บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
โจรดวงซวย
ช่วงที่ผมรับราชการตำรวจอยู่ฝ่ายปราบปรามก็มีความคิดเหมือนกับพวกมือปราบทั้งหลาย คืออยากจะเจอกับอาชญากรรมซึ่งๆหน้าจะได้ซัดกับมันซักตั้ง ตอนหนุ่มๆมันฮึกน่าดู เห็นพวกโจรต้องปรี่เข้าใส่แบบไม่กลัวตาย อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์พูดง่ายๆ “อยากดัง”ว่างั้นเถอะ เวลาเดินทางไปไหนต้องฟังวิทยุตำรวจ(ว๊อคคี้-ท๊อคคี้)ไปด้วย เวลากลับถึงบ้านก็เปิดอีก ซ้ำเวลานอนดันเปิดไว้ที่หัวเตียงจนเมียรำคาญบอกว่า “ปิดมันซ๊ะบ้างได้ไหม ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน” มันเป็นอย่างนี้จริงๆ วิทยุตำรวจจะแจ้งข่าวอาชญากรรมตลอดเวลาว่าขณะนี้เกิดเหตุปล้นทรัพย์,ชิงทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ที่ไหน คนร้ายรูปพรรณยังไง หนีไปทางไหน ยานพาหนะใด พวกมือปราบที่อยู่ใกล้เคียงก็จะรีบไปสกัด จนเกิดเหตุยิงคนร้ายพร้อมตัวประกันรวม ๓ ศพที่ถนนวิภาวดีรังสิต กทม.เมื่อ ๒๐ ปีก่อนเป็นตัวอย่างให้เห็น ผมกำลังจะบอกกับท่านผู้อ่านว่าขณะที่ท่านเดินทางไปบนถนนด้วยยานพาหนะใดก็ตาม ยานพาหนะข้างๆท่านอาจจะมีอาวุธร้ายแรงเช่นปืนพก,ปืนกลยิงเร็วอยู่ด้วย ก็พวกมือปราบทั้งหลายรวมทั้งพวกโจรและไม่แน่พวกทหารหรือผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยก็อาจจะมีอาวุธร้ายแรงเช่นกัน จำเอาไว้สถานที่ๆไม่ปลอดภัยที่สุดคือบนถนนในขณะเดินทาง ขับรถให้ดีมีมรรยาทสุภาพอย่าแซงแทรกปาดหน้าจี้ท้ายบีบแตรโดยไม่สมควร ท่านไม่รู้ว่ารถข้างๆท่านเป็นใคร เคยมีเรื่องยิงกันตายเพราะการขับขี่รถมามากต่อมาก(พวกเจ้าหน้าที่ๆมีอาวุธดังที่กล่าวมาแล้วเวลาโมโหขึ้นมาบางทีก็แยกไม่ออกว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือโจร) เรื่องของความไม่ปลอดภัยลักษณะนี้ผมเคยเขียนไปแล้วสนใจหาอ่านได้

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมและพวกมือปราบฮึกเหิมก็คืออยากจะทำ “วิสามัญฆาตรกรรม”หมายถึง“การฆ่าโดยเจ้าพนักงานโดยอ้างว่าเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่และเป็นการป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ” พูดตามภาษาชาวบ้านว่า “ฆ่าคนฟรี ไม่ติดคุก” นอกจากจะดังจนได้ชื่อว่า “มือปราบพระกาฬ”แล้วยังได้พิจารณาบำเหน็จ ๒ ขั้นเพราะถือเป็นการปฏิบัติงานเสี่ยงอันตราย ตำรวจทุกคนร่ำเรียนมาครับเรื่องการใช้อาวุธปืนยิงแบบฉับพลัน ยิงในสภาวะคับขัน ในสภาวะวิกฤต การยิงปืนต้องแม่นยำราวจับวาง การตัดสินใจต้องดี เพราะการยิงในสภาวะวิกฤตเช่นคนร้ายเอาปากกระบอกปืนจี้ที่หัวตัวประกันอยู่เราจะต้องเล็งปืนให้ตรงที่สมองส่วนกลางของคนร้ายซึ่งเป็นจุดควบคุมศูนย์สั่งการ ปล่อยกระสุนปืนให้เข้าเป้าคนร้ายจะขาดใจตายทันทีไม่มีโอกาสเหนี่ยวไกปืน แต่กระสุนปืนพลาดเป้าตัวประกันตายร้อยเปอร์เช็นเพราะพอเสียงปืนดังคนร้ายตกใจเหนี่ยวไกปืนทันที ผลคือตัวประกันตาย ผู้ที่ชำนาญการใช้อาวุธลักษณะนี้ต้องฝึกกันมากเช่นเอาเหรียญบาทโยนแล้วยิงเหรียญกระเด็น เอาผลส้มวางบนศรีษะแล้วยิงผลส้มแตก(ไม่ใช่ศรีษะแตก) นั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์แล้วเอี้ยวตัวยิง วันหนึ่งๆไม่ต้องทำอะไรซ้อมยิงปืนอย่างเดียว บ้านเรามีมือดีๆหลายคนในหน่วย “สวาท”ของตำรวจนครบาล หน่วย “อรินทราช”ของกองปราบ ของพวกทหารมีอีกเป็นร้อยหน่วย พวกเหล่านี้ฝีมือเหนือชั้นกว่าโจรชนิดเทียบกันไม่ได้ แต่โจรพวกมือปืนบางรายฝีมือดีผมเลยสงสัยว่าพวกที่ได้รับการฝึกจากหน่วยเหล่านี้มารับงานหรือเปล่า

เข้าเรื่องโจรดวงซวยดีกว่า ในชีวิตรับราชการของผมเจอเหตุการณ์ที่โจรปฏิบัติการซึ่งหน้าไม่กี่ครั้ง (ทำความเข้าใจก่อนนะครับที่ผมใช้คำว่า “โจร”หมายถึง “ผู้กระทำผิด”ผมชอบใช้คำนี้เพราะเป็นภาษาชาวบ้านดี) ย้อนไปครั้งผมเป็นสารวัตรอยู่ที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจนครบาลใต้ ผมได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนปราบปรามการโจรกรรมรถ ท่านทราบไหมครับใน กทม.รถยนต์หายเฉลี่ยวันละ ๒ คัน รถจักรยานยนต์วันละ ๕ คัน การสืบสวนเรื่องรถถูกโจรกรรมเป็นเรื่องยากที่สุดเพราะรถมันไปตามถนนซึ่งเชื่อมต่อกันได้ทั่วประเทศไม่รู้ว่ากี่หมื่นกิโลเมตร กว่าเรื่องจะมาถึงมือผู้ปฏิบัติไม่รู้ว่ารถที่หายถูกพาไปถึงไหนแล้ว หรือจะซุกอยู่ในที่ลับตาใกล้ๆแล้วเปลี่ยนแปลงสภาพถอดชิ้นส่วนขายก็หากันไม่เจอแล้ว เวลาผมทำงานเรื่องนี้ก็จะนำกำลังไปปักหลักในจังหวัดในจังหวัดที่มีไร่มากๆมีรถกระบะเยอะๆเช่นจังหวัดกาญจนบุรี,ชลบุรี เวลาไปทำงานจะมีลูกน้องไปกันเป็นสิบ ใช้รถยนต์หลายคันเพื่อกระจายกำลังทำงาน รถแต่ละคันมีเครื่องมือสื่อสารถึงกัน แน่นอนทุกคนมีอาวุธปืนพร้อมใช้งานและแต่งกายนอกเครื่องแบบ พวกเรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องทะเบียนรถ เช่นป้ายทะเบียนอันไหนเป็นของขนส่ง อันไหนเป็นของกรมตำรวจ อันไหนเป็นฝีมือร้านค้าเอกชน รถรุ่นไหนปีไหนควรจะมีป้ายทะเบียนอักษรใด เรารู้แม้กระทั่งตัวถังรถ กันชนรถ ที่ปัดน้ำฝนรถ กระจกรถว่าอันไหนผลิตในประเทศ อันไหนนำเข้า อันไหนไม่มีการนำเข้า ตลอดจนการตรวจเอกสารการต่ออายุภาษีประจำปีที่ติดหน้ารถ เมื่อพบพิรุธเราจะตรวจสอบกับศูนย์ข้อมูลทางวิทยุ วิธีการนี้ทำให้พวกผมสามารถติดตามรถหายกลับคืนมาได้ครั้งละเป็นสิบคัน

วันหนึ่งกลางเดือนเมษาอากาศร้อนขณะที่พวกเราไปปฏิบัติงานดังกล่าวที่จังหวัดชลบุรี พักกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารป่ามีชื่อ(จำชื่อไม่ได้)อยู่ที่หนองชาก อำเภอบ้านบึง ร้านนี้คนนิยมมากินกันมากมีอาหารป่านานาชนิด เป็นร้านอาหารคูหาเดียวไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ คิดดูอาหารก็เผ็ดร้อนรสจัดอากาศก็อ้าวกินไปเหงื่อยไหลย้อยทีเดียว วันนั้นคนนั่งกินเต็มร้านซึ่งมีประมาณ ๑๐ กว่าโต๊ะจนต้องเสริมโต๊ะออกมาที่ทางเดินเท้าหน้าร้าน พวกเรา ๑๐ คนโต๊ะใหญ่เอา ๒ โต๊ะเรียงติดกันนั่งอยู่ตอนกลางๆของร้าน พวกเราแต่งกายนอกเครื่องแบบปืนผาหน้าไม้เก็บเอาไว้ที่รถจอดหน้าร้าน ก็พวกเราหน้าตายังกับโจร(เป็นธรรมชาติของพวกนักสืบต้องไว้หนวดเคราผมยาวแล้วยังสวมแว่นดำเข้าไปอีกด้วย) ถ้าพวกเราพกปืนติดตัวเข้าไปอีกจะกลายเป็นเท็กซัสเมืองคาวบอยสมัยก่อนไป ขณะกำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อยก็มีหนุ่นวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้าทางหน้าร้านผ่านโต๊ะพวกเราไป ชายหนุ่นผู้นี้แต่งกายธรรมดานุ่งกางเกงขายาวสวมเสื้อเชิ้ตปล่อยชายเสื้อคลุมกางเกง ตอนเดินผ่านเราไปพวกเราไม่ทันสังเกตก็คนกำลังจะกิน แต่วินาทีต่อมาซิได้ยินเสียงดัง “ปัง”พร้อมคนหวีดร้องไม่เป็นส่ำ ไอ้หนุ่นคนนี้วิ่งผ่านเราไปทางหน้าร้านมือข้างขวาถือปืน เห็นแป๊บเดียวรู้เลยว่าเป็นปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ที่ชาวบ้านเรียก “ค้อนตราควาย” โต๊ะในสุดเป็นผู้ชายนอนดิ้นพราดๆเลือดกระเด็นแดงฉาน พวกเรา ๑๐ คนลุกจากโต๊ะอาหารโดยไม่มีใครสั่งใครต่างวิ่งไปที่รถ ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ปืนมันอยู่ที่รถ ทุกคนวิ่งไปเอาปืน ค่าอาหารไม่ต้องจ่ายมันละเสร็จกิจแล้วค่อยกลับมาจ่าย จะไปล่ามือปืน ส่วนคนถูกยิงเป็นหน้าที่ของชาวบ้านที่อยู่ในร้านมีอีกเยอะ พอพวกเราขึ้นรถมองไปที่คนร้ายพบว่ามันขี่รถมอเตอร์ไซด์คนเดียวนำหน้าเราไปประมาณ ๓๐๐ เมตร พวกเราขับตามเสียงเครื่องยนต์รถเร่งเครื่องดังสนั่นกลัวจะชนกันเอง บอกแล้วไงว่า “คนร้ายดวงซวย”ไม่ได้ดูยาม”อุบากอง”มาก่อนดันเข้าไปยิงคนในที่ๆมีตำรวจมือปราบอยู่ ๑๐ กว่าคน คนร้ายรู้ว่าขืนขับรถหนีไปตามทางตรงกูตายแน่เพราะหนีความเร็วรถยนต์ไม่ได้ ไอ้หมอนี่ฉลาดมันหักรถหลบลงไหล่ทางลงทุ่งนาขี่ข้ามหัวคันนาไปได้ พวกผมนั่งรถยนต์ไปหมดท่าไม่สามารถขับข้ามหัวคันนาได้ จะเอาปืนยิงคนร้ายเลยระยะห่างขนาดนั้นหวังผลไม่ได้แต่ที่สำคัญไทยมุงขับรถตามไปดูอีกเป็นสิบ การยิงคนร้ายข้างหลังมันไม่ใช้การป้องกันตัวแล้วมีประชาชนเห็นเยอะแยะอย่างนี้ติดคุกลูกเดียว จากถนนเป็นทุ่งนาดินแห้งประมาณ ๒๐๐ เมตรก็จะเป็นไร่อ้อยต้นอ้อยขึ้นสูงเลยหัวเนื้อที่เป็นสิบๆไร่ คนร้ายทิ้งรถมอเตอร์ไซด์วิ่งหลบเข้าไปในไร่อ้อย ผมวิทยุสั่งการให้พวกเรานำรถไปกระจายล้อมไร่อ้อยแล้วให้ลงจากรถล้อมวงไล่คนร้ายออกจากไร่อ้อย โดยผมไม่ลืมกำชับให้ระมัดระวังเรื่องการใช้อาวุธปืน ไม่ใช่อะไรเกรงไปโดนพวกเดียวกันหรือพลาดไปโดยประชาชน คนร้ายเข้าดงอ้อยแล้วมองไม่เห็นตัว แต่ที่บนถนนมีไทยมุงดูตำรวจล้อมจับคนร้ายไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน พวกเราดาหน้าเข้าไร่อ้อยทางด้านถนนพยายามไล่คนร้ายไปทางด้านหลังเพื่อจะทำ “วิสามัญ”โดยไม่ให้ประชาชนเห็นภาพอันน่าเกลียด เราใช้วิธีตระโกน “ออกมามอบตัวเสีย เจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว” มีตำรวจที่มือมันบางคนดันตระโกนไปว่า “แม่งซ่อนในดงอ้อย ไม่ออกมายิงแม่งเลย”ว่าแล้วก็ยิงปืนขึ้นฟ้า พอเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัดไอ้ลูกน้องเราคนอื่นๆก็พลอยมันยิงกันใหญ่ส่วนมากยิงขึ้นฟ้า ห้ามใครก็ไม่ฟังแล้วอีกอย่างแต่ละจุดอยู่ไกลกัน ท่านเป็นคนร้ายจะคิดยังไงครับระหว่างกบดานอยู่ได้ยินเสียงปืนตำรวจดังขึ้นรอบทิศและยังมีเสียงสั่งให้ยิงอีก ให้เป็นโจรอำมหิตขนาดไหนกลัวตายทุกคน ประมาณ ๑๐ นาทีตำรวจก็ยังยิงปืนกันต่อเนื่องพร้อมเดินลุยไร่อ้อยปากก็ตระโกนจะยิงท่าเดียว ผมกับจ่าเชื้อซึ่งเป็นคนขับรถของผมยืนอยู่ระหว่างไร่อ้อยกับถนน ทันใดก็ได้ยินเสียงคนร้ายตระโกนจากไร่อ้อยด้านที่ผมอยู่ “ผมยอมแล้วครับ ๆ”สิ้นเสียงก็เห็นชายคนร้ายออกมาจากไร่อ้อยมือยังถืออาวุธปืนอยู่ ผมนึกในใจ “ไอ้ห่า มึงดันหนีออกมาทางด้านมีผู้คน” ผมหันไปดูบนถนนห่างจากตัวผมไปประมาณ ๓๐ เมตรคนเป็นร้อย คนแห่มาดูเพราะได้ยินเสียงปืน จ่าเชื้อไวกว่าผมกระตุกปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .๓๘ออกมาเล็งไปที่คนร้าย ผมรีบกระโดดขวางจ่าเชื้อแล้วบอกว่า “มึงอย่าน๊ะ ข้างหลังมึงพยานเป็นร้อย มึงอย่าเสี่ยงคุกเลย”จ่าเชื้อหันกลับไปดูข้างหลังก็เลยต้องเก็บปืน ผมว่าคนที่ยืนดูอยู่คงเสียดายเชื่อว่ามีบางคนอยากให้ยิง แต่เรื่องกฎหมายมันเสี่ยง มันไม่ใช่การป้องกันตัวคนร้ายไม่ได้ยิงต่อสู้ และไม่ใช่ภัยอันตรายที่ใกล้จะถึงก็คนร้ายมันตระโกนโพร่งๆว่า “ผมยอมแล้วครับ ๆ” ขืนเสี่ยงทำไปถ้ามีสักคนในกลุ่มคนดูเป็นร้อยให้การยันไม่ติดคุกก็ต้องเสียเงินหลายทีเดียว เป็นอันว่าคนร้ายถูกจับเป็นพร้อมอาวุธ คนร้ายตัดสินใจถูกที่หนีออกมาด้านถนนซึ่งมีคนดูเป็นพยาน ตำรวจทำอะไรรุนแรงไม่ได้ แต่ถ้าหนีออกทางด้านหลังซึ่งไม่มีประชาชนมีแต่ตำรวจรับรองพวกผมได้ ๒ ขั้นกันไปแล้ว ผมนำตัวคนร้ายส่งโรงพักบ้านบึงจึงทราบว่าผู้ถูกยิงแพทย์ช่วยชีวิตไว้ได้ คนร้ายเลยโดนข้อหาพยายามฆ่า ติดคุกไป หัวหน้าสถานีตำรวจบ้านบึงเวลานั้นคือท่านวีระ อนันตะกูล ผมไม่ลืมกลับไปจ่ายค่าอาหารที่ร้าน เจ้าของร้านบอกว่าขายดีจริงแต่ขาดทุนเพราะโต๊ะและเก้าอีกพังไปอีกหลายตัว

ก็ไอ้โจรมันดวงซวยไม่สนใจเรื่องยามอุบากองหรือยามพม่าแหกคุกที่ว่า “ศูนย์หนึ่งอย่าพึ่งจร แม้ราญรอนจะอัปรา ศูนย์สองเร่งยาตรา จะมีลาภสวัสดี…….”และท่านทราบไหม “อุบากอง”เกี่ยวข้องกับวัดโพธิ์ด้วย ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ “อุบากอง”เป็นนายทหารเอกของพม่ายกกำลังมาตีเมืองไทยที่เชียงใหม่แต่เสียทีถูกจับตัวได้ ถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก “อุบากอง”ถูกส่งตัวไปจองจำ ณ.สถานที่คุมขังหลวง คือที่วัดโพธารามหรือวัดโพธิ์หรือวัดพระเชตพนปัจจุบันนี้เอง “อุบากอง”เป็นนักโหราศาสตร์ดูฤกษ์ดูยามแล้วหนีคุกวัดโพธิ์ไปได้หลังจากที่ติดคุกอยู่ ๗ ปี ยาม “อุบากอง”จึงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายแต่นั้นมา.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์