บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
บาปบริสุทธิ์




วันก่อนไปงาน Cop’s แมกกาซีนครบรอบ 7 ปี คุยกับตำรวจน้องๆ คำถามที่น่าคิด “พี่มองตำรวจสมัยนี้ยังไง” ตอบยากจริงๆเพราะสัมผัสเพียงบางจุด จะตอบแบบฟันธงคงยาก ทำนองบอดคลำช้าง ที่แน่ๆตำรวจสมัยก่อนทำงานสบายกว่าเยอะ สมัยโน้นการตรวจสอบไม่เข้ม การมีส่วนรวมของประชาชนยังไม่มี กฎหมายสิทธิมนุษยชนยังไม่คลอด สื่อยังไม่แข็งแรง ตำรวจยิ่งใหญ่มากเมื่อ 50 ปีที่แล้ว สิ่งที่ทำในสมัยนั้นถ้าขืนมาทำสมัยนี้ไม่ถูกออกก็ติดคุก
ผู้รักษากฎหมายทุกคนมีอุดมการณ์ โดยเฉพาะผู้ผ่านรั้วสามพรานทั้งนักเรียนนายร้อยตำรวจและผู้จบปริญญากฎหมายที่เข้ารับการอบรม ทุกคนซึมซับอุดมคติของตำรวจ “เคารพเอื้อเฟื่อต่อหน้าที่ กรุณาปราณีต่อประชาชน......” ทุกคนมีความจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่มากกว่าการแสวงหาผลประโยชน์ ยึดตามแนวพระบรมราโชวาทฯ ....ต้องควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้.... ทุกวันนี้ที่ประชาชนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุกเพราะยังมีตำรวจส่วนหนึ่งทำงานแบบเสียสละ เพื่อควบคุมคนไม่ดีไม่ให้ไปก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย จึงเป็นที่มาของ “บาปบริสุทธิ์”
ติดดาวใหม่เอี่ยมบนบ่าออกจากรั้วสามพราน ตั้งใจจะปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมายตามหลักวิ.อาญา ใจระทึกเริ่มแต่ตอนฝึกงาน ดูและจดจำตัวอย่างจากรุ่นพี่ๆ การปฏิบัติงานของฝ่ายสืบสวนสมัยนั้นเรียกกันว่า “สก๊อต” มันไม่เหมือนกับในตำราที่เรียนมา ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ในใจ การจัดการมนุษย์บางประเภทซึ่งอยากจะเรียกว่า “เศษมนุษย์” ไม่สามารถพูด คุณ ผม หรืออ่านสิทธิให้ฟังก่อนได้ มันต้องปากว่ามือถึง ดูการทำงานของรุ่นพี่ๆและของพวกสก๊อตรุ่นเก๋า คล่องแคล่วว่องไวแบบมืออาชีพ น่าเลื่อมใสศรัทธา จากเดือนเป็นปี เป็นสิบๆปี สิ่งไหนดียึดไว้เป็นแบบฉบับของเราแล้วก็ถ่ายทอดน้องๆต่อไป
ชีวิตตำรวจภูธรสังคมแคบๆ กระบวนการยุติธรรมเราถึงกัน ค่ำลงตำรวจ อัยการ ศาล (ผู้พิพากษา) นั่งดวดเหล้า บางครั้งมีเพื่อนทนายเข้ามาแจมด้วย ตำรวจเบ๊สุดเป็นฝ่ายจัดหาสุราและนารี เราอยู่ด้วยกันแบบอรุ่มอะหล่วยช่วยเหลือ ลืมฝากขังผู้ต้องหาไปบ้างก็สามารถยื่นคำร้องย้อนหลังได้ วันหนึ่งขณะเข้าเวรอยู่ผู้พิพากษาเรียกให้ไปหาที่บ้านบอกให้เอากล้องถ่ายรูปไปด้วย พบหนุ่มวัยรุ่นหัวเกรียนนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่กับพื้นใต้ถุนบ้าน ท่านบอกว่า “หมวด เอาตัวไปดำเนินคดี มันข่มขืนเด็กที่บ้านผม” สอบสวนเบื้องต้นได้ความว่าหนุ่มหัวเกรียนคือนักเรียนพลตำรวจ โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านพักผู้พิพากษา ห่างกันแค่ 20 วา มีลำคลองกั้น วันดีคืนดีหนุ่มนักเรียนพลว่ายน้ำข้ามคลองแอบไปได้เสียกับเด็กสาวรับใช้บ้านผู้พิพากษา คงจะทำบ่อยๆเข้าผู้พิพากษาจับได้ นักเรียนพลสารภาพว่าจะรับเลี้ยงดู ผู้พิพากษาโกรธหูฉี่เพราะเด็กรับใช้คือหลานเมีย บ้านพักผู้พิพากษาเป็นบ้านโบราณใต้ถึงสูงโล่งๆ ผู้พิพากษาสั่งให้หนุ่มนักเรียนพลปีนเสาบ้าน ให้ผมถ่ายรูปไว้ ท่านบอกให้ไปจัดทำเป็นบันทึกประกอบคำรับสารภาพ ผมบอกว่าถ้าผู้ต้องหาไม่ยอมเซ็นรับละครับ ท่านบอกว่า “คุณก็บันทึกไว้ซิ ไม่เห็นแปลกอะไร ผู้ต้องหารับสารภาพชั้นสอบสวนแล้วไปปฏิเสธชั้นศาลก็เยอะไป ศาลไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือไม่จริง มีค่าเท่ากัน” ท่านพูดให้เราได้คิด เอาไงเอากันคอเหล้าด้วยกันยังไงก็ได้ หนุ่มนักเรียนพลก็เลยโดนข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา ผลคดีเป็นอย่างไรไม่อยากติดตาม มันเศร้าเพราะนักเรียนพลผู้นั้นบอกกับผมว่า “เรารักกันมากครับ” เพื่อนนักเรียนตำรวจรุ่นเดียวคงยังไม่เกษียณ อ่านเรื่องนี้แล้วก็คงจะนึกได้เพราะวันที่ไปถ่ายรูปตอนปีนเสาบ้านเพื่อนๆยืนให้กำลังใจอยู่อีกฟากคลองเป็นสิบ บทเรียนสอน รักชอบใครจะทำอะไรออกนอกลู่นอกทางต้องดูตาม้าตาเรือบ้าง
คดีลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืนเกิดขึ้นเยอะมาก ผู้บังคับบัญชาเร่งรัดให้จับกุมและหามาตรการแก้ไข เพิ่มสายตรวจ ระดมกวาดล้างก็ยังไม่สามารถลดคดีลงได้ ฝ่ายสืบสวนถูกตำหนิ ต้องทำงานหนักขึ้น วันหนึ่งฝ่ายสืบฯก็จับกุมคนร้ายลักทรัพย์ในเคหสถานเป็นชายมาส่งให้ 1 คนพร้อมบันทึกการจับกุม ผู้ต้องหารับสารภาพ ตรวจค้นบ้านไม่พบทรัพย์ของกลาง พบแต่ไขควงปากแบนขนาดใหญ่หนึ่งอัน ลูกน้องที่ไปด้วยหยิบมาบอกว่า มันใช้งัดแงะได้ บันทึกการตรวจค้นว่าพบอุปกรณ์สำหรับใช้งัดแงะ นำตัวผู้ต้องหาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ บอกให้ทำอะไรผู้ต้องหาทำตาม ให้ทำท่าใช้ไขควงงัดหน้าต่างเพื่อจะเข้าไปในตัวบ้านก็ยอมทำ นำตัวผู้ต้องหาฝากขังส่งตัวเข้าเรือนจำ สำนวนเสร็จส่งให้อัยการฟ้อง จำเลยปฏิเสธ ศาลสืบพยาน ที่สุดศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเนื่องจากเชื่อพยานที่อัยการนำสืบประกอบกับผู้ต้องหารับสารภาพในชั้นสอบสวน ทันทีที่ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จจำเลยก็ลุกขึ้นพูดเสียงดัง “กูไม่ได้ทำผิด มาสั่งขังกูแบบนี้.....” พูดต่ออย่างหยาบคายแต่พูดยังไม่ทันจบก็โดนผู้คุมกดตัวให้นั่งบังคับให้หยุด ผู้พิพากษาก็สั่งต่อท้ายเพิ่มโทษจำคุกอีก 6 เดือนฐานละเมิดอำนาจศาล ภายหลังผมเรียกฝ่ายสืบสวนที่เป็นผู้จับกุมมาสอบถาม ได้ความว่า เมื่อถูกผู้บังคับบัญชาเร่งรัดผลการสืบสวนมากก็เลยไปคว้าเอาพวกติดยาเสพติดยัดข้อหาลักทรัพย์ ชั้นโรงพักไม่มีปัญหาอะไรเพราะเมื่อเรียกตัวไปสอบสวนหรือนำไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ตำรวจฝ่ายสืบสวนจะให้ยาแก่ผู้ต้องหา พอได้ยาแล้วจะให้ทำอะไรยอมทั้งนั้น พอถูกส่งเข้าเรือนจำไม่มียาให้ก็เลยแข็งข้อ ปฏิเสธทุกอย่างแล้วไปเอะอะโวยวายบนศาล
เคยไปล้อมจับคนร้ายปล้นทรัพย์ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในซอยรางน้ำ ผู้ให้ข่าวแจ้งว่าคนร้ายตามหมายจับกับพรรคพวกพักอยู่ในห้อง (ความจริงผู้ให้ข่าวเป็นคนจัดให้ นัดหมายให้คนร้ายไปพบ เวลาเดียวกันก็แจ้งตำรวจ) ฝ่ายสืบสวนยกโขยงทำวิสามัญ คนร้ายตายเรียบ 3 คน น่าจะเป็นตัวจริงเพียง 1 ส่วนอีก 2 หน้าเด็กมากๆ ได้ความว่าเป็นเด็กทำงานที่ร้านซ่อมแอร์ พักเที่ยงก็ขอติดตามลูกพี่ไปด้วย รับประทานลูกหลงเข้าไป หัวหน้าทีมต้องควักเงินช่วยค่าทำศพไปหลายหมื่น ถ้าเป็นสมัยนี้คุกลูกเดียว
ล้อมจับโจรปล้นร้านอาหาร “ใบไม้แดง” ย่านถนนเพชรบุรี เขตของสืบเหนือแต่ไปเข้าตีนของสืบใต้ สายลับรายงานว่ากลุ่มโจรเดินทางไปพบเพื่อนย่านฝั่งธนฯ สืบใต้ยกกำลังไปล้อมจับ เป้าหมายที่ติดตามก็คือรถยนต์ของคนร้าย จำทะเบียน จำยี่ห้อได้ ส่วนตัวคนร้ายไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง มีแต่ตำหนิรูปพรรณกับภาพสเกต เห็นรถคนร้ายจอดที่ลานดินใกล้โรงเรียนเสสะเวส ห่างจากถนนจรัลสนิทวงศ์ประมาณ 100 เมตร ส่วนคนร้ายเข้าใจว่าคงอยู่ในบ้านบริเวณใกล้กับรถจอด ชุดจับกุมซุ่มดักวางกำลังเป็นจุดๆ มีชุดพิเศษเฝ้ามองระยะไกลบนที่สูง ส่องกล้องดูความเคลื่อนไหวคนร้าย พวกเรารอให้คนร้ายออกมาด้วยใจระทึก รออยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่ได้กลัวคนร้ายสู้แต่กังวลว่ามันจะใช่ตัวคนร้ายหรือเปล่า เป็นไปได้ที่คนอื่นอาจเอารถพาหนะที่คนร้ายเคยใช้ปล้นมาใช้ ทันใดวิทยุรายงานว่าผู้ต้องสงสัยเป็นชาย 3 คนกำลังเดินไปขึ้นรถ คำถามแรกส่งไปยังชุดส่องกล้องทางไกล “ใช่หรือเปล่า” (หมายถึงให้ชุดที่ส่องกล้องดูผู้ต้องสงสัยว่าใช่คนร้ายหรือเปล่า) คำตอบ “เห็นไม่ชัดครับ ไม่แน่ใจ” คำถามเครียดๆถูกส่งออกไปเป็นชุด “ดูให้แน่ๆซิว๊ะ.. รูปพรรณตรงไหม.. เทียบกับภาพสเกตซิ.. แมร่ง..เร็วๆหน่อย..” ไม่มีคำตอบจากทีมส่องกล้อง มีแต่เสียง ว.จากชุดซุ่มจับ “นายๆ จะเอาไง” คำตอบ “มึงก็ดูก่อนซีโว้ย มันใช่เปล่า” “ไม่รู้ครับ เห็นไม่ชัด” “มันจะขึ้นรถอยู่แล้ว” “ตามมันมานานแล้วนะครับ” “หลุดคราวนี้กี่ปีจะเจออีก” อยากจะตะโกน “กูเครียดโว้ย..” แล้วทันใดนั้นรถยนต์ของคนร้ายก็ค่อยๆเคลื่อนตัวจากที่จอด มีชายนั่งอยู่ในรถ 3 คน ผ่านจุด 1,จุด 2 ทุกอย่างเงียบ ได้ยินแต่เสียงหัวใจเต้น กูจะทำไงดีว๊ะ คนร้ายชุดนี้มีประวัติก่อคดีปล้นหลายครั้งและมีอาวุธปืนพร้อมสู้ พลาดคราวนี้อีกเมื่อไรจะเจออีก ฉับพลันทันใดสมองและมือเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เจ้ายักษ์แคระ COLT MK 4 OFFICERS ELITE ขนาด 11 มม.ที่กำอยู่ในมือก็แผดเสียงขึ้นเป็นนัดแรก เป้าหมายที่ยางรถยนต์ของคนร้าย จะยิงถูกหรือเปล่าไม่รู้ มือมันสั่นและเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลัวว่าจะไม่ใช่คนร้าย ยังไงๆขอหยุดรถมันไว้ก่อน พอเสียงปืนนัดแรกดังออกไปเท่านั้นแหละ เสียงปืนจากกระบอกอื่นๆก็ดังจากทุกสารทิศ จุด 1 จุด 2 จุด 3 จุด 4 ทุกจุดยิงกันหมด เป้าหมายคือที่รถยนต์ของคนร้าย รถคนร้ายค่อยๆขับเคลื่อนช้าลงๆ แล้วหยุดนิ่ง พี่อดิศักดิ์ฯถือปืนลูกซองยาววิ่งเข้าไปประชิดรถคนร้ายแล้วกระหน่ำไปอีก 1 ชุด ผมเข้าไปกระซิบข้างๆหู “พี่ๆ...มันขาดตอนไปแล้วนะพี่” พี่อดิศักดิ์ฯตอบหน้าตาเฉย “เฮ้ย..มันยังไม่ตาย มันหันมาจะยิงสู้”
ปกติย่านนั้นยามบ่ายแก่ๆผู้คนจะพลุกพล่าน เสียงจะดังจอกแจกแต่พอเสียงปืนดัง ถนนบริเวณนั้นโล่ง ผู้คนที่เดินไปมาไม่รู้หายไปไหน พอเสียงปืนสงบบรรยากาศเงียบสนิทหรือว่าจะเป็นเพราะหูพวกเราอื้อก็ไม่ทราบ พวกเราค่อยๆเดินเข้าไปใกล้รถคนร้ายอย่างระมัดระวังเพราะคนร้ายมีปืน มือหนึ่งเปิดประตูรถออกอีกมือหนึ่งถือปืนพร้อมลั่นไก ไม่แน่ใจว่าคนร้ายจะยิงสวนออกมาหรือไม่ รถยนต์คนร้ายติดฟิล์มกระจกมืดไม่สามารถมองเห็นข้างใน พอเปิดประตูรถออกร่างของชายผู้หนึ่งก็ค่อยๆล่วงลงมา บรรดามือปราบตกใจเพราะร่างนั้นยังมีแรงตะโกน “เย็-แม่” นักข่าวรุมถ่ายรูป ไทยมุงห้อมล้อมดู การปฏิบัติที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือ “เฮ้ย คนร้ายยังไม่ตาย เอาส่งโรงพยาบาลด่วน” สารวัตรสืบวงศ์ฯหนึ่งในทีมปราบ เป็นหัวหน้ารับอาสานำคนร้าย 1 คนซึ่งบาดเจ็บขึ้นรถปิกอัพไปส่ง รพ.ศิริราช ต่อมาสารวัตรสืบวงศ์ฯก็ ว.บอกว่าคนร้ายสิ้นใจระหว่างเดินทาง ส่วนคนร้ายอีก 2 คนเสียชีวิตอยู่ในรถ
การประสานงานเป็นไปอย่างดีเยี่ยม เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งรับตัวผู้เสียหายกับพยานมาดูตัวคนร้ายทันทีในที่เกิดเหตุ ผมกระซิบถามผู้เสียหายและพยานซึ่งเป็นผู้หญิง 2 คนว่า จำหน้าคนร้ายได้ไหม เธอทั้งสองส่ายหน้า จึงกระซิบบอกเธอไปว่า “ไม่ผิดตัวหรอกครับ ตำรวจติดตามมานาน รถก็ใช่” (ความจริงชุดสืบสวนมีความมั่นใจเพียงรถยานพาหนะที่ใช้ในการปล้นทรัพย์เท่านั้น ผู้เสียหายและพยานก็จำรถยนต์พาหนะคนร้ายได้) ผู้เสียหายและพยานชี้ตัวคนร้าย (ศพ) ยืนยันเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์อย่างไม่ลังเล โล่งใจไปที
โล่งอกไปแล้วเรื่องยืนยันตัวคนร้าย ทันใดได้ยินเสียงสุภาพสตรีผู้หนึ่งเอะอะโวยวายมาแต่ไกล ได้ความว่าบ้านเธอเป็นตึกแถวตรงข้ามที่เกิดเหตุ อยู่คนละฟากถนนจรัลสนิทวงศ์ ห่างไปประมาณ 100 เมตร เธอบอกว่ากระสุนปืนหลงเข้าไปในบ้านถูกเหล็กโยงโคมไฟนีออนขาดหลุด โคมไฟแตกกระจายล่วงพื้น เธอโวยวายว่าหากคนในบ้านเธอโดนลูกหลง ใครจะรับผิดชอบ ทีมมือปราบต่างพากันค้นหาตัวมือปืนซึ่งแม่นอะไรขนาดนั้น เหล็กขนาด 4 หุนเล็กเท่านิ้วก้อย ห่าง 100 เมตรยังยิงขาด พบตัวมือปืนคือ สุเมธฯ ใช้รีวอลเวอร์ขนาด.357 ร้อนถึงพี่โสภณฯหัวหน้าทีมต้องเข้าไปปลอบขวัญเจ้าบ้านรายนี้อยู่เป็นนาน
ผู้ที่ได้อานิสงค์จากการวิสามัญคนร้ายรายนี้อีกรายคือพี่กมลฯ เข้าเวรสอบสวน สน.ท่าพระ ท้องที่เกิดเหตุ ได้รับการประสานให้มาร่วมจับกุมด้วย ตอนชุลมุนยิงกันพี่กมลฯได้รับบาดแผลที่ส้นเท้าเลือดอาบ เป็นฝ่ายปราบปรามรายเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกส่งโรงพยาบาล ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลพิเศษเงินเดือน 2 ขั้น เวลาผ่านไปนานได้คุยกับพี่กมลฯถามว่า จริงๆแล้วโดนอะไร พี่กมลฯบอกว่า "ห่า..หลบลูกหลง แมร่งยิงกันยังกะประทัดแตก หกล้มเท้ากระแทกก้อนหินเอ็นข้อเท้าขาด" (โธ่..นึกว่าโดนลูกปืน) แต่ก็สมแล้วครับที่ได้ 2 ขั้น ส่วนคนอื่นๆ รอดคุกก็บุญแล้ว.

"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์