ชนเมื่อไรก็ไม่เสียเปรียบ
คดีที่ตำรวจปวดหัวเรื่องหนึ่งคือ คดีรถชน คู่กรณีขนเส้นสายมาใช้กัน พวกไม่มีเส้นก็ต้องขวนขวาย ผมถูกปลุกตอนดึกๆอยู่บ่อยๆ จะบอกเคล็ด(ไม่ลับ)ให้ตามหัวข้อเรื่อง ชนเมื่อไรก็ไม่เสียเปรียบ ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือคนเดินเท้าควรทราบ ไม่ได้สอนให้หัวหมอหรือเอาเปรียบคู่กรณีแต่ควรจะรู้กฎเกณฑ์กติกา ตำรวจ,พนักงานอัยการ,ศาล,ทนายความหรือพนักงานเคลมของบริษัทประกันภัยเขาใช้กัน ใช้กันอยู่ฉบับเดียวคือพระราชบัญญัติการจราจรทางบกมีอยู่ร้อยกว่ามาตรา ผู้สอบสวนและผู้พิพากษาคดีใช้กฏหมายเล่มนี้เป็นคัมภีร์ แต่ผู้ใช้รถใช้ถนนบางคนไม่ทราบ ไม่เคยอ่าน บางคนอ่านผ่านตาตอนจะไปสอบใบอนุญาตขับขี่ เคล็ดลับของการ ชนเมื่อไรก็ไม่เสียเปรียบคือ หาซื้อ พ.ร.บ.จราจรทางบกมาอ่านทำความเข้าใจอย่างน้อย ๒ เที่ยว แล้วก็อ่านซ้ำทุกเดือนนะครับไม่เช่นนั้นลืม ตำรวจเปิดดูบ่อยเพราะมีคดีรถชนหรือโดนกันทุกวัน สำหรับตำรวจก็อย่าไปห่วงเรื่องการใช้ เส้น แนะนำควรปิดโทรศัพท์หรืองดรับโทรศัพท์ขณะจัดการเรื่องรถชนกัน ถ้าหาก เส้นยังเล็ดรอดเข้ามาได้ก็อย่าไปหัวเสีย เพราะบางทีผู้บังคับบัญชา มีความจำเป็น ว่าไปตามตำราเลยครับ
ทบทวนความรู้เดิมกันสักหน่อย เริ่มตั้งแต่คำจำกัดความ ท่านคงเข้าใจแล้วนะว่า ทางร่วมทางแยก ที่คับขัน เขตปลอดภัย ช่องเดินรถ เส้นห้ามเปลี่ยนช่องเดินรถ เส้นแนวหยุด เส้นให้ทาง เส้นทางข้าม เส้นทแยงห้ามหยุดรถ เส้นชะลอความเร็ว ฯลฯมีความหมายเช่นไรและท่านจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง ถ้าท่านไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรถือว่าประมาทปราศจากความระมัดระวัง นั่นก็คือถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายผิด ส่วนมากตำรวจหรือพนักงานสอบสวนจะชี้เบื้องต้นให้คู่กรณีทราบก่อนว่า คุณเสียเปรียบคู่กรณี(ที่จะชี้ว่าได้เปรียบคู่กรณีไม่เคยมี ) และมักจะไม่ชี้ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า คุณเป็นฝ่ายถูกหรือเป็นฝ่ายผิด ภาษานักเลงเรียกว่า แทงกั๊ก มันมีเหตุผลหลายอย่างครับ
นอกจากนี้แล้วท่านจะต้องแม่นคือ เรื่องการใช้ทางเดินรถ ตั้งแต่การขับรถ การขับแซงและผ่านขึ้นหน้า การออกรถ การเลี้ยวรถ การกลับรถ การหยุด การจอด การใช้ความเร็ว การปฏิบัติตามสัญญาณและเครื่องหมายจราจร กฎหมายเขียนไว้ละเอียดมาก ยังงงว่าคดีรถชนจะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฎ ไม่มีทางที่รถจะโดนกันได้เลย ตัวอย่างเช่นการขับขี่รถจะต้องขับขี่ในช่องทางเดินรถ ถนนบางเส้นทางตีช่องทางไว้ให้ขนาดกว้างช่องละประมาณ ๒ เมตรครึ่ง ขนาดของรถยนต์ปกติกว้างที่สุดประมาณ ๑ เมตร ๘๐ เซ็นต์ กฏหมายห้ามขับขี่รถคร่อมเส้นแบ่งช่องทาง เส้นทางใดที่ไม่มีเส้นแบ่งช่องทางเดินรถก็ให้ถือแนวกึ่งกลางถนนเป็นแนวเส้นแบ่ง การขับรถตามกันให้เว้นระยะห่างพอสมควรพอที่ผู้ขับขี่รถคันหลังจะหยุดรถได้ทันเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นกับรถที่ขับขี่อยู่ข้างหน้า (มีบัญญัตไว้ใน ม.๔๐) เรื่องการเว้นระยะห่างนี้ศาลฎีกาเคยพิพากษาเป็นบรรทัดฐานว่าอย่างน้อย ๑๕ เมตรและถ้าหากรถมีความเร็วต้องเว้นระยะห่างมากยิ่งขึ้น ความเร็วของรถยนต์ในเมืองสูงสุดได้ไม่เกิน ๘๐ กม./ชม. และเมื่อขับขี่เข้าเขตเทศบาลหรือผ่านทางแยกต้องลดความเร็วลงครึ่งหนึ่ง ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฏแล้วไม่มีทางที่รถจะโดนกันได้เลยเว้นแต่คุณจงใจจะขับชน
สถิติคนตายจากอุบัติเหตุจราจรของประเทศไทย ในยามปกติจะเสียชีวิตชั่วโมงละ ๑ คนครึ่ง ถ้าในช่วงเทศกาลเสียชีวิตชั่วโมงละ ๓ คน (เป็นตัวเลขถัวเฉลี่ย) จะเห็นว่าคนตายเพราะอุบัติเหตุรถชนหรือโดนกันมากว่าในการสู้รบหรือทำสงครามและมากกว่าโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อถึงเทศกาลเช่นวันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ มีผู้คนใช้รถใช้ถนนกันมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นสูงตามไปด้วย รัฐบาลรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยโดยวัดกันที่จำนวนคนตาย สมัยที่ผมดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวงเคยเข้าร่วมประชุม พยายามคัดค้านตลอดว่า จะวัดกันที่จำนวนคนเจ็บคนตายไม่ได้ มันต้องวัดกันที่จำนวนครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ เรื่องการเจ็บการตายเป็นเรื่องประสิทธิภาพของการแพทย์และหน่วยกู้ภัย ยกตัวอย่างคนขับรถโดยสารขับรถหลับในพาผู้โดยสารจำนวน ๔๐ คนลงเหวข้างทาง ผู้โดยสารและผู้ขับขี่ตายหมด กับอีกพื้นที่หนึ่งมีคดีรถชนกันเกิดขึ้น ๑๐ รายมีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียว อย่างนี้ผู้ที่จะถูกตำหนิคือผู้ที่ดูแลพื้นที่ๆมีคนเสียชีวิต ๑ รายเพราะปล่อยให้มีคดีเกิดขึ้นถึง ๑๐ คดี ส่วนพื้นที่ๆมีผู้เสียชีวิต ๔๐ คนไม่ควรจะถูกตำหนิเนื่องจากมีคดีเกิดขึ้นเพียงรายเดียว ซึ่งในที่สุดรัฐบาลก็ยึดถือเอาจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุเป็นเกณฑ์
สาเหตุใหญ่ๆที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนหรือโดนกัน
๑ ขับขี่รถใช้ความเร็วเกินกฏหมายกำหนด
๒ เลี้ยวรถตัดหน้ารถอื่นในระยะกระชั้นชิด
๓ เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หยุดรถ เลี้ยวรถโดยไม่ให้สัญญาณก่อนล่วงหน้า
๔ ขับขี่รถในขณะที่ร่างกายหย่อนความสามารถในการขับขี่ เช่นหลับในรวมทั้งขับรถ
ในขณะมึนเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นด้วย
และได้โปรดทราบไว้ด้วย
- กรณีเลี้ยวรถทางขวาหรือกลับรถ ห้ามกระทำเมื่อมีรถสวนทางมาในระยะห่างน้อยกว่า ๑๐๐ เมตร (มาตรา ๕๒)
- ผู้ขับขี่รถต้องให้สัญญาณก่อนที่จะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องเดินรถ จอดรถหรือหยุดรถ ในระยะทางไม่น้อยกว่า ๓๐ เมตร (มาตรา ๓๖)
- การขับขี่รถขึ้นหน้ารถอื่นหรือแซงรถ ต้องแซงทางด้านขวา เว้นในกรณีที่รถที่ถูกแซงกำลังจะเลี้ยวขวาหรือเป็นถนนที่แบ่งช่องทางเดินรถในทิศทางเดียวกันตั้งแต่สองช่องขึ้นไป (มาตรา ๔๕)
- การขับขี่แซงขึ้นหน้ารถอื่นในทางเดินรถซึ่งมิได้แบ่งช่องเดินรถไว้ ต้องให้สัญญาณโดยกระพริบไฟหน้าหลายๆครั้ง หรือให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวา เมื่อเห็นว่าไม่เป็นการกีดขวางและทำได้อย่างปลอดภัยจึงจะแซงขึ้นหน้าได้ (มาตรา ๔๔) ผู้ขับขี่รถแซงขึ้นหน้ารถอื่นเป็นฝ่ายที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง
- ผู้ขับขี่รถคันที่จะถูกแชง เมื่อจะให้รถอื่นแซงขึ้นหน้า ต้องให้ไฟสัญญาณกระพริบเหลืองอำพันที่ติดอยู่ท้ายรถด้านซ้ายหรือไฟเลี้ยวซ้าย (กรณีแซงด้านซ้ายเป็นเรื่องห้ามแซงตามที่ได้กล่าวไปแล้ว) ข้อนี้เป็นเรื่องของมรรยาทการขับขี่รถ (มาตรา ๓๘อนุ ๓)
- กรณีห้ามแซงเด็ดขาด เมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน อยู่ในทางโค้ง(เว้นแต่จะมีเครื่องหมายให้แซงได้) ภายในระยะ ๓๐ เมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียน ทางเดินรถที่ตัดกับทางรถไฟ เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควันทำให้ไม่อาจมองเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ ๖๐ เมตร เมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย (มาตรา ๔๕)
- ในทางเดินรถ ให้ถือเป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้ชนหรือโดนคนเดินเท้า (มาตรา ๓๒ กฏหมายบังคับให้คนขับรถต้องระมัดระวังคนเดินเท้า)
- แต่ในกรณีที่ผู้ขับขี่รถ ชนหือโดนคนเดินเท้าที่ข้ามถนนทางนอกทางข้าม (เมื่ออยู่ในเขตที่บังคับให้ต้องข้ามในทางข้าม) หรือลอด หรือผ่านสิ่งปิดกั้นห้ามข้ามทาง ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ขับขี่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอแล้ว มีอำนาจปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องมีหลักประกันได้ (มาตรา ๑๔๕)
โปรดสำรวจตนเองว่าท่านแม่นกฏหมายจราจรเพียงใด และท่านได้ปฏิบัติตามด้วยหรือไม่ ถ้าท่านยังไม่ทราบต้องรีบหาซื้อกฏหมายจราจรมาอ่าน มิฉะนั้นเมื่อถูกตำรวจหรือพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนท่านจะพูดอะไรที่มันเข้าตัว เท่ากับสารภาพผิดไปโดยปริยาย อย่าลืมนะครับ อ่านกฏหมายจราจรและปฏิบัติตาม ขับรถชนเมื่อใดรับรองท่านได้เปรียบ.