ตำนานความหล่อ
ผมเกิดก่อน๒๕ศตวรรษ วัยหนุ่มก็พบว่าชายทำหล่อกันแล้วไม่เฉพาะแต่หญิงที่ทำสวย สมัยโน้นผู้ชายไม่มีแต่งหน้า ทาปาก ลองพื้น อย่างมากก็ประแป้ง หวีผม เรื่อง"เส้นผม"ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไปไหนต้องพกหวี ปาดซ้ายทีขวาที เส้นผมติดเป็นแผงด้วย"ตันโจติ๊ก" ข้างบนตัดเตียนติดหนังหัว"ทรงลานบิน" ใครหัวล้านช้ำใจหน่อยไปไหนก็ต้องสวมหมวก ร้านตัดผมสมัยนั้นมีน้อย ร้านไหนฝีมือดีหนุ่มๆไปเข้าคิวรอตัด ส่วนมากจะบอกต่อๆกันไป ร้านดังๆมี "ร้านพงษ์เทพ"บางลำพู "ร้านเทพนิยม"บ้านหม้อ ปากคลองตลาด "ร้านมนูศักดิ์"ย่านถนนเพชรบุรี ร้านนี้พวกดาราตัดกันเยอะ มีช่างฝีมือดีชื่อ"อุสมาน" หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าไปได้แชมป์ตัดผมมาจากประเทศญี่ปุ่นคนเลยแห่กันไปตัด ช่างอุสมานรายได้ดีมีตังส์ออกรถเก๋ง เจ้ารถนี่แหละพาไปสู่จุดจบ เกิดอุบัติเหตุช่างอุสมานเสียชีวิต ลูกค้าขาประจำพลอยเศร้า ร้านมนูศักดิ์ขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบทรงผม ทำวิก ทำหนวด ทำจอนหู สาวกเอลวิสเพรสลี่ย์มาทำหล่อกันที่นี่ ส่วนตัวผมวิ่งรอกตัดอยู่สองที่ นั่งรถรางไปตัดที่ร้านพงษ์เทพ บางลำพู บางทีก็เทพนิยมบ้านหม้อ ทรงผมที่นิยมกันนอกจาก "ทรงลานบิน" ก็คือ ทรง"เฟเบี้ยน" ข้างๆไว้ยาวตีโป่ง ข้างบนดึงให้ชะโงกแบบมดแดงชะเง้อ ร้านดังๆค่าตัด ๑๐ บาทขึ้นเป็นห้องแอร์ ร้านธรรมดาห้องพัดลม ๗ บาท ร้าน "ลมโชย" (ไม่มีทั้งแอร์และพัดลม) ผู้ใหญ่ ๕ เด็ก ๓ ถ้าตัดด้วยปัตตาเลี่ยนขยับมือก็ ๓ บาท ฝีมือช่างจะดีไม่ดีอยู่ที่การ "เป่าผม" (Drier) ตอนหลังๆมีการ "ดัด"ทำให้ผมฟู หวีตีโป่งสไตร์เอลวิสใช้น้ำยา "ดัดเทียม" น้ำยาแรงน่ากลัวมาก มีส่วนผสมเป็นโซดาไฟ ทาชโลมผมทิ้งไว้ ๕ นาทีแล้วล้างออกเป่าให้แห้งผมจะหยิกไปทั้งหัว ถ้าเผลอปล่อยนานไว้เกิน ๑๐ นาทีเส้นผมอาจจะหลุดหมดหัวเลย ต่อมามีการพัฒนาเป็น "ดัดเย็น" ม้วนหลอด ใช้หลอดใหญ่ให้ด้านข้างพอง ด้านบนชะเง้อ ค่าตัดผมยังไม่ค่อยเท่าไหร่นานๆตัดที ตัวเปลืองตังส์คือ ค่า สระ ดราย ครั้งละ ๗ บาท ที่ว่าเปลืองเพราะต้องทำเกือบทุกวัน หาวิธีประหยัด สระเองด้วย"แฟร์ซ่า" แล้วใช้หลอดไฟฟ้า ๑๐๐ แรงเทียนเปิดไฟให้ร้อนแล้วนาบเส้นผมกับหวีแทนการใช้เครื่องเป่า (ไม่มีตังส์ซื้อ) บางทีก็ใช้มือปั่นขยี้เส้นผมแทนการ "ดัด" เป็นการทำร้ายเส้นผมโดยไม่รู้ตัว กว่าจะสำนึกได้หัวเกือบล้าน
ในที่สุดก็ค้นพบช่างที่ทำผมถูกใจชื่อ"ขุนแผน" เป็นช่างประจำที่ร้านเทพนิยม ไปตัดทีไรต้องรอคิวไม่ต่ำกว่า ๓ คน ขุนแผนจะใช้กรรไกรซอยไม่ใช้ปัตตาเลี่ยน ความที่มีลูกค้าติดมากขุนแผนคิดหาทางรวยโดยออกไปเปิดร้านของตัวเองชื่อร้าน "ขุนแผน" อยู่แถวตลาดพลู ดาราแห่ตามไปตัด มี ชาณีย์ ยอดชัย, ยอดชาย เมฆสุวรรณ ฯลฯ ส่วน "น้าบัติ" (สมบัติ เมทะนี) ดารายอดนิยมตัดกับ "ช่างเตี้ย"บางลำพู ตลาดยอด "ขุนแผน"เปิดร้านอยู่ไม่นานก็เริ่มมีตังส์ซื้อรถเก๋งขี่ ความที่ยังขับรถไม่ค่อยเก่งวันหนึ่งขุนแผนก็ขับรถไปชนท้ายรถเมล์ ขุนแผนหัวใจวายตายคาพวงมาลัย ผมกับพวกดาราต้องไปค้นหาช่างตัดผมกันใหม่ ไม่ช้าก็ไปได้ช่างชื่อ"เนื่อง" แห่งร้าน"โรมิโอ" สยามสแควร์ "เนื่อง"มีฝีมือทางเป่าผมเรียบกริบราวกับใช้เตารีดไฟฟ้านาบ กลับมาบ้านปรากฏว่าหนังหัวพอง ตัดผมอยู่กับ"ช่างเนื่อง"อยู่ไม่นาน "ช่างเนื่อง"ก็เปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดู นักพยากรณ์ ศึกษาทางจิตวิญญาณ เป็นศิษย์อาจารย์ฤาษีลิงดำ รับจ้างตั้งศาลพระภูมิ ตอนหลัง"ช่างเนื่อง"เริ่มแต่งชุดขาวเดินถือไม้เท้า ท่าทางเพี้ยนๆ ผมเลยต้องหาช่างตัดผมใหม่อีก ไปได้ช่างชื่อ"เฮม" อยู่ร้าน"สุทโธ"ย่านสยามสแควร์ "เฮม"เป็นมุสลิมมีอัธยาศัย ชวนผมไปเที่ยวบ้าน อยู่แถวบางบัวทอง "เฮม"เลี้ยงแพะไว้หลายตัว แต่ละตัวเชื่องชอบให้ผมลูบหลังเล่น วันหนึ่ง"ช่างเฮม"ชวนผมไปกินบุญที่บ้าน พาเพื่อนๆไปด้วยอีกหลายคน ถามหาแพะตัวที่ผมชอบ "เฮม"บอกว่า ที่เชิญมากินบุญก็คืออยากให้กิน"กูละหม่าแพะ" อยากจะร้องไห้ เจ้าแพะตัวโปรดของผมกลายเป็นกูละหม่าไปแล้ว ไม่นาน"เฮม"ก็เลิกตัดผมไปเอาดีทางนายหน้าขายที่ดินกับเลี้ยงแพะแทน ผมต้องหาช่างตัดผมใหม่อีก คราวนี้ได้"บังหมาน"เป็นอิสลาม "บังหมาน"ไม่มีร้านประจำ วิ่งรอกตัด แล้วแต่ลูกค้าจะให้ไปที่ไหน จะให้ไปตัดที่บ้านก็ได้ "บังหมาน"ชอบเล่าให้ฟังถึงความเป็นชายชาตรีของเขา พูดแล้วก็จะกำมือทุบอกตัวเองเสียงดัง "บึกๆ" บ่งบอกถึงความแข็งแก่รงพร้อมกับเปิดเผยว่ามียาดี ประเภท"ยาโด๊ป" ใครไปตัดผมกับ "บังหมาน"มักจะได้รับแจกยาโด๊ปให้ ๒ เม็ด เป็นวิธีการตลาดของบังหมาน ลูกค้าติดใจก็เลยต้องตัดผมประจำกับบังหมาน และ บังหมานก็มีผลพลอยได้จากการขายตรงยาโด๊ปไปด้วย
"บังหมาน"ใจดีพาผมไปเที่ยวบ้านที่บางบัวทอง ใกล้ๆกับบ้าน"บังเฮม" นัยว่าเป็นญาติกันด้วย ผมรู้จักกับภรรยาของ"บังหมาน" รูปร่างท้วมเป็นแม่บ้านและชอบเลี้ยงต้นไม้ "บังหมาน"คุยให้ฟังเสมอว่ามุสลิมมีภรรยาได้ถึง ๔ คนจนผมอิจฉา วันหนึ่งตัวผมต้องการจะตัดผม ติดต่อบังหมานทางมือถือไม่ได้เลยโทรไปตามที่บ้านบางบัวทอง ภรรยาบังหมานรับสาย ผมสอบถามหาบังหมาน บอกว่าต้องการตัดผม ภรรยาบังหมานซึ่งรู้จักผมดีบอกว่า "ไม่ให้เข้าบ้านแล้ว เขาไปมีเมียใหม่ ก็ไอ้เจ้ายานั่นแหละ" ผมนึกถึง"ยาโด๊ป"ที่บังหมานคุยสรรพคุณนักหนาเลยพาให้บังหมานต้องเดือดร้อน ผมบอกกับภรรยาบังหมานว่า "มุสลิมมีภรรยาได้ถึง ๔ คนไม่ใช่หรือ" ภรรยาบังหมานรีบสวนกลับทันที "แต่สำหรับฉันไม่ได้(ลงเสียงหนัก) ถ้าจะมีใหม่ ก็อยู่ในบ้านฉันไม่ได้" ซวยอีกผม ต้องหาช่างตัดผมใหม่อีกแล้ว
ปัจจุบันร้านดังๆที่ว่าหายไปเกือบหมด ช่างชุดเก่าอาจจะหมดสภาพหรือตาย ถ้ายังอยู่ก็คงจะมือสั่นจับกรรไกรไม่ไหว ร้านตัดผมมีการวิวัฒนาการตกแต่งร้านให้ดูทันสมัย โมเดิลขึ้น เรียกตัวเองว่า "บิวตี้-ซาลอน" ทำผม เสริมสวยทั้งผู้หญิงผู้ชาย ราคาก็ค่อนข้างสูงตามวิวัฒนาการตกแต่งร้าน ผมเคยไปให้ คุณสมศักดิ์ ชลาชล (เพื่อนกัน) แห่งร้าน "ชลาชล" แต่งผมให้ คุณสมศักดิ์ฯบอกว่า "พี่ๆ ของพี่นี่ต้องไปร้าน บาร์เบอร์" ผมเลยคิดในใจว่า เราเป็นคนรุ่นเก่าคู่ควรกับร้านแบบเก่ามากกว่า
ร้านตัดผมของคนรุ่นเก่าราคาปรับตัวไม่ค่อยสูง เริ่มตั้งแต่ ๓ บาท(ร้านลมโชยเกศา) ๗ บาท ๒๐ บาท ๔๐ บาท ๑๐๐ บาท ๑๒๐ บาท ปัจจุบันราคาขึ้นอยู่กับร้านว่าเป็นแบบไหน ถ้า HI SO ก็เป็นหลักพัน ถ้าเป็นร้านห้องแถวก็ยังอยู่ที่หลักร้อย (ค่าทิปอีกต่างหาก) ถ้าจะตัดราคาถูก ช่างฝีมือดี ต้องไปที่ "โปโลคลับ" (ไม่ได้เป็นสมาชิกก็เข้าไปตัดได้ ไม่ได้เช็คบัตร) ราคา ๖๐ บาท ตัดเสร็จส่งให้ ๑๐๐ บาทแล้วเดินออกร้านไปเลย เป็นที่รู้กันว่าที่เหลืออีก ๔๐ บาทเป็นค่าทิป
ความลับของร้านตัดผม(บางร้าน)คือ แชมพูสระผม ก่อนสระผมช่างจะเอาแชมพูมาให้เลือกว่าจะเอายี่ห้ออะไร หยิบขวดสวยๆหลากหลายยี่ห้อ ชี้ไปขวดไหนช่างก็ว่าดีไปหมด เราเลือกยี่ห้อที่ดังๆ สระเสร็จช่างก็จะเหยาะ "โทนิค"ลงบนหัว รู้สึกเย็นๆด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์ ช่างก็โฆษณาว่าเป็นโทนิคบำรุงเส้นผม แนะนำให้ใช้ เมื่อไปสระผมครั้งต่อไปช่างก็จะบอกว่า "เส้นผมท่านไม่มีหลุดเลยครับ ใช้โทนิคที่ผมแนะนำหรือเปล่า" เราตอบ "อือ" (แปลว่าอะไรยังตัวเองไม่รู้เลย) ความจริงกลับไปบ้านสระเองก็ไม่เคยใช้โทนิคอะไร (ช่างกลายเป็นเซลล์ขายโทนิคใส่ผมไปแล้ว) เปิดประตูเข้าห้องน้ำผิด ดันเข้าไปห้องเก็บของหลังร้าน พบเด็กกำลังกรอกน้ำยาสระผมลงในขวดยี่ห้อต่างๆ อ้าว
..!!!ที่ช่างเอามาให้ดูขวดสวยๆหลากหลายยี่ห้อมันบรรจุเองหลังร้านนี่หว่า รีบไปถามช่างประจำ มันยังไงกันแน่ ช่างรีบกระซิบที่หู "น้ำยาปอนด์ครับ เจ้าของร้านซื้อยกแกลลอนมาจากแถวพรานนก" พร้อมกับกระซิบต่อไปอีกว่า "ท่านหาซื้อส่วนตัวมาใช้เองดีกว่า" จากนั้นตัวผมก็เลยใช้บริการตัดอย่างเดียว กลับไปสระเองที่บ้าน.