บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ไม่ถึงคราวก็ไม่ตาย
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› ไม่ถึงคราวก็ไม่ตาย




ทุกคนคงจะผ่านนาทีวิกฤตเฉียดตายมาแล้วทั้งนั้น ทุกวันนี้มานั่งนึกว่ารอดมาได้ยังไง นึกถึงทีไรต้องยกมือไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดาที่คุ้มครอง จะมีจริงไม่จริงไม่รู้แต่มันทำให้ผมสบายใจ ผมจะทำบุญสังฆทานเมื่อมีโอกาส เรื่องใส่บาตรเช้าเลิกกันเพราะตื่นมาพระฉันเพลพอดี สถานที่ทำบุญประจำของผมคือโรงพยาบาลสงฆ์ เมื่อก่อนไปทำบุญสะดวกแต่เดี๋ยวนี้ต้องจอง ผมเปลี่ยนเป็นสังฆทานที่วิหารใน รพ.สงฆ์แทนแล้วบริจาคเงินเข้ามูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ ตั้งชื่อทุนของเราเอง เมื่อก่อนเคยไปบริจาคให้กับโรงเรียนคนพิการแต่กลับมาแล้วไม่สบายใจ หดหู่เพราะไปเห็นผู้คนที่ด้อยโอกาสติดหูติดตา ระยะหลังใช้ใส่ซองบริจาคซึ่งมีบริการส่งมาขอบริจาคถึงบ้าน ทำบุญเถอะครับทำมากๆ ทำแล้วจะสบายใจ อย่างน้อยก็เก็บไว้นึกถึงก่อนจะสิ้นลมหายใจ เรียกว่า นิมิตก่อนตาย
เรื่องเฉียดตายของผมมีมากกว่าสิบครั้ง ส่วนมากจะเป็นช่วงวัยเด็ก เป็นเพราะความซนและขาดประสบการณ์ ช่วงรับราชการไม่ค่อยเท่าไหร่เพราะเริ่มรู้วิธี โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ ตำรวจมีการวางแผนตระเตรียมกำลัง โอกาสพลาดไม่ค่อยมี กลัวอย่างเดียวถูกกระสุนปืนพวกเดียวกันเอง แต่ก็มีเหมือนกันในกรณีเป็นเหตุซึ่งหน้าไม่มีโอกาสตระเตรียมการ การฝึกฝนร่ำเรียนมาทำให้เกิดความมั่นใจ ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าหน้าที่กำลังใจเหนือกว่าคนร้าย สมัยผมปฏิบัติหน้าที่มักจะแต่งเครื่องแบบเสมอเพื่อให้รู้ว่าเป็นตำรวจ มันข่มขวัญผู้ร้ายอยู่ในที
แรกเลยสมัยเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบไปเก็บลูกกระสุนปืนยาวมาได้ 1 นัด พาเพื่อนมา 6-7 คนมาเล่นกัน สงสัยว่าทำไมมันจึงดังได้ เพื่อนคนหนึ่งเอาตะปูตอกที่จานท้ายลูกปืน เรานั่งดู พอตอกลงไปก็มีเสียงดังปัง ทุกคนพากันกระโดดโลดเต้นดีใจเอ๊ะมันดังได้จริงๆ เหลือบไปเห็นเพื่อนคนที่ตอกนัยน์ตาข้างหนึ่งหลุดออกจากเบ้าเลือดแดงฉาน หันกลับมองดูตัวเองบ้างขาข้างขวาเลือดโกรก ขาชาไม่มีความรู้สึก จากนั้นก็เป็นลมหมดสติ รู้สึกตัวอีกทีนอนอยู่ที่บ้านมีผ้าพันแผลที่ต้นขาขวา มันปวดแผลจนเป็นไข้เพราะบาดทะยักแต่ก็รอดมาได้ เพื่อนคนที่ตอกลูกปืนตาถั่วไปข้างไม่ถึงตาย ส่วนผมแผลหายแต่ไม่รู้เลยว่ามีหัวกระสุนฝังอยู่ข้างใน กว่าจะรู้และเอาออกไปก็เมื่อไม่กี่ปีนี้เองตอนไป X-Ray ข้อเข่า พบสิ่งแปลกปลอมหมอเลยผ่าออก เป็นหัวกระสุนปืนทองแดง
เรื่องปืนนี่ยังไม่เข็ด ตอนอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจเพิ่งจะเริ่มจับปืนใหม่ๆ กลับไปบ้านที่อยุธยาอวดตัวเป็นผู้รู้ เอาปืนรีวอลเวอร์ .38 ของพี่ชายมาแต่งนกแต่งไกปืน จะให้ยิงนิ่มนวล คุยอวดพี่ชายว่าเชี่ยวชาญอาวุธปืน เอาไขควงคลายน๊อตที่สะพานไก ไขไปไขมานกปืนสับเบา ตีจานท้ายกระสุนไม่แตก ปืนไม่ลั่น เอาปืนที่บรรจุกระสุนจี้ที่หัวแล้วลั่นไกอวดคน เสียงดังแช๊ะๆ คนดูหวาดเสียว เหนี่ยวไกสักสองสามครั้งปืนก็ไม่ลั่น พอดีนัดต่อไปหันกระบอกพ้นหัวแล้วเหนี่ยว เสียงดังปังแก้วหูเกือบแตก ตกใจหน้าซีด ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว คิดในใจเลยว่าเกือบไปแล้วเรา วางปืนยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าไม่ช่วยไว้ตายไปแล้ว
เกือบตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็น สมัยอายุ 7-8 ขวบเป็นเด็กวัดบ้านนอกที่อยุธยา สมัยนั้นยังไม่มีการสร้างเขื่อน น้ำในแม่น้ำป่าสักไหลเชี่ยว ลำน้ำกว้างประมาณ 100 เมตร ฤดูแล้งน้ำจะลดแต่ไม่ถึงกับแห้ง ความสนุกสมัยเด็กๆพอตกบ่ายก็ชวนกันว่ายน้ำข้ามฟาก จะไปเล่นกันอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ เราว่ายน้ำไม่เป็นแต่ไม่กล้าบอกอายเพื่อน เห็นน้ำตื้นก็เขย่งๆข้ามทำท่าเหมือนว่ายน้ำไม่ให้เพื่อนจับได้ พอไปเกือบจะถึงอีกฟากเป็นร่องน้ำลึกมิดหัว จะหันหลังกลับก็อายเพื่อนทำใจสู้เขย่งข้ามต่อไป คราวนี้ถลำลงในร่องน้ำลึกมิดหัว มืดมองอะไรไม่เห็น หมดอากาศหายใจสำลักน้ำกินเข้าไปหลายอึก สัญชาติญาณคนจมน้ำจะทะลึ่งโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำหนึ่งครั้งเสมอ ผมทะลึ่งพรวดขึ้นมาท่าทางคงจะน่าเกลียดจนเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆตัวโตกว่ารู้ จับคอเสื้อดึงขึ้นมา ได้ยินเสียงเพื่อนคนนี้ตะโกนว่า เฮ้ย..ว่ายน้ำไม่เป็นนี่ ผมไม่ตอบเพราะหมดแรงกินน้ำเข้าไปจนพุงกาง ถ้าเพื่อนคนนี้ไม่ดึงเอาไว้ก็คงจะเรียบร้อยไปแล้วเพราะน้ำเชี่ยวไหลแรง จำได้ไม่เคยลืม เมื่อไม่กี่ปีมานี้ผมต้องติดตามค้นหาเพื่อนที่ช่วยชีวิตคนนี้แล้วบอกขอบคุณเค้าที่ได้ช่วยชีวิตเราไว้
เรื่องน้ำนี่ไม่เข็ด โตขึ้นว่ายน้ำเป็นแล้วคิดว่าเรื่องน้ำไม่มีทางทำอะไรฉันได้ ตอนอายุสัก 14-15 ช่วงนั้นก็ยังเป็นเด็กวัดแต่เป็นวัดในเมืองที่อยุธยา ตอนเย็นๆไปเล่นน้ำที่ท่าจันทร์เกษม หัวรอ แม่น้ำป่าสักอีกความกว้างก็ประมาณ 100 เมตร แต่ความลึกค่อนข้างจะมากเพราะเป็นฤดูน้ำหลาก ท่าจันทร์เกษมเป็นท่าเรือยนตร์ข้ามฟากรับส่งผู้คน มีบันไดทอดลงไปสู่แพสำหรับให้เรือข้ามฟากจอด ตอนเย็นๆบรรดาเด็กวัดจะไปโดดน้ำโชว์ให้พวกที่นั่งเรือโดยสารดู ใครเจ๋งต้องโดดจากบันไดขั้นอยู่บนสุดความสูงจากพื้นน้ำประมาณ 15 เมตร ถ้าให้แน่ต้องปีนไปบนหัวเสาบันไดสูงขึ้นไปอีกประมาณ 1 เมตรเศษ โดดโชว์ทั้งทีต้องเอากันสุดๆ ผมปีนไปบนยอดเสา เพื่อนเด็กวัดด้วยกันเชียร์ให้กำลังใจ พอเรือข้ามฟากพาผู้โดยสารเต็มลำใกล้เข้ามา ผมก็สปริงตัวลอยขึ้นเล็กน้อยแล้วดิ่งเอาหัวลงสู่พื้นน้ำ เราเรียกกันว่า “พุ่งหลาว” หัวกระทบพื้นน้ำเจ็บพอทน ในใจคิดว่าคงสร้างความประทับใจคนดู โดดจากที่สูงมันก็ต้องพุ่งลงไปลึก รู้สึกว่าลมหายใจใกล้หมด เป็นไปโดยอัตโนมัติที่ร่างกายจะโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่คราวนี้รู้สึกงงๆเพราะพอศีรษะลงสู่ผิวน้ำแล้วไปม้วนตัวใต้น้ำอีก 1 รอบ จำทิศทางไม่ได้ พอหมดลมหายใจก็ทะลึ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ เจ้ากรรมดันม้วนตัวเข้าไปใต้แพ หัวกระแทกพื้นแพโผล่ขึ้นไม่ได้ ตกใจลมหายใจใกล้จะหมดจะไปทางไหนดีมันงงไปหมด รวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายถีบตัวออกไปทางหนึ่งอย่างแรง โผล่มาเลยขอบแพไปนิดเดียว สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่เหมือนมีพระเจ้ามาโปรด เสียงปรบมือยังดังก้องเข้ารูหู แต่ในใจบอกว่าเข็ดไม่เอาอีกแล้ว แต่นั้นเป็นต้นมากลัวจมน้ำเป็นที่สุด ลงเรือเมื่อใดเป็นต้องสวมชูชีพ บางทีก็อาย ทุกวันนี้นั่งเรือข้ามเจ้าพระยาไม่เห็นมีใครสวมชูชีพ ผมหาวิธีปกปิดโดยเอาชูชีพที่หลานๆใช้เล่นน้ำเป่าลมแล้วใส่กระเป๋าซิ๊ปหิ้วไปด้วย กะว่าถ้าเรือล่มก็จะกอดกระเป๋าพยุงตัวไม่ให้จมน้ำได้ ผมจะทำเช่นนี้ทุกครั้งหากมีเวลาเตรียมตัว
ขนาดกลัวเรื่องจมน้ำตายเมื่อ 2-3 ปีก่อนยังอุตส่าห์ไปกับเรือสำราญ Brilliance of The Seas ตึก 19 ชั้นลอยน้ำ ท่องทะเลชมประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ไปทั้งกลัวๆ ความอยากหาประสบการณ์มีมากกว่าเลยไป สนุกสนานเพลิดเพลินดี ก็คงเพียงครั้งเดียวเพื่อให้รู้เท่านั้น
พอกันทีทางน้ำเข็ดจนตาย ขึ้นบกก็เกือบตายอีก ก็เรื่องอุบัติเหตุทางถนน ตอนรับราชการอยู่นครปฐมขับรถเก๋งส่วนตัวเปอร์โยต์ 404 รุ่นที่มีหางปลา วันหนึ่งขับไปตามถนนมาลัยแมนพาลูกน้องนั่งไปด้วย รถเก๋งโตโยต้าคราวน์ขับสวนทางมาพุ่งตรงเข้าใส่ ภายหลังสอบถามได้ความว่าคนขับรถโตโยต้าทำตลับเทปล่วงพื้นรถแล้วก้มลงเก็บ มือซ้ายควานหาตลับเทป มือขวาจับก้านพวงมาลัย การบาล๊านซ์น้ำหนักที่พวงมาลัยผิดทำให้รถพุ่งเฉียงไปทางขวาโดนกลางรถเราขาด 2 ท่อน เสียงดังมากรถผมกระเด็นตกข้างทางห่างจากถนนประมาณ 30 เมตร ลูกน้องผมแขนหัก ส่วนผมศีรษะถูกหลังคาเก๋งกดทับรุนแรงมากจนเหล็กรองรับเก้าอี้นั่งยุบ เบาะที่นั่งเละ ผมมึนหัวลุกนั่งยืนไม่ได้ต้องนอนลูกเดียว ถูกนำตัวส่ง รพ.ตำรวจ ไม่กี่วันก็หายปกติ เรื่องของอุบัติรถชนกันนี่อันตรายจริงๆถึงแม้เราจะขับขี่ถูกต้องตามกฏอุบัติเหตุก็ยังเกิดขึ้นได้
ตอนรับราชการอยู่ สน.บางยี่เรือใช้รถยนต์เฟี๊ยต 125 เครื่องทะวินแคมเร่งทันใจ ตอนกลางคืนขับคนเดียวบนถนนลูกรังแถวปทุมธานี กลับจากงานทอดกฐินจะเข้ากรุงเทพฯ ความไม่เคยทางขับด้วยความเร็วสูงประมาณ 140 กม./ชม. ถึงทางเลี้ยวหักศอกรถผมไม่เลี้ยว พุ่งลงข้างทางเป็นน้ำมิดตัวรถ โชคดีขับกลางคืนอากาศไม่ร้อนเอากระจกข้างรถลงไม่ได้เปิดแอร์ รถพลิกตลบหลายทอดแล้วเอาหลังคาลง น้ำเข้ารถรวดเร็ว ความที่รถหมุนพลิกทำให้เวียนศีรษะงงทิศ จะพุ่งตัวออกจากรถทันทีก็เป็นห่วงปืนที่ซุกเอาไว้ใต้เบาะนั่ง ต้องตั้งสมาธิว่าเมื่อรถพลิกหงายตำแหน่งปืนควรจะตกลงที่ใด โชคดีหาปืนเจอแล้วรีบพุ่งออกจากรถทางหน้าต่าง ถ้าไม่ได้เอากระจกข้างรถลงไว้แต่แรกก็คงจะตายอยู่ในรถ
ประสบการณ์เป็นบทเรียนสอน ค้นหาว่าการเดินทางวิธีใดจะปลอดภัย เคยคิดว่ารถไฟน่าจะปลอดภัยที่สุดก็เลยลอง แต่เบื่อเรื่องช้าใช้เวลาในการเดินทางมาก งั้นเลือกเดินทางกลางคืนถือเป็นการพักผ่อนหลับนอนไปด้วย หาข้อมูลพบว่ามีการขโมยของบนรถเกิดขึ้น ก็คงจะเป็นช่วงจอดพักตามสถานี ถ้านอนหลับก็คงจะถูกฉกสิ่งของได้เหมือนกัน เอาขบวนรถชั้น ๑ ติดเครื่องปรับอากาศละกันปลอดภัย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เดินทางโดยรถไฟก็ไม่วายที่จะเกิดเหตุขึ้นจนได้ เที่ยวเชียงใหม่เข้ากรุงเทพฯ นอนหลับอยู่ดีๆในห้องแอร์ชั้น ๑ รถห้ามล้อเสียงดังสนั่นแล้วหยุดทันทีทันใด ผมม้วนตัวหัวชนกับผนังคอสั้นไปเป็นเซ็นต์ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ไม่สนใจสักพักหนึ่งรถก็วิ่งต่อ ระยะหลังๆมีชนกันบ่อยมีคนตาย ตกรางก็มี ขนาดยังไม่ได้ใช้รถความเร็วสูงยังขนาดนี้ ถ้าความเร็วสูงจะขนาดไหน
นั่งเครื่องบินน่าจะปลอดภัยกว่า แต่เครื่องบินตกก็มี ตกทีตายหมดทั้งลำ เคยนั่งไปอเมริกามีอยู่ช่วงหนึ่งที่เครื่องจะต้องตกหลุมอากาศ ตกทีหนึ่งเป็นร้อยๆฟุตแล้วมันตกติดต่อกันหลายทีด้วย ตอนตกหลุมอากาศจะมีลักษณะเหมือนอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ตัวมันจะลอยๆ อาหารที่อยู่ในท้องมันจะลอยออกมาทางปาก มีเสียงหวีดร้องของสุภาพสตรีสอดแทรกออกมาด้วย มีผู้รู้บอกว่าตกเครื่องบินตายเป็นการตายที่ทรมานน้อยที่สุด ประมาณ 10-15 วินาทีก็ไม่รู้เรื่องแล้วและเป็นการตายที่มีเพื่อนร่วมตายเยอะ เรียกว่าเป็นผีก็ไม่เหงา ผมคิดดูเห็นจริงตามผู้รู้บอก ขึ้นเครื่องทีทำประกันไว้ให้เต็มที่แล้วฟาดยานอนหลับ กะตื่นอีกทีอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆคนที่ยังอยู่รวยเงินประกัน
วันก่อนพรรคพวกคนหนึ่งเป็นคนสมถะ อยู่กะบ้านไม่ค่อยเดินทางไปไหนกลัวเรื่องอุบัติเหตุ แต่แล้วอยู่ดีๆระหว่างทานอาหารเกิดการสำลัก ชิ้นส่วนอาหารหลุดเข้าหลอดลม หน้าเขียวขาดอากาศ ตาย ดูซีไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ นึกถึงคำกล่าวที่ว่า
“ไม่ถึงคราวตาย ก็ไม่วาย ชีวาวาต
ใครพิฆาต เข่นฆ่า ไม่อาสัญ
เมื่อถึงคราวตาย ก็ต้องวาย ชีวาวัน
ไม้จิ้มฟัน ทิ่มเหงือก ยังเสือกตาย”


"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์