เอาชนะยาเสพติดไม่ใช่เรื่องยาก
นายกรัฐมนตรีประกาศเดินหน้าปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดฯเพื่อให้ขับเคลื่อนงานแก้ปัญหายาเสพติดตามนโยบายเร่งด่วนภายใน 1 ปี กำหนดกลยุทธสำคัญที่จะใช้ในการแก้ไขปัญหา 7 แผน 4 ปรับ 3 หลัก 6 เร่ง แค่หัวข้อกลยุทธก็เหนื่อยแล้ว ถ้าจะปราบกันจริงๆไม่ต้องมีแผนอะไรมาก ขอให้มีความจริงใจ ทำจริง ทำให้ต่อเนื่องก็พอ ยังไม่ทันเริ่มงานก็เจอน้ำท่วมเสียก่อน เรื่องน้ำท่วมกลายเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนแซงไปแล้ว
ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมสัมมนา นวัตกรรมทางนโยบายในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทย โดยสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2554 ณ โรงแรม ทีเค พาเลซ กรุงเทพฯ เหตุที่ได้รับเชิญเนื่องจากผมเป็น นายกสมาคมพลังแผ่นดินต้านภัยยาเสพติดกรุงเทพมหานคร และ เป็นหัวหน้านักวิชาการป้องกันยาเสพติดสมัชชามวลชนเพื่อความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ตำแหน่งอะไรไม่สำคัญ มันอยู่ที่ว่านำเสนออะไรที่เป็นประโยชน์บ้างหรือไม่
ผมรับราชการตำรวจตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 เกษียณเมื่อ พ.ศ.2546 ตลอดเวลา 35 ปีสู้กับยาเสพติดมาตลอด บางรัฐบาลให้คำว่า รบ ยังไม่มีฝ่ายไหนชนะร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ จะเอาสถิติมาเป็นตัววัดก็ยึดเป็นสาระอะไรมากไม่ได้ สถิติเป็นเพียงตัวบอกความขยันหรือขี้เกียจของผู้ปฏิบัติ สำหรับไว้ของบประมาณหรือตำแหน่ง ตัวเลขสถิติเป็นกลลวงจะให้เพิ่มหรือลดทำได้แล้วแต่จะต้องการ
สมัยที่รับราชการอยู่นครบาลมีการเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรม ประชุมรายงานผลการปฏิบัติทุกเดือน การวัดก็ต้องใช้ตัวเลขทางสถิติเพื่อแสดงว่าสถานีตำรวจใดจับกุมได้มากได้น้อย การปราบปรามยาเสพติดเป็นหัวข้อหนึ่งที่ต้องวัดกัน สถานีตำรวจใดที่มีผลการจับกุมน้อยจะถูกประจานในที่ประชุม แนวทางอธิบายของผู้มีสถิติจับกุมน้อยมี 2 ทาง (1) ผู้ปฏิบัติไม่ทำงาน หรือ (2) การแพร่ระบาดน้อยลง ส่วนผู้ที่มีผลการจับกุมสูงอาจได้รับคำชมหรืออาจจะถูกตำหนิ (1) ปล่อยให้ยาเสพติดแพร่ระบาดมาก (2) ผู้ปฏิบัติเอาใจใส่ขยันทำงาน แบบนี้คนทำงานด้วยปากก็สบาย
ผมมีลูกน้องฝีมือดีอยู่ สน.หนึ่งในนครบาล ผลงานการจับกุมยาเสพติดของ สน.นี้สูงมากๆ สูงตลอดทั้งปี ผู้ปฏิบัติได้รับโล่ปราบปรามดีเด่นจนไม่มีที่จะเก็บ วันหนึ่งความลับแตก หัวหน้าชุดปฏิบัติรู้กับผู้จำหน่ายมีการซูเอี๋ยกัน ผู้จำหน่ายจะโทรศัพท์บอกชุดปฏิบัติให้คอยดักจับลูกค้าจรที่มาซื้อยา ตำรวจขอจับแค่วันละ 10 รายหลังจากนั้นไฟเขียวจำหน่ายได้ แค่นี้สถิติจับกุมก็ถล่มทะลาย แต่ยาเสพติดมันจะหมดไหม การจับกุมยาเสพติดไม่ใช่เรื่องที่จะจับกันง่ายๆ ถ้าไม่อยู่ในวงการค้ายาไม่มีทางรู้ การข่าวต้องดี ข่าวมันก็ต้องมาจากนักค้ายา ถ้าไม่ค้าแล้วจะรู้ได้อย่างไร ผมเคยทำงานอยู่ในหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามยาเสพติด ต้องไปซุ่มดักเป็นวันๆยังจับไม่ได้ เหนื่อยและร้อนจนต้องวิ่งเต้นย้ายหน่วย แต่ปัจจุบันนี้ตำรวจส่วนใหญ่ขอไปอยู่ชุดปราบยาเสพติด แสดงว่ามันต้องมีอะไรดี
จ่าติ่งรับราชการอยู่กับผมมาขอร้อง อยากไปทำงานในชุดปราบปรามยาเสพติด ผมก็บอกว่ามันเหนื่อยและตรากตรำมากอย่าไปเลย จ่าติ่งบอกต้องการหาประสบการณ์ก็เลยให้ไป ยังไม่ทันข้ามปีจ่าติ่งก็ซื้อรถปิกอัพใหม่ป้ายแดง ผมเกษียณไปแล้วได้มีโอกาสพบจ่าติ่งอีก ความเป็นอยู่ของจ่าติ่งดีขึ้นจนเห็นชัด สอบถามได้ความว่ายังอยู่ในชุดปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นงานที่เค้าชอบมากแต่กำลังจะถูกผู้บังคับบัญชาสับเปลี่ยนหน้าที่ วันนั้นจ่าติ่งเลี้ยงข้าวผมสั่งเบียร์มาดื่ม ความลับเริ่มคายออกมา ทุกวันนี้นักค้ายาเสพติดฉลาดมักจะนำเงินสดติดตัวเป็นเรือนแสน (เว้นแต่พวกรับจ้างขนกระจอกๆที่มีแต่ตัวกับชีวิต) พอจับได้ก็จะมีการต่อรองลดจำนวนยาของกลาง จากพันเม็ดก็เหลือสัก 20 เม็ด ยื่นหมูยื่นแมวกันหลายแสนบาท พันเม็ดกับ 20 เม็ดผลต่อทางคดีต่างกันมาก พันเม็ดติดคุกยาวแต่ 20 เม็ดประกันได้อาจไม่ติดคุกถ้าอ้างเป็นผู้เสพ เพราะผู้เสพเป็นผู้ป่วยต้องส่งบำบัด จ่าติ่งเอาเงินแต่ก็จับด้วยเพื่อเอาสถิติจับกุม ถ้าจะปล่อยไปเลยไม่มีการจับจ่าติ่งไม่ทำ ผู้บังคับบัญชารักจ่าติ่ง ทำงานหน่วยนี้ได้นาน เรียกว่าได้ทั้งเงินทั้งกล่อง ผมไม่กล้าถามว่ายาเสพติดของกลางที่ลดจำนวนในบันทึกจับกุมคืนให้ผู้ถูกจับไปหรือยึดไว้ ไม่อยากรับรู้ข้อมูลอันนี้เลย สงสารประเทศ
ผมเล่าให้ที่ประชุมฟังทุกคนเงียบกริบ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครนำมาพูดกัน มันจึงเป็นการเกาไม่ถูกที่คัน ตำรวจอย่ามาเกลียดผมนะ ตำรวจดีๆก็มีและมีจำนวนมากกว่าตำรวจเลว กรมตำรวจหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงอยู่ได้ทุกวันนี้ ตำรวจดีก็มีเป็นลูกน้องผมด้วยเป็นตำรวจทางหลวงชื่อ จ่าพงษ์ศักดิ์ฯ ตรวจรถยนต์พบยาเสพติด คนขับติดสินบนเจ็ดแสน จ่าพงษ์ศักดิ์ฯไม่ยอมคนขับรถเพิ่มเป็นล้าน เกือบโดนข้อหาให้สินบนเจ้าพนักงานแถมอีกข้อหา เรื่องจริงในสมัย ผบ.สันต์ฯ ผบ.สันต์ฯทราบเลยให้รางวัลจ่าพงษ์ศักษ์ฯเป็นแสนเหมือนกัน ผมเชื่อว่าตำรวจดีทุกคนแต่บางคนความจำเป็นมันบังคับ
มาถึงตอนที่ผมเสนอแนวทางเอาชนะยาเสพติดซึ่งคณะกรรมการรับฟังและบันทึกไว้เพื่อนำเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรี
(๑) การสร้างชุมชนเข้มแข็งให้สามารถดูแลตนเองได้ ข้อนี้เป็นของเก่าทุกรัฐบาลต้องหยิบยกขึ้นมา ข้อนี้สำคัญจริงๆ ถ้าชุมชนแข็งแล้วชนะไป 80 % วิธีสร้างชุมชนเข้มแข็งเป็นอย่างไรอยู่ในกลยุทธของรัฐบาลแล้ว แต่อีก ๒ ข้อต่อไปนี่ซิยังไม่มีใครคิด
(๒) แก้กฎหมายให้ประชาชนสามารถจับกุมคดีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดในกรณีเป็นความผิดซึ่งหน้า พูดง่ายๆก็คือให้ประชาชนธรรมดาสามารถจับกุมได้ ข้อนี้จะไปสนับสนุนข้อที่ ๑ การที่จะให้ชุมชนเข้มแข็งก็ต้องให้อาวุธเขาด้วย ทุกวันนี้จะจับกุมได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน คำว่าเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานนั้นหมายถึงเจ้าพนักงานจะต้องอยู่ ณ ที่ปฏิบัตินั้นด้วย อย่าไปยืมจมูกเจ้าพนักงานหายใจเลย หายใจด้วยจมูกตนเองบ้างซี วิธีการไม่ยากเพียงแก้บัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาที่กำหนดความผิดให้ราษฎรสามารถจับกุมได้ โดยเพิ่มความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษเข้าไปด้วย คนไม่รู้จริงจะอ้างว่าเดี๋ยวจะเป็นอันตราย จะกลัวอะไรในเมื่อความผิดที่ราษฎรสามารถจับกุมได้มีคดี ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย ฯลฯ ความผิดพวกนี้ไม่อันตรายกว่า คนที่ยกมาโต้แย้งน่าจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการยาเสพติด
(๓) ให้มีสารวัตรปราบปรามยาเสพติดประจำ สถานีตำรวจ ไม่ต้องไปเพิ่มตำแหน่งใหม่เปลืองเงินงบประมาณ ทุกสถานีตำรวจมีสารวัตรตั้งหลายสารวัตร ลองเปลี่ยนมาให้รับผิดชอบเฉพาะยาเสพติดสักสารวัตรซิ เรียกว่าให้มี เจ้าภาพ ทำงานเฉพาะยาเสพติดอย่างเดียว น่าจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด (ตำรวจเก่ารู้ดี)
(๔) แก้กฎหมายให้สารวัตรปราบปรามยาเสพติดสามารถทำการตรวจค้นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ทั้งกลางวันและกลางคืน เท่ากับติดอาวุธพิเศษให้กับสารวัตรยาเสพติดด้วย
สิ่งที่ผมเสนอไปไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ ถ้าถือว่าการปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เรื่องที่ผมเสนอไปนี้ยังน้อยด้วยซ้ำ ถ้าหากต่อไปมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายไปตามแนวทางที่ผมเสนอก็ต้องเครดิตผมด้วยนะครับ.