ขับขี่อย่างไรไม่ตายโหง
ขับขี่อย่างไรไม่ตายโหง
เคยเขียนบทความ ขับรถชนแล้วต้องไม่เสียเปรียบ ในรู้ไว้ไม่ตายโหง http://www.angkul007.com/knowledge-article.php?id=24 เพื่อจะเตือนผู้ขับขี่รถให้อ่านและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายจราจร ส่วนใหญ่จะขับรถโดยอาศัยความเคยชิน ตัวบทกฎหมายไม่เคยอ่าน เมื่อรถโดนกันพูดกับคู่กรณีไม่รู้เรื่องเพราะเอาความเข้าใจของตนเป็นเกณฑ์ เป็นเหตุให้เกิดวิวาท อธิบายกับพนักงานสอบสวนเสร็จแล้วตกเป็นฝ่ายประมาทเสียเอง บทความได้รับความสนใจมาก มีผู้สอบถามอีก ขับขี่รถ(ในกทม.)ยังไงถึงจะปลอดภัย พูดง่ายๆ ขับรถยังไงถึงจะไม่เจ็บไม่ตาย ผมบอกว่าขึ้นอยู่กับดวง..ถึงขับขี่ถูกต้องก็อาจตายได้เพราะอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามกฎกติกามารยาท
ประการแรก ต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด หรือทำตามที่ได้แนะนำไว้ใน ขับรถชนแล้วต้องไม่เสียเปรียบ
ประการที่สอง ต้องอ่านใจผู้ขับขี่รอบข้างรวมทั้งรถที่จอดด้วย ประการที่สองนี่ปวดหัวแต่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนว่าประการแรก ทำไม่ถึงต้องอ่านใจคนขับรถรอบข้าง
อ่านใจรถที่ขับขี่อยู่ข้างหน้า ถ้าคุณเว้นระยะห่างจากรถข้างหน้าตามกฎหมายซึ่งผมฟันธงว่าอย่างน้อย 15 เมตร (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ขับขี่ ถ้าความเร็วสูงยิ่งต้องเว้นระยะห่างมากขึ้น..เคยมีคำพิพากษา) คุณก็ไม่ต้องระวังมาก แต่รับรองทำไม่ได้ จะถูกบีบแตรไล่และโดนแซงโดนแทรกตลอด ในที่สุดคุณก็จะต้องขับรถจี้ท้ายรถข้างหน้าเว้นห่างแค่วาหรือสองวา คุณต้องอ่านใจรถคันข้างหน้าว่าจะหยุดหรือเบรกเมื่อไร ถ้าอ่านหรือเดาใจไม่ถูกคุณก็จะชนท้ายรถคันข้างหน้า รถขับข้างหน้าที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้ได้แก่ รถแท็กซี่ที่สอดส่ายสายตาหาผู้โดยสาร พอมีคนโบกมือข้างถนนพี่แกก็จะเหยียบห้ามล้อทันที รถที่ขับขี่โดยไม่ได้มีการวางแผนในการขับ นึกจะเลี้ยวก็เลี้ยวทันที
อ่านใจรถที่ขับอยู่ทางด้านขวา คุณก็คงเคยพบ ขณะที่ขับขี่อยู่ดีๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทันใดรถที่ขับขี่อยู่ทางด้านขวาก็เร่งความเร็วขึ้นหน้าแล้วปาดออกทางด้านซ้าย ตัดหน้าจนคุณต้องเบรกตัวโก่ง เป็นพฤติกรรมของรถที่จะต้องออกช่องทางด้านซ้ายแต่มัวขับเพลินอยู่ช่องขวาสุด เช่นเดียวกับรถยนต์ประจำทางซึ่งจะเบียดเข้าซ้ายเพื่อรับ-ส่งผู้โดยสาร ดังนั้นเมื่อคุณเห็นรถประจำทางตีคู่มาทางขวา คุณต้องดูว่ามีป้ายจอดรถประจำทางอยู่ข้างหน้าหรือไม่ ถ้ามีคุณต้องอ่านใจคนขับรถประจำทาง ทำนองเดียวกันถ้าคุณเห็นมีคนยืนโบกรถแท็กซี่อยู่ข้างถนน คุณต้องอ่านใจคนขับรถแท็กซี่ที่ขับอยู่ข้างๆด้วย
อ่านใจคนที่ขับอยู่ทางด้านซ้าย พบอยู่บ่อยๆที่ผู้ขับขี่อยู่ช่องทางด้านซ้ายเพิ่งนึกได้ว่าจะต้องเลี้ยวขวาที่แยกข้างหน้า รอไม่ได้เดี๋ยวจะเลยแยก ตัดสินใจออกขวาทันที ตัดหน้ารถอื่น ลืมไปเลยว่ายังมีรถขับขี่อยู่ในทางตรง คงนึกว่าขับอยู่ในถนนแต่ผู้เดียว พะวงแต่เรื่องจะเลยทางแยกที่ต้องการจะเลี้ยว คุณต้องคอยสังเกตคนขับที่แสดงท่าทางเงอะงะ สอดส่ายสายตามองซ้ายขวาเหมือนไม่รู้จักทาง หรือพูดง่ายลักษณะเหมือนเพิ่งมาจากบ้านนอก
อ่านใจรถที่จอดอยู่ข้างทางที่ขับผ่าน ต้องอ่านใจว่าผู้ขับขี่หรือผู้ที่นั่งในรถคันที่จอดจะเปิดประตูรถออกมาหรือไม่ มีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้บ่อย ผลก็คือต้องมาเถียงกันว่าใครถูกใครผิด
อ่านใจผู้ที่ขับขี่ตามหลัง เราไม่อาจรู้ได้ว่าเค้าง่วง เมา หรือหลับในรึเปล่า ถ้าเราห้ามล้อรถแล้วเค้าจะหยุดทันหรือไม่ ถ้าเห็นว่ารถตามหลังขับขี่จี้ชิดท้ายตลอดเวลาก็ควรให้โอกาสเค้าแซงขึ้นหน้าไปจะดีกว่า
ทั้งหมดนี้เราจะต้องรู้ทันอ่านใจผู้ขับขี่ร่วมทางตลอดซึ่งนักขับขี่รถในกรุงเทพฯทุกคนสามารถทำได้ สมองผู้ขับขี่รถใน กทม.ทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ ต้องประมวลผลอยู่ตลอดเวลา
ประการสุดท้าย ขึ้นอยู่กับดวงหรือเวรกรรม เป็นเรื่องคราวเคราะห์ส่วนบุคคล ช่วยกันไม่ได้ เรียกว่า ถึงฆาต อย่างเช่น ขับรถแซงรถบรรทุกซุงเกิดจังหวะโซ่รัดขาดซุงล่วงมาทับตาย จอดรถอยู่ดีๆเสาไฟฟ้าบ้าง ขารถเครนบ้าง ล้มฟาดตาย หรือรถบรรทุกแก๊สเกิดอุบัติเหตุข้างหน้าและระเบิดไฟไหม้ลามมาถึง
เห็นไหม ขับรถให้ปลอดภัยจากตายโหงต้องอาศัยดวงด้วย ไม่ถึงคราวตายก็ไม่วายชีวาวาท ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัน ถึงคราวตายก็ต้องวายชีวาวัน ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกยังเสือกตาย
อุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นกับรถจักรยาน หรือ รถจักรยานยนต์ สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ เพียงขอให้ผู้ขับขี่รถยนต์ที่ขับตามหรือแซงคิดเสียว่า รถจักรยานหรือจักรยานยนต์ก็เป็นรถยนต์คันหนึ่ง คือมีมิติกว้างยาวเหมือนกับรถยนต์ จะขับตามหรือแซงขึ้นหน้าก็ควรเว้นระยะเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อรถยนต์ เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งคือ ขณะนี้บรรดาพวกพ่อบ้านต่างพร้อมใจกันรณรงค์ให้แม่บ้านขับขี่รถจักรยานออกกำลังตามถนนสาธารณะ
หวังว่า หากปฏิบัติตามอย่างที่แนะนำ คงจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากการตายโหง นะครับ.