ตามล่า..บั้งไฟพญานาค
ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คนในพื้นที่เรียกกันว่า"บั้งไฟพญานาค" เกิดประมาณกลางๆเดือนตุลาคมของทุกปี จะตรงกับวันออกพรรษาของลาว มีมาแต่ดึกดำบรรพ์แต่ผมเพิ่งมาทราบเอาตอนที่รับราชการอยู่ที่กองปราบปรามประมาณปีพ.ศ.2540 จ่าอุทิศฯ(ปัจจุบันยศพ.ต.ท.เป็น สวป.สภ.ศรีเชียงใหม่)คนขับรถผมเป็นคนจังหวัดหนองคายเล่าให้ฟังผูกเป็นนิยายเหลือเชื่อว่า มีเด็กผู้ชายอายุ 12 ขวบจมน้ำริมฝั่งโขง พ่อแม่ญาติพี่น้องตามหากันทั้งวันไม่พบ รุ่งขึ้นมีผู้พบเด็กน้อยผู้นี้นอนสลบสะไหลที่ริมหาดฝั่งโขง เด็กไม่ตายเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าได้ไปเที่ยววังบาดาลของพญานาค ผมสั่งให้จ่าอุทิศไปสืบหาตัวเด็กผู้นี้มาให้ได้เพื่อสอบถามความจริง ปรากฏว่าเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาหาต้นตอไม่พบ หลักฐานอ้างอิงไม่มี ที่แน่ๆบั้งไฟพญานาคยังมีเกิดขึ้นทุกปี ผมจึงต้องออกตามล่าหาความจริง
ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยเท่านั้นที่แห่ไปดูกัน ชาวต่างประเทศทั่วโลกก็เดินทางมาดูกัน เพราะถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ผมไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องให้เห็นกับตา ก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย ถ้าผมไปดูคนเดียวกลับไปเล่าให้ใครฟังเกรงคนไม่เชื่อจึงต้องเอาภรรยาไปเป็นพยานด้วย ปีนั้น พ.ศ.2545 จองโรงแรมก่อนล่วงหน้าหลายเดือนไม่งั้นเต็ม โรงแรมริมโขงดีที่สุดขณะนั้นคือโรงแรมไทย-ลาว ความจริงจะดูที่โรงแรมก็ได้แต่ไม่มีบรรยากาศ ต้องไปนั่งริมฝั่งโขง เป็นงานมหกรรมประจำปี ริมฝั่งโขงด้านไทยมีผู้นำเสื่อปูทอดยาวไปตามชายฝั่งสุดสายตา ใครจะนั่งก็ได้แต่ขอให้สั่งอาหารเครื่องดื่มผ่านทางผู้บริการเสื่อ ที่แปลกก็คือฝั่งทางด้านประเทศลาวมืด เงียบ ไม่มีผู้คน คนลาวนอนไม่ตื่นตระหนก ก็ดีไปอย่างที่ฝั่งตรงข้ามเรานั่งมันมืดทำให้การมองเห็นภาพดวงไฟชัดขึ้น
คืนนั้นประมาณเกือบ 2 ทุ่มหลังหมดแสงอาทิตย์ท้องฟ้ามืดสนิทก็ได้มีโอกาสมองเห็นดวงไฟกลมๆสีชมพูโตเท่าลูกบิลเลียดลอยขึ้นจากกลางลำน้ำโขง พุ่งเป็นแนวตรงขึ้นไปบนอากาศสูงประมาณ 50 เมตรจากพื้นน้ำแล้วดวงไฟนี้ก็หายไป ดวงไฟนี้จะเห็นได้เมื่อสูงจากผิวน้ำประมาณสัก 20 เมตร แต่มันไม่ได้ขึ้นถี่ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงจะขึ้นสักลูก จุดที่ดวงไฟขึ้นก็ไม่ได้ขึ้นใกล้ๆกัน ตรงจุดที่ผมนั่งดูเป็นช่วงน้ำโขงยาวเป็นกิโลสุดตา เดี๋ยวขึ้นด้านซ้ายเดี๋ยวด้านขวา ได้ยินเสียงเฮว่าขึ้นทางไหนก็หาไปดู บางครั้งช้าไปก็มองไม่ทันแล้วหงุดหงิด พวกที่ไปดูที่เป็นกลุ่มใหญ่จึงต้องนั่งชิดเบียดกันแล้วแบ่งองศาการมอง ทุกคนรับผิดชอบมุมมองตรงหน้า พอเห็นดวงไฟขึ้นก็รีบบอกกัน นั่งอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงเห็นประมาณ 10 ลูก ทำให้รู้สึกเบื่อๆ ระหว่างนั่งรอดูจึงเป็นการสังสรรค์ร่ำสุรากันมากกว่า ได้เห็นจะๆแค่ลูกสองลูกพอแล้ว ตื่นเต้นที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก อือ..มันเกิดขึ้นจริงๆแฮะ กลับไปเล่าให้คนกรุงเทพฯหลายๆคนฟังต่างพากันหัวเราะเยาะหาว่าเล่านิทาน ปี 2546 จึงต้องพาคณะใหญ่ไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาอีก มีผมกับภรรยาเป็นหัวหน้าคณะ มีผู้ใหญ่ที่เป็นผู้เชื่อถือได้ อาทิ ท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช, ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) กับพวกประมาณ 10 คน
บั้งไฟพญานาคไม่ใช่เรื่องงมงาย ความจริงไม่ได้เกี่ยวกับพญานาคเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ ลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือ ลำน้ำโขง สามารถมองเห็นได้ในระดับเหนือผิวน้ำ 10-20 เมตร แล้วลอยพุ่งขึ้นไปในอากาศในลักษณะเป็นเส้นตรงสูงประมาณ 50 เมตร แล้วจะหายไป จะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้นในช่วง วันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 จะพบเฉพาะที่ลำน้ำโขงช่วงไหลผ่านจังหวัดหนองคายและจังหวัดบึงกาฬ โดยในจังหวัดหนองคายจะพบที่หน้าวัดไทยและบ้านน้ำเป ที่ อ.โพนพิสัย ที่ อ.รัตนวาปี วัดหินหมากเป้งและอ่างปลาบึก อ.สังคม ส่วนที่จังหวัดบึงกาฬจะพบที่วัดอาฮง อ.เมืองบึงกาฬ
ผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายท่านพยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้พิภพบริเวณใต้ลำน้ำโขง เมื่อก๊าซสะสมกันมากขึ้นเกิดแรงดันลอยสู่ผิวโลก เมื่อถึงชั้นบรรยากาศก็เกิดการสันดาปทำให้สามารถมองเห็น แต่ก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลอธิบายให้ผู้คนหายสงสัยได้ว่า ทำไมจึงต้องเกิดเฉพาะช่วงวันออกพรรษา ทำให้เกิดตำนานเล่าขานไปเชื่อมโยงกับพญานาคจนหลายคนหาว่าเป็นเรื่องงมงาย
ริมฝั่งโขงตั้งแต่ช่วงบ่ายพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ผู้คนเรือนหมื่นเข้าจับจองที่ตลอดฝั่งโขงด้านไทยยาวเป็นกิโล รถบนถนนติดยิ่งกว่าในกรุงเทพฯ ผู้คนคอยจ้องมองดูเหนือผิวน้ำโขงนับแต่วินาทีแรกที่พระอาทิตย์ตกดิน ทันทีที่มีเสียงคนเฮจะหันไปดูตามเสียง ถ้าของจริงจะเป็นลูกไฟสีชมพูกลมขนาดเท่าลูกเทนนิส ลอยพุ่งจากผิวน้ำขึ้นสู่อากาศประมาณ 50 เมตรก็จะหายไป นานๆจะขึ้นสักลูก แต่ละลูกทิ้งระยะห่างกันเป็นสิบๆนาที ไม่แน่นอน ขึ้นไม่ซ้ำที่เดิม ทำให้ต้องหันหน้าไปหันหน้ามา แนะนำให้นั่งเรียงกันหันหน้าเข้าหาลำน้ำโขง รับผิดชอบตรงหน้าคนละ 30 องศา จ้องดูอย่างไม่กระพริบตา ลูกไฟขึ้นตรงหน้าใครก็บอกให้เพื่อนดู
ยืนยันว่ามีลูกไฟขึ้นมาจากลำน้ำโขงจริง มนุษย์ทำขึ้นไม่ได้เพราะระยะทางที่เกิดปรากฏการณ์ยาวเป็นร้อยๆกิโลเมตร และยังได้ข้อมูลจากคนในประเทศลาวอีกว่า ไม่ได้เกิดเฉพาะในลำน้ำโขง ที่แอ่งน้ำหรือปลักควายก็มีปรากฏการณ์เช่นนี้ มีคนนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แต่ลูกไฟในภาพยนตร์ขึ้นถี่กว่าของจริง ผู้คนแห่ไปดูต้องผิดหวังเพราะของจริงนานๆขึ้นที แล้วยังมีคนทำลูกไฟหลอกโดยยิงพลุขึ้นไป พอพลุขึ้นคนก็ส่งเสียงเฮ คนไม่รู้จริงก็หาว่าบั้งไฟพญานาคเป็นเรื่องหลอกลวงงมงาย คนที่พูดเช่นนั้นเกือบโดนคนหนองคายกระทืบเละ พลุกับลูกไฟที่ปรากฏโดยธรรมชาติแตกต่างกันมาก มันคนละเรื่องกันเลย
คนไทยควรจะหาโอกาสไปดูสักครั้ง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติในประเทศที่มหัศจรรย์ ดูในบ้านเราซะก่อนที่จะดิ้นรนไปดูของต่างประเทศ อย่างน้อยก็พูดคุยกับใครรู้เรื่อง การไปดูก็ต้องเตรียมการณ์ โรงแรมที่พักเป็นเรื่องสำคัญ โรงแรมริมโขงจองล่วงหน้ากันเป็นปีไม่เช่นนั้นก็ต้องหาที่พักจังหวัดใกล้เคียงหรือหาที่นอนหน้าศาลากลางหนองคาย ทางจังหวัดเตรียมเต้นไว้ให้กางนอน ถ้าอยากดูแบบสบายรีบจองโรงแรมริมโขงไว้แต่ปีนี้เพื่อไปดูเอาปีหน้าแล้วกัน.