เก่งและกล้ายังไม่พอ ต้องบ้าด้วย
สังคมไทยมีทั้งคนเก่งและคนกล้าเยอะมากแต่คุณสมบัติสองอย่างนี้จะไม่ค่อยได้อยู่ในตัวคนๆเดียวกัน ใครมีบุคลิกทั้งสองแบบนี้มักจะโดดเด่น มีไฟในตัวอยู่เฉยไม่ได้ ไม่แสดงออกมาทางใดก็ทางหนึ่ง พวกนี้มักจะดีจะเด่นก้าวหน้าในอาชีพ อยู่ระดับหัวแถวไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจหรือนักการเมือง ส่วนใหญ่คนที่เก่งๆมักจะไม่ค่อยกล้าไม่อยากแสดง ที่กล้าๆชอบแสดงก็ต้องมีกุนซือมีที่ปรึกษา พวกนี้จึงไม่ค่อยเจริญ เสมือนผีพุ่งไต้ เห็นลำแสงพุ่งบนท้องฟ้าสว่างจ้าแว๊บเดียวหายไป ที่บ้าลูกเดียวเลยก็จะถูกเก็บไว้ในโรงพยาบาลปล่อยเพ่นพล่านไม่ได้อันตราย พวกสุดท้ายที่ทั้งเก่งทั้งกล้าและบ้าด้วยในคนๆเดียวกันนี่น่ากลัว เป็นพวกสุดโต่ง อยู่แบบธรรมดาไม่ได้ พวกหมูไม่กลัวน้ำร้อน ระยะหลังๆนี่คนกลุ่มนี้ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น กล้าทำผิดกฎหมาย ไม่กลัวตาย ไม่กลัวติดคุก ฟันธงต้องคนบ้าเท่านั้น ตอนเขียนบทความนี้ไม่ต้องบอกก็เดาถูกทราบว่าหมายถึงอะไร ที่ไหน แต่ตอนที่ท่านอ่านเหตุการณ์อาจจะจบไปแล้วหรือบานปลายใหญ่โตไม่ทราบ เรื่องการเมืองใครถูกใครผิดจะเอามาว่ากันไม่ได้ เถียงกันจนตายไปข้าง ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดพรรคใด ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลมันก็เหมือนๆกัน ไม่ต้องไปโกงอยู่เฉยๆก็มีแต่คนไปประเคนให้ สมัยก่อนๆผลัดกันเป็นแค่ 2 ปีแล้วเปลี่ยนขั้ว แบบนี้อยู่ได้นาน แต่พอมีผู้ผูกขาดอยู่ยาวเกินไปอีกฝ่ายเดือดร้อน อดอยากปากแห้ง ความอดทนของคนมีขีดจำกัด ทนไม่ไหวมันจึงบ้าแบบที่เรียกกันว่าหมูไม่กลัวน้ำร้อน ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองโดยอาศัยคนหมู่มาก ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมายจัดการอะไรไม่ได้ ทำให้ดูเหมือนไม่มีน้ำยาไร้ประสิทธิภาพ ถูกด่าทุกวัน คนดูเลยหงุดหงิด บ้านเมืองยุ่งเหยิงไม่น่าอยู่ ทนดูไม่ได้ทำไมปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งทำผิดกฎหมาย ก็เพราะตำรวจบ้าไม่มี มีแต่ตำรวจเก่งตำรวจกล้า
เรื่องบ้าก็เคยเกิดขึ้นกับผมครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2525 ขณะที่ยังเป็นสารวัตรอยู่กองสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ เป็นข่าวใหญ่คึกโครมในรอบหลายปี ทำให้เกิดประวัติศาสตร์หนังสือพิมพ์รายวันตีพิมพ์วันละ 4 หัว เรื่องขับรถพา โส กับ โต้ง ซึ่งต้องหาคดีอาญาฐานฆ่าผู้อื่นรวม 3 คดีหลบหนีออกนอกประเทศ จากกรุงเทพฯโดยรถยนต์วอลโว่ 244 ถอยมาได้ปีเศษๆ ล่องใต้ออกนอกประเทศทางด่านสะเดา จ.สงขลา เข้ามาเลเซียจุดหมายปลายทางที่ปีนัง ทุกวันนี้มานั่งคิด นี่ถ้ากูไม่บ้าคงไม่ทำไปถึงขนาดนั้น ขาไปก็ยังดีพอมีเพื่อนคุย ไปกัน 3 คน ขากลับขับรถคนเดียวจากปีนังผ่านเมืองอะลอสตาร์ของมาเลเซียโดดเดี่ยวมาก ขับรถไปด้วยคิดไปด้วย ฟุ้งซ่าน กูมาทำไมว๊ะเนี่ย ไม่บ้าคงมาไม่ได้ ยังไงๆก็ต้องกลับบ้านหาลูกเมีย ถนนหนทางในมาเลเซียช่วงนั้นไม่ใช่ไฮเวย์ วกวนไปมาผ่านหมู่บ้านแขกมุสลิม หลงทาง สอบถามเส้นทางก็ไม่รู้เรื่องสื่อสารภาษากันไม่ได้ จากปีนังประมาณบ่ายโมง กว่าจะถึงด่านสะเดาเกือบ 5 โมงเย็น เข้าเขตไทยได้ใจชื้นเพราะถ้าถึงด่านเกิน 6 โมงเข้าประเทศไม่ได้เป็นเรื่องอีก รับอาวุธปืน 2 กระบอกที่ฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ เป็นรีวอลเวอร์ .44 กับออโตเมติก 11 ม.ม. บรรจุกระสุนเต็มอัตรา ออกจากสะเดาใกล้พลบค่ำมุ่งเข้ากรุงเทพฯ ใช้ถนนเพชรเกษมด้วยความเร็ว 140 ขึ้น ไปได้สักพักก็ค่ำมืด ทางเปลี่ยวและมืดมาก สองข้างทางเป็นป่าเขา ไม่มีไฟส่องสว่าง ในถนนมีแต่รถเราขับอยู่คันเดียว ไม่มีรถให้แซงและไม่มีรถสวน ใจเต้นระทึกได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์คำราม ถ้ารถเกิดยางแตกหรือเครื่องยนต์เสียจะทำไง สมัยนั้นมีผู้ก่อการร้ายดักปล้นรถบนถนนเพชรเกษมอยู่บ่อยๆ ในใจคิดว่าถ้ามีการดักปล้นก็คงสู้กันจนลูกกระสุนหมด ไม่มีทางชนะก็กะเหลือไว้ 1 นัดสำหรับตัวเอง อาวุธปืนพร้อมใช้วางอยู่ข้างเบาะนั่ง เที่ยงคืนกว่าถึงนครศรีธรรมราช หาโรงแรมนอน ได้โรงแรมเล็กๆจำชื่อไม่ได้ ตอนเช็คอินปลอมชื่อเป็นคนธรรมดา คิดในใจว่าตำรวจคงตามจับแบบที่เห็นในหนังไทย โชคดีที่ทางโรงแรมไม่ได้ขอดูบัตรประชาชน พยายามสังเกตเจ้าหน้าที่โรงแรมว่าจะคอยจับพิรุธอะไรเราหรือเปล่า เหมือนกับในภาพยนตร์เปี๊ยบ ก่อนนอนหมุนฟังข่าวทางวิทยุทุกสถานีเงียบไม่มีข่าวเกี่ยวเราเลย หลับไปเพราะความอ่อนเพลีย รวดเดียวตื่นหกโมงเช้า กว่าจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯก็ประมาณ 8 โมง แวะพักทานข้าวที่หัวหิน ไม่ลืมที่จะเหลียวซ้ายแลขวามีใครจำเราได้ไหม พบเข้าจนได้ เป็นนายตำรวจรุ่นน้องนอกเครื่องแบบหลบกำแพงตึกจ้องมองเราอยู่ พอเรากวาดสายตาผ่านหลบวูบวาบ ผมทำไม่รู้ไม่เห็นขึ้นรถขับเข้ากรุงเทพฯ ตรงไปที่บ้านพบภรรยารอด้วยความเป็นห่วง ถูกต่อว่าทำไมไม่โทรหา (สมัยนั้นโทรมือถือไม่มี) ไม่รู้จะตอบเธอว่าอย่างไรไม่มีคำอธิบาย ภรรยาให้โทรหาผู้บังคับบัญชาซึ่งติดต่อเข้ามาตลอดเวลา เป็นโทรศัพท์ครั้งแรกตั้งแต่มีเหตุการณ์ พ.ต.อ.โสภณ วาราชนนท์ ผู้กำกับการกองสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดบอกให้คอยที่บ้าน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงท่านก็มาพบบอกว่า มีคำสั่งให้คุมตัวแต่ท่านบอกว่าไว้ใจไม่ต้องคุม อยู่ที่บ้านนะอย่าไปไหน วันรุ่งขึ้นแปดโมงเช้าไปพบที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
ผมจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น สบู่ ยาสีฟันพร้อมแปรง กางเกงขาสั้น เสื้อยืด ใส่ถุงเตรียมพร้อมเข้าห้องขัง 8 โมงเช้าไปตามนัดรอฟังคำสั่งอยู่ที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ เช้านั้นมีการประชุมระดับผู้บังคับบัญชาตำรวจนครบาล เสร็จประชุมเที่ยงกว่า พ.ต.อ.โสภณฯเจ้านายผมรีบเดินมาตบไหล่ บอกว่า สบายใจได้แล้วไม่ดำเนินคดีอาญาเอาแต่วินัย ผมรอดจากการเข้าห้องขังแต่อีกไม่กี่วันคำสั่งให้ประจำกรมตำรวจก็ออกมาพร้อมตั้งคณะกรรมการทำการสอบสวนความผิดทางวินัย คำสั่งประจำกรมถือว่าไม่ขาดจากตำแหน่งเดิมเพียงแต่ตัวต้องไปประจำอยู่ที่กรมตำรวจ เพื่อไม่ให้ขาดบุคลากรในการปฏิบัติหน้าที่ ได้มีการขอตัวผมกลับไปช่วยงานที่ทำงานเดิมอีก อีกไม่กี่วันต่อมาก็มีคำสั่งสำรองราชการ คราวนี้ขาดจากตำแหน่งเดิมทันที ระหว่างนั้นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยก็เรียกตัวสอบสวน ข้อหา ช่วยเหลือผู้กระทำผิดทางอาญาไม่ให้ได้รับโทษและออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต การสอบสวนดำเนินไปรวดเร็วมาก ไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร คณะกรรมการสอบสวนใช้เวลาเพียงแค่ 3 เดือนเสร็จ ความเห็นชั้นต้นเสนอให้ยุติเพราะขณะเกิดเหตุบุคคลทั้งสองที่เดินทางไปกับผมยังไม่ได้มีหมายจับ ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องสงสัยกระทำผิด สำนวนถึงกองคดีกรมผู้ตรวจสำนวนมีความเห็นให้ดำเนินคดีอาญา สุดท้ายกรมตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการ ตอนที่ถูกให้ออกต้องอธิบายต่อผู้คนมาก พรรคพวกเจอหน้ามักจะถาม เฮ้ย..โดนปลดเหรอ ถูกไล่ออกเหรอ ต้องอธิบายว่าการออกจากราชการมี 3 แบบ 1 ให้ออก 2 ปลดออก 3 ไล่ออก ของผมอยู่ในสถานะที่ 1 เป็นการออกแบบเท่ห์สุดคือมีเงินบำนาญด้วย
ปัญหาของตัวผมไม่ได้กลัวว่าออกจากราชการแล้วจะอดตาย เพียงแต่อายผู้คนจึงคิดว่าน่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง อ่าน ถูกออกแล้วจะไปทำอะไร(กิน) ใน www.angkul007.com เมื่อ 14 มิ.ย.2555 ข่าวตอนออกจากราชการก็ดัง มีบริษัทใหญ่ๆทาบทามให้เข้าทำงาน 3 บริษัท เลือกทำงานกับเจ้าสัวชาตรี โสภณพนิชที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด ชอบใจตอนที่เจ้าสัวบอกว่า คุณอังกูรฯ อยากได้เงินเดือนเท่าไรบอกมา บอกไปแบบเกรงใจให้มากกว่าตำรวจนิดหน่อย รู้ทีหลังเสียดายเพราะมีเสียงออกมาว่า จ้างถูกมาก ขอบคุณธนาคารกรุงเทพที่สร้างชีวิตใหม่ให้ผม ได้เข้าเรียนหลักสูตรต่างๆของธนาคารตั้งแต่งานระดับพนักงานชั้นต้นถึงระดับผู้จัดการ ใช้เวลาในการฝึกอบรมประมาณ 6 เดือนแล้วฝึกงานในแผนกต่างๆอีก จบจากการติดอาวุธด้านการเงินการธนาคาร เอาความรู้ด้านการสืบสวนสอบสวนผนวกเข้าไป ตั้งเป็นหน่วยงาน ตรวจสอบทั่วไป ทำหน้าที่คล้ายตำรวจของธนาคาร หน้าที่สืบสวนจับกุมคนร้ายคดีทุจริตที่ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้เสียหายหรือเกี่ยวข้องและประสานงานกับพนักงานสอบสวน ทำชื่อเสียงโด่งดังให้กับธนาคารกรุงเทพ สร้างหลักสูตรการสืบสวนสำหรับเจ้าหน้าที่ธนาคาร เดินสายอบรมให้กับพนักงานธนาคารไทยสมัยนั้นมี 16 ธนาคาร สืบสวนจับกุมคดีทุจริตโกงธนาคารได้หลายราย ที่ได้รับคำชมเชยและรับเงินรางวัลจากสมาคมธนาคารไทยคือ การสืบสวนจับกุมคนร้ายที่คอยดูดเงินฝากของลูกค้าที่ใช้บัตร ATM คนร้ายรายนี้เก่งมาก สามารถเข้าถึงข้อมูลการเงินลูกค้าที่ใช้บัตร ATM ทุกธนาคาร คอยถอนตอดเงินจากลูกค้าครั้งละนิดละหน่อยไม่ให้เจ้าของบัญชีรู้ตัว ทำมานานเป็นปีจนร่ำรวย มาถึงตอนนี้ก็อยากเตือนสติเจ้าของบัญชีเงินฝากทั้งหลาย ท่านแน่ใจหรือว่าเงินในบัญชีของท่านไม่ได้หายไปโดยวิธีการแบบนี้?
อยู่ที่ธนาคารกรุงเทพจำกัดมีความสุข แต่เมื่อมาถึงระยะหนึ่งถึงเวลาที่ต้องคืนถิ่น ล่ำลาเจ้าสัวด้วยความอาลัยพร้อมรับเงินก้อนหนึ่งเป็นขวัญถุง ได้กลับเข้ารับราชการสมดังที่ตั้งใจ (อ่าน ออกได้ ก็เข้าได้ ใน www.angkul007.com เมื่อ 14 มิ.ย.2555) และได้รับพระราชทานยศนายพลซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าราชการเครื่องแบบปรารถนา
เพื่อนคู่กรรมของผมต่างก็มีความสุขในบั้นปลายของชีวิต คุณโส ธนวิสุทธิ์ ใช้ชีวิตอย่างเรียบสงบเป็นเจ้าของโรงแรมขนาดกลางอยู่ต่างจังหวัด ใฝ่ธรรม มักจะใช้เวลาทำจิตสมาธิที่วัดไตรมิตร ส่วนโต้ง กำพล ตันสัจจา โด่งดังฝีมือการจัดสวนไร้เทียมทาน จัดแบบเนรมิต ใหญ่โตแค่ไหนก็จัดเสร็จได้ในพริบตา รับรางวัลระดับโลกมากมาย พืชสวนโลกก็ฝีมือเค้า น้อยคนที่จะเห็นตัวแต่จะเห็นผลงานเค้าได้ทุกวันเวลาที่ สวนนงนุช พัทยา
ผลจากความบ้า เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม แต่ตอนนี้มีความคิดสุขุมมากขึ้น ถ้าเกิดบ้าตอนนี้คงดับเพราะมีคนบ้ากว่าเยอะ.