บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
ใกล้เวลาพากันไปตาย
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› ใกล้เวลาพากันไปตาย




หลายคนไม่ทราบว่าสถานที่ๆมีอันตรายมากที่หนึ่งก็คือ ถนนหรือทางที่ท่านกำลังขับขี่ยวดยานพาหนะ ถนนเป็นทางบังคับไม่ว่าจะไปไหนๆ ออกจากบ้านก็ต้องเริ่มที่ถนนก่อน สถานที่อันตรายอื่นเราพอจะวางแผนหลีกเลี่ยงได้ ที่ใดไม่ปลอดภัยเราก็ไม่ไป ถนนจึงเป็นยุทธภูมิที่ใช้ปฏิบัติการณ์ของทั้งโจร มือปืน มือปราบ
ยามปกติธรรมดาที่เราๆใช้ถนน ภัยอันตรายเกิดขึ้นได้สองประการ หนึ่ง อาจโดนรถอื่นชน ไม่ท่านไปชนเขา ก็เขามาชนเรา เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ถกเถียงกันอยู่ทุกวัน มึงชนกูหรือกูชนมึง พูดง่ายๆไม่มีใครยอมรับผิด ร้อนถึงตำรวจซึ่งนั่งอยู่ที่โรงพักไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาตัดสิน เคยมีคนถามผมบ่อยว่าเกิดเหตุอย่างนี้ใครผิดใครถูก ก็เลยบอกไปว่า หาซื้อ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯมาอ่านซะก่อนแล้วพิจารณาว่า เราขับขี่ถูกต้องตามกฏกติกามารยาทที่บัญญัติไว้หรือไม่ เชื่อไหม? 90% ของผู้ขับขี่รถไม่เคยอ่าน พ.ร.บ.ตัวนี้ รีบไปหาอ่านซะเพราะ ตำรวจ อัยการ ศาล ทนายความ ใช้กฏหมายฉบับนี้เป็นหลักในการพิจารณา ไม่ปฏิบัติตามกฏคือ “ประมาท” หรือ “ผิด” นั่นเอง
ภัยอันที่สองก็คือ อาจโดนยิง โดนเสียบ โดนทำร้าย ถูกอุ้ม ถูกฆ่า ถูกหิ้วไปข่มขืน ฯลฯ ในถนนเป็นสถานที่เหมาะที่สุด เป็นที่รวมของร้อยพ่อพันแม่ ใครๆก็ใช้สถานที่นี้ร่วมกัน แยกไม่ออกว่าที่ขับขี่รถอยู่ข้างๆคุณเป็นโจร ผู้ร้าย ผู้ดีหรือไอ้บ้าหื่นกาม ขนาดจอดรถคู่กันยังไม่กล้ามองดูหน้าคนที่อยู่ข้างๆเดี๋ยวจะพาลหาว่า “มองหน้าหาเรื่องรึไง” รถแต่ละคันติดฟิล์มกรองแสงทึบ มองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในรถ รัฐบาลออกกฎหมายห้ามติดฟิล์มกรองแสงแต่ต้องชะลอการบังคับใช้ ก็พวกรัฐบาลเองนั่นแหละติดฟิล์มหนาทึบกว่าผู้อื่น กฏหมายนี้ก็เลยเป็นหมันไป ทราบแล้วนะว่าผู้ที่ขับขี่รถเคียงคู่กับท่านอาจเป็นได้ทั้ง โจร สุภาพบุรุษ หรือ มือปราบ บุคคลเหล่านี้ล้วนมีเขี้ยวเล็บ ก็ปืนไงล่ะ ส่วนมากจะมีอาวุธปืกซุกซ่อนอยู่ชนิดตำรวจตั้งด่านตรวจค้นไม่มีทางเจอ อาวุธปืนที่บ้านเราหาซื้อง่ายพอๆกับหาซื้อก๋วยเตี๋ยว พอมีเรื่องกระทบกระทั่งกันนิดๆหน่อยๆก็ชักปืนยิง คติโจร “เป็นความกับผีดีกว่าเป็นความกับคน” เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ขับรถปาดหน้ากันลงไปถกเถียงแล้วชกต่อย ขับรถไล่กวดแล้วยิง ขับรถสวนในซอยแคบๆเกี่ยงกันถอยเลยต้องยิง เปิดไฟสูงใส่หน้า ใส่หลัง โดนยิงมาแล้วทั้งนั้น บางรายขับรถไปโทรศัพท์ไปด้วยคนขับรถตามหลังหมั่นไส้เลยยิงสั่งสอน ที่กล่าวมานี้ตายซะส่วนใหญ่ การสืบสวนหรือครับ “จับมือใครดมไม่ได้”
ถ้าจะถามว่า แล้วจะป้องกันยังไง แนะนำก็คือพยายามขับรถให้ถูกต้องตามกฏ ล็อกประตูรถทุกครั้งที่อยู่บนรถ หลีกเลี่ยงการเดินคนเดียวบนเส้นทางสายเปลี่ยวหรือในยามค่ำคืน หลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาโต้แย้งหรือถกเถียงกันบนถนน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจแต่กว่าตำรวจจะมาถึงก็ต้องทำใจดีสู้เสือไว้ก่อน
ที่กล่าวมานี้ยังไม่รวมพวกมิจฉาชีพ แก๊งจี้ปล้น พวกนี้จะคอยสังเกตเหยื่อ ถ้าเป็นผู้หญิงหน้าตาดี เดินทางคนเดียว หรือมีทรัพย์สินติดตัวมากๆ (อันนี้ไม่จำเป็นต้องหน้าตาดีก็มีสิทธิ์โดน) คนร้ายอาจจะขับรถตามแล้วชนท้ายเพื่อให้คนขับรถลงไปเจรจา หรือแกล้งวางตะปู เรือใบ เพื่อให้ยางรถแฟ้บแล้วเข้าไปช่วยได้จังหวะจี้เลย กรณีเหล่านี้จะเกิดบนถนนสายเปลี่ยวๆหรือเกิดในช่วงกลางคืนที่ไม่ค่อยมียวดยานสัญจร
ในช่วงเทศกาล ภัยบนถนนก็คือการเกิดอุบัติเหตุ ในช่วงวันหยุดเทศกาลจะเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่รถมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก รัฐบาลรณรงค์ขับขี่ปลอดภัย จัดทำสถิติเจ็ดวันอันตราย ให้แต่ละจังหวัดหามาตการเข้มงวดกวดขันลดจำนวนอุบัติเหตุ (ไม่ใช่ลดจำนวนผู้บาดเจ็บหรือตาย การบาดเจ็บหรือตายมันเป็นเรื่องประสิทธิภาพของการช่วยเหลือ เยียวยา หรือการกู้ภัย การลดอุบัติเหตุต้องวัดที่จำนวนครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ) นี่ก็ใกล้เทศกาลวันสงกรานต์ซึ่งมีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน ท่านทั้งหลายคงจะเตรียมตัวเตรียมใจ จะไปเที่ยวสนุกสนาน พักผ่อน เยี่ยมญาติ หรือ ไปตาย ขอจงมีสติวางแผนเสียแต่บัดนี้และขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่ได้แช่งแต่มันมีการตายเกิดขึ้นจริงๆ ตายทั้งที่รู้ๆ ขออย่าให้เกิดกับท่านผู้อ่านบทความนี้เลย
จากสถิติของอุบัติเหตุทางถนน ขอยกเอาตัวเลขของจำนวนผู้เสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุการจราจรทางบกเป็นกรณีศึกษา เรื่องของสถิตินั้นก็เป็นที่เข้าใจ คือการเอาตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงมาถัวเฉลี่ยให้ลงไปในหน่วยย่อยเพื่อสะดวกต่อการเปรียบเทียบ ในยามปกติธรรมดาทุกวันนี้จะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรเฉลี่ยชั่วโมงละ 1.8 คนหรือประมาณวันละ 44 คนทั่วประเทศ ในช่วงเทศกาลวันหยุดติดต่อกันหลายวันจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน วันละ 142 คนหรือชั่วโมงละ 5.9 คนทั่วประเทศ เป็นที่น่าวิตกนะครับ ท่านนั่งดูเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงมีคนตายจากอุบัติเหตุแล้ว 2 คน

สาเหตุของการอุบัติเหตุ ทุกคนรู้ สอนมากก็โกรธ มันก็เลยตายทั้งรู้ๆ รู้แล้วทำเองคนเค้าสมน้ำหน้า แต่มันพลอยให้คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องต้องตายไปด้วยนี่ซิจึงต้องมาเตือนกัน คนไทยนี่อะไรๆก็ดีแต่เวลาจับพวงมาลัยขับรถจะเปลี่ยนนิสัยเป็นคนละคน เหมือนผีห่าซาตานมาเข้าสิง ใครมาขับตัดหน้าไม่ได้ ใครขับแซงต้องแซงคืน ใครขับจี้ท้ายโกรธ ใครบีบแตรใส่หาว่าด่าแม่ ความเห็นแก่ตัวมีมากตอนขับรถ ถ้ารู้ตัวแล้วโปรดทำใจเย็นๆ สวดชินะบัญชร แผ่กุศล แผ่ส่วนบุญ ปล่อยมันไปอย่าได้จองเวรจองกรรมกันเลย สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุแยกเป็นดังนี้

1 สาเหตุจากคน ในที่นี้ก็คือผู้ขับขี่ มีถึง 80% ได้แก่
1.1 ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นไม่สามารถหยุดรถได้ทัน มันก็ชน การขับรถบนถนนนั้นบอกแล้วไงว่าไม่ได้ขับอยู่คนเดียว ท่านต้องอ่านใจคนขับรถทั้งข้างๆ ข้างหน้าและข้างหลังด้วย จะต้องเดาใจว่าคนเหล่านั้นเค้าจะขับยังไง จะหยุด จะเลี้ยว หรือเปล่า ก็เพราะมีผู้ไม่ปฏิบัติตามกฏกติกามันจึงเกิดการชนกัน
1.2 ขับรถตัดหน้ารถอื่นในระยะกระชั้นชิด ไม่ตัวท่านเลี้ยวก็คนอื่นเลี้ยวตัดหน้า กฏหมายกำหนดไว้ห้ามเลี้ยวรถตัดหน้ารถอื่นในระยะ 100 เมตรสำหรับรถที่วิ่งสวน รถออกจากซอยหรือรถเลี้ยวเข้าซอยก็จะต้องดูให้ปลอดภัยจากรถทางตรง นั่นคือรถฝ่ายที่เลี้ยวมักจะเป็นฝ่ายประมาท ทำให้รถทางตรงได้ใจ กูมาทางตรงกูก็จะไปท่าเดียวพอเห็นว่าจะมีรถเลี้ยวยิ่งเพิ่มความเร็ว รถทางตรงก็มีส่วนประมาทหากพิสูจน์ได้ว่าขับรถใช้ความเร็วเกินกฏหมายกำหนด แล้วก็อย่าลืมกฏหมายจราจรระบุชัดเจน ให้รถทุกคันชะลอความเร็วลงขณะขับขี่ผ่านทางแยก สำรวจตัวเองหน่อยนะครับว่า ขณะท่านขับขี่ผ่านทางแยกท่านได้ปฏิบัติตามกฏหรือเปล่า
1.3 เปลี่ยนช่องทางเดินรถ ถ้ารถไปข้างหน้าด้วยกันก็ไม่น่าจะโดนกัน แต่เพราะไม่ได้เดินทางไปจุดหมายเดียวกันจึงเกิดปัญหา รถทางขวาจะไปซ้าย รถอยู่ทางซ้ายจะไปขวา ว่ากันให้ยุ่งไปหมด เรียกว่าขับรถไม่มีแผน ลองเปลี่ยนวิธีใหม่ รู้ว่าจะไปไหนแล้วก็ลองเลือกช่องทางให้ถูกต้อง จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทุกวันนี้เป็นการขับขี่แบบ “ซิกแซก” เลนไหนมีที่ว่างนิดก็จะแทรกเข้าไป ขับไปได้หน่อยพอรถข้างหน้าหยุดก็หักรถกลับเข้าช่องทางเก่า ผิดทั้งนั้น “เปลี่ยนช่องทางเดินรถโดยไม่ปฏิบัติตามกฏจราจร” เมื่อจะเปลี่ยนช่องทางเดินรถต้องให้สิทธิ์รถที่อยู่ในช่องทางนั้นๆก่อน นั่นก็คือต้องเปิดไฟกระพริบเลี้ยวขอทาง ถ้ารถที่เดินอยู่ในช่องทางยังไม่เปิดช่องให้ก็ยังนำรถเข้าไปไม่ได้
1.4 ขับรถในขณะที่ร่างกายหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ
(๑) เมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น เมื่อดื่มสุราหรือเครื่องดื่มบางชนิดที่กดประสาททำให้สมองรับสัญญาณและตัดสินใจช้าไปกว่าปกติ ตัดสินใจช้าไปเพียงวินาทีอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ สำคัญคือไม่มีใครยอมรับว่าตนเองเมา กฏหมายไม่ได้ถือเอาความเมาหรือไม่เมาเป็นเกณฑ์ แต่ใช้วัดปริมาณแอลกอฮอร์จากลมหายใจหรือจากในเลือด จำไว้ง่ายๆเพียงดื่มเบียร์ 2 แก้วก็อาจจะตรวจพบแอลกอฮอร์ในลมหายใจซึ่งท่านสามารถขับขี่รถได้
(๒) ง่วง หลับใน พักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ขับรถที่เกิดอาการเช่นนี้มักจะไม่ยอมรับ ผู้นั่งไปด้วยต้องสังเกต ถ้าเห็นขับรถช้าลงๆโดยไม่มีเหตุผล หรือเริ่มขับรถกระตุก ซึมไม่ค่อยพูดจา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเริ่มง่วงแล้ว
(๓) ไม่รู้เส้นทาง ไม่สนใจป้ายเตือน ทำให้รถลื่นไถล ตกถนน ตกลงเหว

2 สาเหตุจากรถ มีประมาณ 10% ของการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ไม่เคยตรวจสภาพรถก่อนเดินทางไกล สภาพรถไม่มั่นคงแข็งแรง ช่วงล่างมีปัญหารถไม่ยึดเกาะถนน สภาพยางเก่า ยางแข็ง ยางหัวล้าน ปั๊มน้ำ ฝาหม้อน้ำเก่า ระบบสายพานมีปัญหา การเดินทางไกลต้องตรวจเช็คเพราะการขับขี่ใช้ความเร็วเป็นระยะทางยาวอาจเกิดปัญหา การขับรถในเมืองกับขับรถทางไกลคนละเรื่องกัน ขับรถในเมืองรถวิ่งๆหยุดๆย่อมไม่มีปัญหา เดินทางไกลอัดยาวถ้าสภาพเก่าไม่ตรวจเช็คความพร้อมอาจเกิดปัญหาได้

3 สาเหตุจากถนน ไฟฟ้าส่องสว่าง ป้ายสัญญาณเตือน สภาพอากาศ ในส่วนนี้มีอยู่ประมาณ 10% เช่นถนนเป็นหลุม บ่อ น้ำขัง ฝนตกถนนลื่น ไม่มีป้ายบอกเตือนทางโค้ง ทางอันตราย มีวัสดุกีดขวางทางอยู่ข้างหน้า ไฟฟ้าส่องสว่างทางไม่มีหรือไม่สว่างเพียงพอ เป็นต้น

พิจารณาจากสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุแล้วปัญหาหลักใหญ่อยู่ที่ “คน” คือผู้ขับขี่ หากได้ใส่ใจ ศึกษาและปฏิบัติตามกฏจราจร มีสติสัมปชัญญะในการขับขี่และพึงระลึกอยู่เสมอว่าแม้ท่านจะได้ระมัดระวังแล้วอุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้เพราะผู้ที่ขับขี่ร่วมทางมิได้ใช้ความระมัดระวังหรือหาได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่

ขอให้ทุกคนที่ขับขี่รถ จงตั้งสติให้ดี พึงระลึกเสมอว่าการเดินทางครั้งต่อไป เพื่อไปสนุกเยี่ยมญาติ ไม่ได้ไปสู่ความตาย.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์