บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ตำรวจไม่ใช่เทวดา
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› ตำรวจไม่ใช่เทวดา
เวลาคนมีความทุกข์ร้อนมักจะไปพึ่งพาหาตำรวจ ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหายขโมยขึ้นบ้าน รถหาย คนหายจิปาถะสากกะเบือยันเรือรบ พูดง่ายๆตำรวจเหมือนเทวดาสำหรับคนที่มีความทุกข์ร้อน พูดเช่นนี้ก็จริงถ้าไม่พึ่งตำรวจแล้วจะพึ่งใคร ตำรวจจึงต้องเรียนและฝึกการเป็นเทวดาเหมือนกับในภาพยนตร์เรื่องHARRY POTTER
โรงเรียนสอนวิชาเทวดาแห่งแรกก็คือ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ วิชาการด้านสืบสวน สอบสวน เทคนิคการซักถาม จิตวิทยาการสังเกตอากัปกิริยาคน การจับพิรุธ การจับโกหก การเฝ้าจุดสังเกตการณ์ การสะกดรอยติดตาม การตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบร่องรอยพยานหลักฐาน การตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ นิติเวชวิทยา ผ่าศพ ฯลฯนอกเหนือไปจากวิชากฎหมายอาญา วิ.อาญา กฎหมายแพ่งบางหมวด กฎหมายลักษณะอาญา พระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาต่างๆ เรียนกันสี่ปีเต็ม และยังมีการฝึกทางยุทธวิธีเช่นเทคนิคการเข้าทำการตรวจค้นจับกุม การเข้าจับกุมคนร้ายสำคัญที่มีอาวุธซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย รวมทั้งศิลปะการป้องกันตัว ตั้งแต่การต่อสู้แบบมือเปล่า มือเปล่าสู้กับอาวุธมีด สู้กับอาวุธปืน ยูโด ยูยิตสู และการยิงปืน ทั้งปืนพก ปืนยาว ปืนยิงเร็วและลูกระเบิด ปีสุดท้ายของโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะเป็นการออกไปหาประสบการณ์ในสถานะการณ์จริง คือการฝึกงานตามสถานีตำรวจทั้งในนครบาลและภูธร

เห็นไหมครับ วิชาเทวดาไม่ได้ฝึกหรือเรียนกันง่ายๆ ถึงแม้จะเรียนและรับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็ยังมีอยู่มิใช่น้อยที่มีนายตำรวจสำเร็จการศึกษามาใหม่ๆ ต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนร้าย อย่างเช่นเพื่อนผม ร.ต.อ.ดำริเพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาได้เพียง ๔ ปี ต้องมาจบชีวิตลงขณะปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านตรวจรถในเวลาบ่ายในเขตอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา มีรถจักรยานยนต์ผู้ขับขี่เป็นชายขับขี่ผ่านมาโดยมีชายอีกคนนั่งซ้อนท้าย ร.ต.อ.ดำริเรียกชายผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้จอดเพื่อทำการตรวจ รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวชะลอความเร็วหยุดจอดทำท่าเหมือนจะควักใบอนุญาตขับขี่ให้ตรวจ แต่กลับกลายเป็นเหล็กขูดชาร์ปพร้อมเสียบเข้าที่ลิ้นปี่ ร.ต.อ.ดำริไปขาดใจตายที่โรงพยาบาล จากการสอบสวนต่อมาจึงได้ทราบว่ารถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้ขับขี่ไปกระชากสร้อยคอชิงทรัพย์ผู้อื่นแล้วหลบหนีมาพบ ร.ต.อ.ดำริเรียกให้หยุด คนร้ายนึกว่าตนจะต้องถูกจับเรื่องชิงทรัพย์แน่จึงใช้เหล็กขูดชาร์ปแทงเบิกทางหนีไปก่อน น่าเสียดายที่พวกเราร่ำเรียนมาแทบตายประมาทนิดเดียว คือมองโลกในแง่ดีเกินไป ผลคือตาย ฉนั้นเวลาผมออกตั้งด่านตรวจจึงต้องมีกำลังอีกชุดหนึ่งพร้อมอาวุธ พร้อมยิง เตรียมไว้เสมอ เพื่อนผมอีกคนหนึ่ง ร.ต.อ.ประสิทธิ์ ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา พบชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งประมาณ ๓-๔คนนั่งดื่มสุรากันอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอเมืองพิษณุโลก ร.ต.อ.ประสิทธิ์สังเกตเห็นว่าชายหนึ่งพกอาวุธที่เอวจนเสื้อตุงออกมา ร.ต.อ.ประสิทธิ์ตรงเข้าไปใช้ความเร็วตะปบตรงส่วนที่ตุงแล้วดึงออกมา ปรากฏว่าเป็นอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด ๑๑ มม. อาวุธปืนเป็นอาวุธที่ควบคุมพิเศษแม้จะมีใบอนุญาตให้ใช้แต่ก็ไม่สามารถพกพาไปในที่สาธารณะสถานได้ ร.ต.อ.ประสิทธิ์ขอดูใบอนุญาตต่างๆเกี่ยวกับอาวุธปืนดังกล่าว ก็ไม่มีให้ดู ชายที่ถูกค้นพบอาวุธปืนได้แต่พูดยืนกรานอย่างเดียวว่า “ขอปืนผมคืนเถอะครับ” ร.ต.อ.ประสิทธิ์ใจดีเพราะพาเพื่อนๆไปทานอาหารที่ร้านแห่งเดียวกันจึงได้บอกว่า “ไปเอาหลักฐานมาแสดงถ้าถูกต้องก็จะปรับเรื่องพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะเพียงนิดหน่อย” ร.ต.อ.ประสิทธิ์ยังคงนั่งทานอาหารอยู่กับเพื่อนๆต่อไปโดยไม่นำพาต่อชายที่ถูกยึดปืนซึ่งพยายามพร่ำขออาวุธปืนคืน ชายผู้ถูกยึดปืนหายตัวไปซึ่ง ร.ต.อ.ประสิทธิ์เข้าใจว่าคงจะไปเอาหลักฐานมาแสดง ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้วพลันเสียงปืนดังแผดก้อง ๑ ครั้ง พร้อมกับเสียงปืน ร.ต.อ.ประสิทธิ์ก็ล้มลงจากเก้าอี้ มีเลือดไหลจากบริเวณศรีษะ ผู้ที่ยัดลูกกระสุนปืนเข้าไปในสมองของ ร.ต.อ.ประสิทธิ์ก็คือผู้ที่พยายามเพียรทวงถามปืนคืนจาก ร.ต.อ.ประสิทธิ์นั่นเอง พอยิงแล้วก็เผ่นหายไปกับความมืด ทิ้งความตายไว้ให้กับ ร.ต.อ.ประสิทธิ์ นี่เป็นตัวอย่างที่พวกผมต้องมาจบชีวิตลง รวมแล้ว ๑๑ คนด้วยกัน

นอกจากนี้ยังมีบางอย่างเสริมเขี้ยวเล็บให้ตำรวจเป็นเหมือนเทวดา ทั้งโดยกฎหมายให้อำนาจและโดยใช้อำนาจเถื่อน เช่นการเรียกเอาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ถูกสอบสวน เรื่องการเงินก็ดี การติดต่อสื่อสารไม่ว่าจะเป็นจดหมายหรือโทรศัพท์ โดยการกัก การดักฟัง จนรู้ความลับเขาทั่ว ปัจจุบันทำไม่ได้เพราะมีกฎหมายเรื่องเสรีภาพควบคุม แต่บรรดามือปราบก็ไม่กลัว ถ้าจะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยหรือเพื่อความผาสุกของสุจริตชนแล้ว กูก็จะทำเป็นไงเป็นกัน โดยยึดกระแสพระบรมราโชวาทที่ว่า “……ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงไม่ใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…….”
ตำรวจยึดถือแนวพระบรมราโชวาท เก็บเอาคนที่ไม่ดีไปไว้ในที่ๆควรจะอยู่ ที่บ้านเมืองสงบเรียบร้อยอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะมีตำรวจดีๆอีกมากที่เสี่ยงเพื่อทำลายล้างคนชั่วให้หมดไป

การ “อุ้ม”ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตำรวจรู้ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นเทวดา ปฏิบัติการอุ้มมีมานานแล้วตั้งแต่ผมเริ่มรับราชการใหม่ บางทีเราก็เรียกว่าไป “ช้อน”เอามา ฟังดูแล้ว “อุ้ม”กับ “ช้อน”มันนิ่มๆไม่ต้องใช้กำลัง ดูเหมือนว่าผู้ถูกอุ้มหรือถูกช้อน เท้าจะไม่ถึงพื้นเลย ไม่เหมือนกับคำว่า“จับ”ซึ่งต้องใช้แรงฉุดกระชาก หลายคดีสำเร็จเพราะอุ้ม ศัพท์คำนี้ใช้เฉพาะในวงการฝ่ายสืบสวนเท่านั้น ส่งสัญญาณหรือกระซิบกันเบาๆทุกอย่างก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่คำนี้หลุดออกมาก็เพราะนักข่าวอาชญากรรมที่เคยติดตามทำข่าวโดยไม่ระมัดระวัง ปล่อยให้ถ้อยคำนี้หลุดออกมาบนหน้าหนังสือพิมพ์ จนชาวบ้านรู้กันทั่ว และพยายามต่อต้าน ในชีวิตการเป็นมือปราบที่มีผลงานใครบ้างที่ไม่เคย “อุ้ม”หรือสั่งให้ไป “อุ้ม” ถามให้ตายก็ไม่มีใครพูดใครบอก

เมื่อพูดเรื่อง “อุ้ม”แล้วก็ต้องพูดให้หมดเปลือก อุ้มใคร อุ้มเมื่อไร อุ้มยังไงและจะป้องกันไม่ให้โดนอุ้มได้อย่างไร คดีบางเรื่องมันหาหลักฐานไม่ได้จริง เช่นคดีจับคนเรียกค่าไถ่ คดีจ้างวานฆ่าผู้อื่น จะมีก็แต่เพียงผู้ต้องสงสัยซึ่งได้ข้อมูลมาจากการดักฟังโทรศัพท์ จะทำเรื่องขออนุมัติศาลเพื่อออกหมายจับก็ไม่ได้ ถึงขอหมายจับได้ก็จะทำให้ข่าวเปิดอันตรายต่อตัวประกัน จึงจำเป็นต้องไปอุ้มเอาตัวผู้ต้องสงสัยมา ส่วนมากจะเป็นตัวเล็กอยู่ปลายแถว กระจอกๆ แต่ต้องเช็คให้ชัวร์ว่ารู้หรือน่าจะรู้เห็นในคดี สิ่งนี้ต้องวิเคราะห์กันแล้ววิเคราะห์กันอีก เพราะถ้าไปอุ้มมาแล้วผู้ถูกอุ้มไม้รู้เรื่องและไปทำเขาบอบช้ำ พูดกันไม่รู้เรื่องแล้วจะปล่อยตัวกลับไปอย่างไรจึงจะปลอดภัย ผู้ปฏิบัติ เรามีวิธีครับ

๑ การ “อุ้ม”ต้องเป็นความลับที่สุด ให้รู้กันเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติการณ์เท่านั้น

๒ ต้องให้นายระดับสูงขึ้นไปอีก ๑ ชั้นทราบและได้ไฟเขียว ส่วนนายจะรายงานต่อไปถึงระดับไหนไม่ต้องไปรู้

๓ การอุ้มจะต้องปลอดจากพยานรู้เห็น จึงทำให้ต้องมีการสะกดรอยติดตามเป้าหมายไปเพื่อจะหาจุดที่เหมาะ ถ้าจะมีใครรู้เห็นสักเพียงคนเดียวเราจะไม่ทำ จึงทำให้บางเรื่องต้องเฝ้าตามกันเป็นเดือนๆ

๔ เมื่อได้ตัวไปแล้วต้องนำเข้าที่ปลอดภัยหรือที่เรียกกันว่า “เซฟเฮ๊าส์”เพื่อไม่ให้ใครทราบโดยเฉพาะพวกนักข่าวให้รู้ไม่ได้

๕ ทีมอุ้มต้องใส่หมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าเจาะเพียงลูกตา เพื่อไม่ให้ผู้ถูกอุ้ม หรือบุคคลอื่นใดจำหน้าผู้ปฏิบัติการณ์ได้

๖ ผู้ถูกอุ้มก็จะถูกปิดตาทันทีที่ถูกอุ้มเพื่อไม่ให้จำเส้นทางได้ว่าถูกพาไปที่ใด และถูกควบคุมตัวที่ไหน และมีใครมาทำการสอบสวนซักถามบ้าง

รับรองว่าวิธีนี้หากอุ้มไปถูกตัวข้อมูลถูกเปิดเผยหมด ท่านลองหลับตานึกดูว่าถ้าหากเป็นตัวท่านถูกอุ้มไปเช่นนี้จะรู้สึกเช่นไร ท่านไม่รู้อนาคตว่าจะไปจบลงเช่นไร พึ่งใครก็ไม่ได้ บรรยากาศไม่เป็นมิตร มีแต่ร้องขอชีวิต รู้เห็นอะไรแค่ไหนบอกหมดขอเพียงมีชีวิตรอดกลับไปพบบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ถ้าหากผู้ถูกอุ้มไม่รู้หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ ผู้ซักถามพอจะดูออกหลังจากได้ซักถามจนครบถ้วนประเด็นที่สงสัย

ถ้าผู้ถูกอุ้มเป็นผู้บริสุทธิ์จะทำอย่างไร(ซึ่งเปอร์เซ็นต์พลาดหนึ่งในล้าน เว้นแต่จงใจ) คำตอบก็คือเอาไปปล่อยยังที่ปลอดภัยอย่างที่นักการเมืองคนดังผู้หนึ่งเคยโดนมาแล้ว วิธีนี้ถ้าผู้ถูกอุ้มจะไปร้องทุกข์แจ้งความก็จะเป็นคดีที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดไป

แล้วจะป้องกันการถูกอุ้มอย่างไร ท่านต้องประมาณสถานการณ์ตนเองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่ในข่ายต้องสงสัยเรื่องใดบ้างหรือไม่ การถูกอุ้มไม่ได้กระทำกันเฉพาะในกลุ่มเจ้าหน้าที่เท่านั้น พวกโจรหรือแก๊งต่างๆก็ใช้วิธีนี้มากกว่าเจ้าหน้าที่เสียอีก ทางป้องกันก็คือเมื่อท่านรู้ว่าอยู่ในข่ายจะถูกอุ้ม อย่าอยู่ตามลำพัง ควรจะมีบอดี้การ์ดติดตามไม่ว่าตอนเดินทางหรืออยู่ในเคหสถาน แล้วพยายามเคลียปัญหาให้หมดไป

พอจะเห็นใจตำรวจบ้างหรือยัง ตำรวจก็คือปุถุชนคนธรรมดา รู้หนาวรู้ร้อนไม่ได้เป็นผู้วิเศษหูทิพย์ตาทิพย์รู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่เพราะมีหน้าที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขรักษาความสงบเรียบร้อยและปราบปรามอาชญากรรม เขาจึงต้องทำเพื่อสนองพระบรมราโชวาทดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์