คนนข้างถนน
นั่งรถผ่านไปตามถนนต่างๆใน กทม.ช่วงกลางวัน สังเกตดูผู้คนข้างทางมีหลากหลาย ขวักไขว่ เร่งรีบ เป็นส่วนที่ทำให้กรุงเทพฯดูวุ่นวาย จะไปไหนกัน แต่ละคนคิดอะไร คงต่างจุดหมาย ต่างวัตถุประสงค์กัน ส่วนใหญ่ที่คล้ายๆกันเหมือนคนมีทุกข์ บางคนรีบร้อนแบบรอไม่ได้ราวกับญาติกำลังจะหมดลมหายใจ บางคนเศร้าคล้ายคนอกหัก บางคนท่าทางเย็นชาเหม่อลอยไร้จุดหมาย บางคนก็จ้องมองผู้อื่นที่ผ่านไปผ่านมา พวกหลังนี่เพ่งมองของมีค่าผู้อื่นแบบเดาใจไม่ออก อาจอิจฉาที่คนอื่นมีทรัพย์สินหรือหาโอกาสที่จะฉกของ ไม่มีใครสนใจใคร นอกจากพวกมิจฉาชีพที่จ้องหาเหยื่อเพื่อลักวิ่งชิงปล้น ท่ามกลางอากาศร้อนคลุกเคล้ากลิ่นควันจากท่อไอเสียรถ คนเบี้ยน้อยหอยน้อยชะเง้อคอยรถเมล์ตามที่พักผู้โดยสาร ท่าทางรำคาญกับฝุ่นและกลิ่นควันจากท่อไอเสียรถ เอามือปิดจมูกหายใจทั้งรู้ยังไงกลิ่นอัปลักษณ์ก็ต้องเข้าปอด ในถนนก็เบียดเสียดอีกแบบแต่เปลี่ยนจากคนเป็นรถ เสียงเครื่องยนต์คำรามราวสัตว์ป่าจะเข้าประหัตประหารกัน ยิ่งตอนได้สัญญาณไฟเขียวมอเตอร์ไซด์อยู่แนวหน้า ทะยานไปราวกับลูกธนู ได้ยินแต่เสียงมองหาตัวไม่เจอ คนนั่งรถติดแอร์ก็ใช่จะมีความสุข หงุดหงิดคอยเอี้ยวตัวหลบกลัวมอไซด์เบียดสะกิด แถมรถเมล์คันใหญ่เบียดเข้ามาใกล้แบบไม่ค่อยเกรงใจ เงยหน้ามองไปในรถก็ต้องให้อภัย หลายชีวิตโหนห้อยต่องแต่ง คนที่นั่งก็หลับสัปหงก วิตกแทนว่าจะลงรถตรงเป้าหมายได้อย่างไร เขาเหล่านั้นก็เป็นคนเหมือนอย่างเราๆแต่อยู่ในสภาพที่แตกต่างกัน ทำไมเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครให้คำตอบที่ถูกต้องได้ ใกล้เคียงที่สุดคือหลักธรรม สั้นๆประโยคเดียวเรื่องของกรรม
ผมกับเพื่อนรัก ประจักษ์ศิลป์ วัยหนุ่มผูกพันย่านพัฒน์พงษ์ ไม่ได้ไปดูโชว์ลามกหรือชมอะโกโก้ ที่นั่นมีอะไรดีๆแฝงอยู่ ชนชั้นผู้นำระดับชาติรวมทั้งชาวต่างประเทศจะคุ้นเคย เมื่อก่อนต่างชาติรู้จักเมืองไทยเพราะพัฒน์พงษ์ ต่อมาขยายเป็นพัทยา สมุย ภูเกต พอเจอเหตุเกาะเต่าฝรั่งถอยแต่เชื่อเถอะเดี๋ยวก็ลืมเรื่องพรรค์นี้ใช่ว่าไม่เคยเกิด ที่พัฒน์พงษ์อาหารอร่อย เป็นถิ่นคุ้นเคยเพราะที่นั่นจะปลอดเมีย ไฮโซหลีก กิ๊กร่าเริง พบแม่ค้าอายุประมาณปลาย 40 หาบคอนกระจาดขายข้าวหลามและพวกขนมต่างๆ ร้องขายเสียงแหบเสียงแห้งผู้คนเดินผ่านไม่มีใครสนใจ สอบถามได้ความว่าบ้านอยู่นครปฐม ขายของหมดก็จะกลับ ลูกผัวคอยอยู่ ต้องไปขึ้นรถไฟตอนค่ำ เพื่อนผมช่วยเหมาของทั้งหาบ 2,000.- บาท โดนข้าวหลามไปครึ่งบ้องพุงกางอย่างอื่นทานไม่หมด ให้แม่ค้าเอาของกลับบ้านไปขายต่อวันรุ่งขึ้นแม่ค้าก็ไม่ยอม เราเดินไปตามตรอกซอยย่านพัฒน์พงษ์แม่ค้าก็หาบของเดินตามราวกับเป็นข้าทาส วันนั้นเพื่อนๆได้ทานข้าวหลาม มะพร้าวเผา ขนมกล้วย ขนมใส่ไส้ อิ่มแปล้ไปทุกคน เพื่อนผมคนนี้มีอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ปัจจุบันโด่งดังจากคมปากกา นาม วาทตะวัน โดยเฉพาะเรื่อง เหี้ยส่องกระจก และ รัดทำมะนวยฉบับหัวคูณ สั่นสะเทือนวงการ
วันก่อนไปที่ห้างพาราก้อน พบคนยืนเข้าคิวเป็นแถวยาวรอเข้าซื้อเครื่องประดับมียี่ห้อ แต่ละชิ้นราคาอย่างต่ำเป็นหมื่นเป็นแสน ทางร้านสร้างระบบจะให้ลูกค้าเข้าซื้อได้แค่ 2 รายในคราวเดียวกัน ลูกค้าอื่นต้องรอข้างนอก แปลก..ยิ่งทำให้ยุ่งยากลำบากคนยิ่งมีความต้องการ พิจารณาคนที่เข้าคิวรอก็ธรรมดาๆ..เป็นพวกตามกระแส ออกจากห้างเดินไปตามทางยกระดับมุ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พอออกมาบรรยากาศเปลี่ยนราวกับคนละโลก จากเย็นฉ่ำจนต้องกระแดะใส่เสื้อนอกเป็นต้องรีบถอดเหลือแต่เสื้อยืด ทั้งร้อนทั้งเหม็นสารพัดควัน นอกจากจากกลิ่นท่อไอเสียรถยังมีกลิ่นลูกชิ้นทอดสอดแทรก เดินทอดน่องเหมือนในห้างไม่ได้แล้ว ผู้คนเร่งรีบเดินเบียดชนกัน กลิ่นเต่าและเหงื่อไคลมากกว่าน้ำหอม สองฟากทางเดินมีขอทานเรียงราย ส่วนมากจะอาศัยความพิการเป็นเครื่องดึงดูด เด็กเนื้อตัวมอมแมม ผู้หญิงอุ้มเด็กทารก หยุดยืนดูว่าจะมีใครสนใจขอทานเหล่านี้บ้างไหม ใช้เวลาสังเกตนานเป็นสิบนาที คนผ่านเป็นร้อยไม่มีใครสนใจ ไม่เหยียบไปบนขันกะลาที่วางข้างหน้าก็บุญ ลองเหยาะเหรียญ 10 บาทลงกระป๋องที่วางหน้าวณิพกให้เกิดเสียงดังเพื่อจะใช้เสียงดึงดูด ไม่ได้ผล มองไปเห็นนักเรียนชายในเครื่องแบบอายุประมาณ 12 ขวบนั่งเป่าแคน มีกระป๋องวางข้างหน้า ที่สะดุดเพราะเด็กคนนี้ติดอักษรย่อโรงเรียนที่อกเสื้อ ชมในความกล้า พยายามฟังเพลงที่เป่าอยู่นานก็จับทำนองไม่ได้เพลงอะไร สักว่าเป่ามีเสียงออกมาก็แล้วกัน สอบถามทราบว่าหาเงินเป็นทุนการศึกษา ควักให้ไป 100 บาท ถามว่ามีใครให้เป็นร้อยบ้างไหม เด็กตอบว่าไม่มีสูงสุดแค่ 20 บาท แล้วผมก็เดินผ่านไปพร้อมนึกเปรียบเทียบบรรยากาศในห้างกับนอกห้างมันต่างกันราวฟ้ากับดิน
ผมกับลูกน้องเคยไปเดินที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่แถวลาดพร้าว เลือกซื้อเครื่องเสียง ใกล้ๆมีเด็กนักเรียนหญิงเลือกซื้อเสตอริโอ เธอเปิดกระเป๋าสตางค์นับเงินแล้วเก็บ ผมถามว่าอยากได้รึเปล่าเธอตอบอยากได้แต่เงินไม่พอ ผมเลยจัดการรูดการ์ดจ่ายให้ สีหน้าเธอดีใจพร้อมกล่าวขอบคุณ ทั้งสองรายนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงจะโตแล้ว ได้อ่านบทความนี้ก็คงจะนึกได้
ในชีวิตไม่เคยคิดจะเป็นนักร้องนักแสดงแต่เพราะเหตุการณ์บังคับ ตอนไปเล่นหนังก็เพราะผู้อำนวยการสร้างทุนน้อย ถ้าไปจ้างดาราไปเล่นบทตำรวจมันแพงเค้าเลยเปลี่ยนแนวคิด ไปเอาตำรวจจริงไปฝึกการแสดงแทน ได้ผลไม่ต้องเสียค่าจ้าง ผมได้ประโยชน์เพราะได้ผ่านหลักสูตรการแสดง รู้จักดารานักแสดงเยอะ รู้อะไรพอสมควร พบเพื่อนนักแสดงสาวบางคนหน้าตาก็ยังงั้นๆแต่เธอได้เล่นหนังดีๆหลายเรื่อง ปรากฏว่าต้องยอมเป็นกิ๊กกับผู้อำนวยการสร้าง คนหน้าตาดีๆไม่ได้เล่น ไม่ดังก็เพราะเธอไม่ยอม มีหนังเรื่องหนึ่งที่ผมเล่นด้วย สงสัยว่าทำไมคนสร้างต้องเอาสาวหน้าตาพอไปวัดตอนสายๆเข้ามาเล่นแทรก ได้ความว่าคุณแม่เธอดัน ยอมให้กู้เงินดอกถูกสร้างหนังขอเพียงให้มีลูกสาวปรากฏบนจอ มันเป็นเช่นนี้จริงๆ
ส่วนการเป็นนักร้อง ไม่มีอะไรมาก ผมร้องเพลงงานกุศล ช่วยชาติ ช่วยสังคม งานไหนที่ผมไปร้องพวกนักร้องอาชีพจะไม่ค่อยมีโอกาส ค่าร้องแพง ไม่ใช่ได้ค่าตัวนะ ต้องช่วยการกุศล เคยนึกๆอยากจะหยุดร้องเพราะผ่านไปตามถนนเห็นนักร้องตาบอดร้องเพลงได้ไพเราะชนิดนักร้องอาชีพต้องชิดซ้าย นึกในใจ..อายคนพิการว่ะ แต่คิดอีกที ทางใครทางมัน ไม่ว่ากัน คนในวงการเค้ารู้กันดี
สองสามวันนี้ตอนเย็นๆไปที่วัดหัวลำโพง ตั้งใจไปบริจาคเงินซื้อโรงศพบริจาคให้ศพไม่มีญาติสะเดาะเคราะห์ จอดรถที่จามจุรีสแควร์แล้วเดินผ่านสถานีรถไฟใต้ดินไปขึ้นฝั่งวัดหัวลำโพง พอโผล่ออกไปก็ได้ยินเสียงเพลงของ คุณธานินทร์ อินทรเทพ เพลงโปรดซะด้วย ฝากเพลงถึงเธอ คนวัยเดียวกับผมรู้จักเพลงนี้ ฝากเพลงนี้มา กับสายลมผ่าน จากใจที่แตกแหลกราญ แหละฟุ้งซ่าน ด้วยคิดถึงเธอ..... เสียงดนตรีบรรเลงแว่วเข้ามายังไม่เห็นศิลปิน มีความสุขร้องเพลงนี้คลออยู่ในใจ เป็นเพลงที่มีอดีตเนื้อหากินใจ ไม่ได้ไปผิดหวังกับใครแต่นึกถึงผู้แต่งคำร้องและทำนอง ทวีพงษ์ มณีนิล หนุ่มรูปหล่อที่มีพรสวรรค์ในการรังสรรค์เพลง ต้องมาจบชีวิตลงก่อนถึงเวลาอันควร เพลงนี้ทำให้ย้อนคิดถึงคนร้องและผู้แต่ง เสียงดนตรีที่ได้ยินเป็นเสียงซอด้วง ผู้เล่นลากเสียงยาวจนบาดลึก โหยหวนชวนให้นึกถึงอดีต ชื่นชมกับศิลปินและผลงาน ภาพที่เห็นเป็นชายอายุใกล้ 80 สีซอด้วงที่บาทวิถีใกล้จุดที่บริจาคเงินซื้อโลงศพ มีพานเล็กๆวางอยู่ข้างหน้า เสียงเพลงจากซอสะกดให้ผู้คนผ่านไปมาต้องหยุด ความสามารถเกินกว่าธรรมดาจนอยากเข้าไปนั่งคุยด้วย วิสัยชอบสังเกตผมต้องหยุดดู ไม่ใช่วณิพกหรือขอทานแต่เป็นศิลปินที่แสดงความสามารถเหนือคนธรรมดา ไม่ต้องการเวที ไม่ต้องซื้อบัตรเข้าชม เพลงแต่ละเพลงที่ปล่อยออกมาคล้ายจะบอกถึงความเศร้าๆความคิดถึงที่มีต่อใครสักคน หลายคนวางเงินบนพาน ไม่ใช่เหรียญแต่เป็นธนบัตรยี่สิบบ้างร้อยบ้าง ผมสนใจทันทีกับคนที่ควักเงินร้อยบาทให้เพราะนั่นมันสไตร์ผม เธอเป็นสุภาพสตรีหน้าตาดี เริ่มต้นทักทายกันโดยใช้เสียงซอเป็นสื่อ ทราบว่าเธอเป็นนักร้องมีงานร้องไม่ประจำในเรือ เธอผ่านเส้นทางนี้ประจำ ที่สุดเราสองคนอดไม่ได้ที่จะรู้ศิลปินนี้เป็นใคร การสนทนาเวลาสั้นๆพอรู้ว่าชื่อเล่น สุข เป็นอดีตทหารเรือต่อมาโอนเป็นทหารบก เคยเป็นอาจารย์ดนตรี ชีวิตครอบครัวมีความสุขอยู่ระยะหนึ่ง มีบ้านมีภรรยาและลูกสาว ความสุขแค่ชั่วครู่ลูกสาวก็มาถูกรถชนตาย อีกไม่นานก็มีคนมาหลอกให้เอาบ้านไปขายฝากลงทุนแล้วเชิดเงินหนี สุดท้ายต้องอาศัยบ้านเช่าอยู่กับภรรยา ไม่สงสัยเลยเสียงเพลงจากซอที่บรรเลงผ่านมือจึงฟังเศร้าๆ ทุกวันที่ยังมีกำลังใจสีซอเพราะต้องหารายได้เลี้ยงภรรยาและเป็นช่องทางหนึ่งที่ส่งใจถึงลูกสาวที่จากไปผ่านเพลงของคุณธานินทร์ เศร้าที่สุดเมื่อลุงบอกว่าจะเล่นดนตรีอยู่เช่นนี้จนกว่าภรรยาจะหาไม่แล้วตัวเองก็จะจบชีวิตตามไปเพราะโลกนี้มีกันอยู่แค่ 2 คนที่ผูกพัน เศร้าๆ
ใครผ่านไปแถวนั้นช่วงเย็นๆ อย่าลืมแวะเยี่ยม ลุงสุข (คุณสำราญ นาคปลื้ม) ลุงสุขซึ่งสุขแต่ชื่อ และขอขอบคุณ คุณชีวานนท์ บุญแต่ง นักร้องประจำเรือริเวอร์สตาร์ปริ๊นเซส ท่าเรือสี่พระยา ผู้ใจบุญ แฟนประจำของลุงสุข.