบ้านเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า"บั้งไฟพญานาค" มีมาแต่ดึกดำบรรพ์แต่ผมเพิ่งมาทราบเอาตอนที่รับราชการอยู่ที่กองปราบปราม จ่าอุทิศฯคนขับรถผมเป็นคนจังหวัดหนองคายเล่าให้ฟังผูกเป็นตำนาน ฟังแล้วพิศวงเกินที่คนธรรมดาจะเชื่อ ลูกน้องผมดันเอาไปผูกโยงกับเรื่องเล่าว่า มีเด็กผู้ชายอายุ 12 ขวบจมน้ำริมฝั่งโขง พ่อแม่ญาติพี่น้องตามหากันทั้งวันไม่พบ รุ่งขึ้นมีผู้พบเด็กน้อยผู้นี้นอนสลบสะไหลที่ริมหาดฝั่งโขง เด็กไม่ตายเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าได้ไปเที่ยววังบาดาลของพญานาค ผมสั่งให้จ่าอุทิศไปสืบหาตัวเด็กผู้นี้มาให้ได้ จะสอบถามความจริง ปรากฏว่าเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาหาต้นตอไม่พบ หลักฐานอ้างอิงไม่มี ที่แน่ๆบั้งไฟพญานาคยังมีเกิดขึ้นทุกปี ผมจึงต้องออกตามล่าหาความจริง
ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยเท่านั้นที่แห่ไปดูกัน ชาวต่างประเทศทั่วโลกก็ไปเพราะถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ต้องพิสูจน์กันหน่อย ผมไปดูคนเดียวกลับไปเล่าให้ใครฟังเกรงคนไม่เชื่อ เอาภรรยาไปเป็นพยานด้วย ปีนั้น พ.ศ.2545 จองโรงแรมก่อนล่วงหน้าหลายเดือน โรงแรมริมโขงดีที่สุดขณะนั้นคือโรงแรมไทย-ลาว ความจริงจะดูที่โรงแรมก็ได้แต่ไม่มีบรรยากาศ ต้องไปนั่งริมฝั่งโขง ยังกับงานมหกรรม ริมฝั่งโขงด้านไทยมีผู้นำเสื่อปูทอดยาวไปตามชายฝั่งสุดสายตา ใครจะนั่งก็ได้แต่ขอให้สั่งอาหารเครื่องดื่มผ่านทางผู้บริการเสื่อ ที่แปลกก็คือฝั่งทางด้านประเทศลาวมืด เงียบ ไม่มีผู้คน คนลาวนอนไม่ตื่นตระหนก ก็ดีไปอย่างที่ฝั่งตรงข้ามเรานั่งมันมืดทำให้การมองเห็นดวงไฟชัดขึ้น
คืนนั้นประมาณเกือบ 2 ทุ่มหลังหมดแสงอาทิตย์ท้องฟ้ามืดสนิทก็ได้มีโอกาสมองเห็นดวงไฟกลมๆสีชมพู โตเท่าลูกบิลเลียด ลอยขึ้นจากกลางลำน้ำโขง พุ่งเป็นแนวตรงขึ้นไปบนอากาศสูงประมาณ 50 เมตรจากพื้นน้ำแล้วดวงไฟก็จะหายไป ดวงไฟนี้จะเห็นได้เมื่อสูงจากผิวน้ำประมาณสัก 20 เมตร แต่มันไม่ได้ขึ้นถี่ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงจะขึ้นสักลูก จุดที่ดวงไฟขึ้นก็ไม่ได้ขึ้นใกล้ๆกัน ที่ๆผมนั่งดูเป็นช่วงน้ำโขงยาวเป็นกิโลสุดสายตา เดี๋ยวขึ้นด้านซ้ายเดี๋ยวด้านขวา ได้ยินเสียงเฮว่าขึ้นทางไหนก็หาไปดู บางครั้งช้าไปมองไม่ทันแล้วหงุดหงิด พวกเราจึงต้องนั่งชิดๆกัน3-4คนแล้วแบ่งองศาการมอง ทุกคนรับผิดชอบมุมมองตรงหน้า พอเห็นดวงไฟขึ้นก็รีบบอกกัน จ้องกันจนเมื่อยลูกตาเพราะกลัวพลาด นั่งอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงเห็นประมาณ 10 ลูก มันเลยไม่ค่อยสนุก เป็นการเปลี่ยนสถานที่ไปนั่งสังสรรค์กันมากกว่า แต่พอได้ดูจะๆแค่ลูกสองลูกพอแล้ว ตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็น กลับไปเล่าให้คนกรุงเทพฯหลายๆคนฟังต่างพากันหัวเราะหาว่าเล่านิทาน ปี 2546 จึงต้องพาคณะใหญ่ไปดูให้เห็นกับตาอีก มีผมกับภรรยาเป็นหัวหน้าคณะ มีผู้ใหญ่ที่เป็นผู้เชื่อถือได้ อาทิ ท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช, คุณหญิง ดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) กับพวกประมาณ 10 คน
คณะเราเดินทางไปที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้ที่แบบวีไอพีเพราะเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาประสานให้ ดูครั้งที่สองไม่ตื่นเต้นแล้ว แต่หงุดหงิดที่มีคนอุดตริไปทำดวงไฟเทียม โดยแอบนำพลุไปยิงทางฝั่งลาว คนดูฝั่งไทยก็บ้าจี้เพราะนั่งจ้องมานานไม่เห็นขึ้นสักทีก็เซ็ง พอฝั่งลาวยิงพลุก็เฮตะโกนว่า"ขึ้นแล้วๆ" คนที่ยังไม่เคยเห็นของจริงก็นึกว่าใช่ ต้องคอยบอกว่า"ไม่ใช่ๆ" ของจริงขึ้นแบบไม่มีเสียง นานๆขึ้นที เป็นลูกไฟกลมสีชมพูเข้มสวยมาก ขึ้นเป็นแนวตรงสู่ท้องฟ้าแล้วหายไปในบรรยากาศ ส่วนพลุลูกไฟไม่สวย พอขึ้นสูงก็จะโค้งลงสู่พื้นโลก และที่แตกต่างกันชัดเจนก็คือลูกไฟจากการยิงพลุมีเสียงดังและจะขึ้นติดๆกัน
บั้งไฟพญานาคไม่ใช่เรื่องงมงาย ความจริงไม่ได้เกี่ยวกับพญานาคเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ ลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง สามารถมองเห็นได้ในระดับเหนือผิวน้ำ 10-20 เมตร แล้วลอยพุ่งขึ้นไปในอากาศในลักษณะเป็นเส้นตรงสูงประมาณ 50 เมตร แล้วจะหายไป จะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้นในช่วง วันออกพรรษาหรือขึ้น 15 ค่ำ ปีไหนมีเดือนแปดสองครั้งก็จะไปขึ้นเอาแรม 1 ค่ำ จะพบเฉพาะที่ลำน้ำโขงช่วงไหลผ่าน จังหวัดหนองคายและจังหวัดบึงกาฬ โดยในจังหวัดหนองคายจะพบที่หน้าวัดไทยและบ้านน้ำเป อ.รัตนวาปีและที่ อ.โพนพิสัย ที่วัดหินหมากเป้งและอ่างปลาบึก อ.สังคม ส่วนที่จังหวัดบึงกาฬจะพบที่วัดอาฮง อ.เมืองบึงกาฬ
ผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายท่านพยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทนหรือฟอสฟอรัสที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้พิภพบริเวณใต้ลำน้ำโขง เมื่อก๊าซสะสมกันมากขึ้นเกิดแรงดันลอยสู่ผิวโลก เมื่อถึงชั้นบรรยากาศก็เกิดการสันดาปทำให้สามารถมองเห็น แต่ก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลอธิบายให้ผู้คนหายสงสัยได้ว่า ทำไมจึงต้องเกิดเฉพาะช่วงวันออกพรรษา ทำให้เกิดตำนานเล่าขานไปเชื่อมโยงกับพญานาคจนหลายคนหาว่าเป็นเรื่องงมงาย
ริมฝั่งโขงตั้งแต่ช่วงบ่ายพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ผู้คนเรือนหมื่นเข้าจับจองที่นั่งตลอดฝั่งโขงด้านไทยยาวเป็นกิโล รถบนถนนติดยิ่งกว่าในกรุงเทพฯ ผู้คนคอยจ้องมองดูเหนือผิวน้ำโขงนับแต่วินาทีแรกที่พระอาทิตย์ตกดิน ทันทีที่มีเสียงคนเฮจะหันไปดูตามเสียง ถ้าของจริงจะเป็นลูกไฟสีชมพูกลมขนาดเท่าลูกเทนนิส ลอยพุ่งจากผิวน้ำขึ้นสู่อากาศประมาณ 50 เมตรก็จะหายไป นานๆจะขึ้นสักลูก แต่ละลูกทิ้งระยะห่างกันเป็นสิบๆนาที ไม่แน่นอน ขึ้นไม่ซ้ำที่เดิม ทำให้ต้องหันหน้าไปหันหน้ามา แนะนำให้นั่งเรียงกันหันหน้าเข้าหาลำน้ำโขง รับผิดชอบตรงหน้าคนละ 30 องศา จ้องดูอย่างไม่กระพริบตา ลูกไฟขึ้นตรงหน้าใครก็บอกให้เพื่อนดู
ยืนยันว่ามีลูกไฟขึ้นมาจากลำน้ำโขงจริง มนุษย์ทำขึ้นไม่ได้เพราะระยะทางที่เกิดปรากฏการณ์ยาวเป็นร้อยๆกิโลเมตร และยังได้ข้อมูลจากคนในประเทศลาวอีกว่า ไม่ได้เกิดเฉพาะในลำน้ำโขง ที่แอ่งน้ำหรือปลักควายก็ยังมีปรากฏการณ์เช่นนี้ มีคนนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แต่ลูกไฟในภาพยนตร์ขึ้นถี่กว่าของจริง ผู้คนแห่ไปดูต้องผิดหวังเพราะของจริงนานๆขึ้นที แล้วยังมีคนทำลูกไฟหลอกโดยยิงพลุขึ้นไป พอพลุขึ้นคนก็ส่งเสียงเฮ คนไม่รู้จริงก็หาว่าบั้งไฟพญานาคเป็นเรื่องหลอกลวงงมงาย คนที่พูดเช่นนั้นเกือบโดนคนหนองคายกระทืบเละ พลุกับลูกไฟที่ปรากฏโดยธรรมชาติแตกต่างกันมาก
คนไทยควรจะหาโอกาสไปดูสักครั้ง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติในประเทศที่มหัศจรรย์ ไปดูซะก่อนจะได้พูดคุยกับคนอื่นรู้เรื่องแบบไม่บาดเจ็บ การไปดูก็ต้องเตรียมการณ์ โรงแรมที่พักเป็นเรื่องสำคัญ โรงแรมริมโขงจองล่วงหน้ากันเป็นปีไม่เช่นนั้นก็ต้องหาที่พักจังหวัดใกล้เคียงหรือหาที่นอนหน้าศาลากลางหนองคาย ทางจังหวัดเตรียมเต้นไว้ให้ ถ้าอยากดูแบบสบายรีบจองโรงแรมริมโขงไว้แต่ปีนี้เพื่อไปดูเอาปีหน้าก็แล้วกัน.