เรื่องชวนปวดหัวบนโรงพัก ตอนที่ 3 (ติดคุกเพราะหมา)
ช่วงที่ผมรับราชการอยู่ที่ สน.บางเขน คดีเกิดขึ้นมากสุดๆ ท้องที่กว้างยังไม่ได้แยกออกเป็น สน.ดอนเมืองและ สน.ทุ่งสองห้อง ใครเข้าเวรหกโมงเช้าถึงเที่ยงวันต้องรับแจ้งคดีลักทรัพย์ไม่ต่ำกว่า ๑๐ คดี เช่นเดียวกับเวรค่ำตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืนก็มีคดีไม่แพ้กัน ช่วงกลางวันคนไปทำงานปิดบ้านทิ้งไว้ เลิกงานกลับถึงบ้านของหายเกลี้ยง หลายบ้านต้องเขียนป้ายติดหน้าบ้าน ไม่มีของให้ขโมยแล้ว คุณโจรขา บางบ้านต้องขนเอาหม้อหุงข้าว กระทะ เครื่องครัว วิทยุ โทรทัศน์ ใส่ท้ายรถไปทำงานด้วย ไม่ใช่ตำรวจไม่สนใจตรวจตราป้องกันแต่เป็นเพราะพื้นที่กว้างกำลังตำรวจสายตรวจไม่เพียงพอ จึงได้เกิดโครงการ เพื่อนบ้านป้องกันภัย คือทำให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงรู้จักคุ้นเคยกันมากขึ้นและช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลทรัพย์สินของเพื่อนบ้านด้วย ได้ผลครับ
คดีหนึ่งเหตุเกิดที่ทุ่งสองห้อง ผู้เสียหายเป็นหญิงมีอายุอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว คนอื่นๆไปทำงานกันหมด เหตุเกิดในตอนบ่าย คนร้ายเป็นผู้ชายสามคนบุกเข้าบ้านจับคุณยายมัดมือติดกันไคว้หลังบังคับให้นอนคว่ำหน้า แล้วค้นเอาทรัพย์สินไป คุณยายผู้เสียหายบอกว่าทรัพย์สินไม่เสียดาย ไม่ตายหาใหม่ได้ แต่ที่คุณยายเสียใจมากที่สุดคือเพื่อนคู่ชีวิตเป็นสุนัขพันธุ์ปักกิ่งชื่อ กี้ถูกคนร้ายอุ้มไปด้วย ความจริงคนร้ายได้ทรัพย์สินไปแล้วกำลังจะพากันกลับ เจ้ากี้ดันไปเห่าเสียงดังคนร้ายจึงกลับมาอุ้มเอาไป ที่คุณยายเป็นห่วงก็คือ กี้ นัยน์ตาพิการเสียไปข้างหนึ่ง กี้มีความผูกพันกับคุณยายมาหลายปี คุณยายจำหน้าคนร้ายได้แม่นยำ ๑ คนเพราะคนหนึ่งดันหน้าไปเหมือนกับญาติซึ่งรับราชการเป็นตำรวจ ต.ช.ด. ผมเลยต้องเชิญนายตำรวจผู้นั้นเป็นแม่แบบให้เจ้าหน้าที่สเก็ตภาพใบหน้าคนร้าย คุณยายประเมินความเหมือนภาพสเก็ตประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ สืบหาตัวคนร้ายอยู่หลายเดือนไม่ได้ร่องรอย เตรียมจะปิดคดี
ประมาณ ๗-๘ เดือนต่อมาตำรวจสายตรวจจับกุมชายคนร้าย ๒ คนในข้อหาลักทรัพย์จากหมู่บ้านแขวงทุ่งบางเขน ได้ความว่าชาวบ้านเขาช่วยกันดูแลทรัพย์สินของเพื่อนบ้าน เห็นผู้ชาย ๒ คนซึ่งเป็นคนแปลกหน้าแบกโทรทัศน์หิ้วพัดลมออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง เอาไปใส่รถที่จอดซุ่มไว้ ชาวบ้านเห็นผิดปกติโทรแจ้งตำรวจ พอดีกันกับที่รถสายตรวจกำลังตรวจอยู่ใกล้เคียงคนร้ายสองคนจึงถูกจับ รับสารภาพว่างัดบ้านที่ไม่มีคนอยู่เข้าไปลักทรัพย์ ผมสอบสวนผู้ต้องหาเสร็จสั่งให้ลูกน้องพาไปตรวจค้นบ้านพักซึ่งอยู่ที่ตำบลบางเมือง สมุทรปราการ ได้ทรัพย์สินหลายรายการเอาไปตั้งโชว์ที่โรงพักให้ผู้เสียหายคดีอื่นๆมาดู
เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ตำรวจฝ่ายสืบสวน(สายสืบ)ที่นำผู้ต้องหาไปตรวจค้นบ้าน สายสืบกลับไปรายงานผมว่าที่บ้านของผู้ต้องหามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งด้วย ผมจึงให้ไปตามคุณยายมาดูตัวคนร้าย คุณยายดูแล้วบอกว่าไม่ใช่คนที่คุณยายจำได้ ผมเอาผู้ต้องหาไปสอบก็ไม่ยอมรับ ในที่สุดให้สายสืบพาคุณยายพร้อมผู้ต้องหาไปที่บ้านบางเมือง สมุทรปราการอีกครั้ง โชคดีหมาตัวที่สายสืบเห็นยังอยู่ ตอนที่ไปถึงหมานอนสงบนิ่ง คุณยายส่งเสียงเรียก กี้ ๆ ๆ ๆ เรียกคำแรกเจ้าหมาน้อยผงกหัวขึ้น หูชัน หันไปมองเจ้าของเสียง พอเรียกคำที่สองเจ้ากี้วิ่งเข้าไปหาคุณยายทันที คุณยายดีใจที่ได้หมากลับคืน ทรัพย์สินอย่างอื่นไม่สนใจ
ผู้ต้องหาหน้าจ๋อยเถียงไม่ขึ้นแต่ก็ยังแสดงความเป็นหัวหมอ ปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ไปปล้นบ้านคุณยายเพราะรู้ว่าคุณยายจำหน้าไม่ได้ แต่พยานหลักฐานสุนัขพันธุ์ปักกิ่งตาบอดที่ถูกคนร้ายปล้นอยู่ในบ้าน ผู้ต้องหาแก้ตัวว่าเพื่อนให้มา ก็เลยต้องเอาตัวไปซักอย่างหนักว่าได้สุนัขมาจากใคร อยู่ที่ไหน ผู้ต้องหาไม่สามารถชี้แจงถึงที่มาได้ก็เลยเอาข้อหา ปล้นทรัพย์ รับของโจรไป
ประมาณสิบปีกว่าต่อมาผมไปทานอาหารที่ เอราวัณทีรูม แยกราชประสงค์ (ปัจจุบันถูกรื้อทิ้งกลายเป็นโรงแรม ไฮแอทเอราวัณ) พบชายแต่งตัวภูมิฐานใส่เสื้อนอกนั่งดื่มกาแฟอยู่คนเดียว ชายดังกล่าวยกมือไหว้ ผมก็ยังงงจำไม่ได้ว่าเป็นใครเพราะชาวบ้านมักจะจำตำรวจได้ ส่วนตำรวจจะสับสนเพราะพบปะผู้คนเยอะ ชายคนดังกล่าวแนะนำชื่อ ผม เริ่มไง สารวัตรจำได้ไหมครับ พอได้ยินชื่อต่อมความจำก็ทำงานทันที เฮ้ย..เองเริ่ม คดีหมาตาเดียวใช่ไหม นายเริ่มฯรับว่าเป็นตัวเขาเองที่ถูกจับดำเนินคดี เมื่อไปถึงศาลเขารับสารภาพ ศาลลดโทษให้เหลือจำคุกสามปีเศษพ้นโทษออกมาหลายปีแล้ว
นี่ถ้าหากนายเริ่มฯไม่ได้มายกมือไหว้ผมและแนะนำตัวเองผมก็คงจำไม่ได้ นายเริ่มฯบอกว่าเขาเลิกงานมิจฉาชีพหมดแล้วปัจจุบันเป็นนักร้อง ๆเพลงที่บาร์แถวพัฒน์พงษ์ นายเริ่มฯบอกว่า ผมซวยเพราะหมาตาเดียวแท้ๆ ตอนแรกผมจะไม่เอาไปแล้ว ไอ้เมียผมซี มันชอบ เคยสั่งผมให้หาซื้อไปให้ ผมนึกว่าได้ของฟรี เลยชวย
อย่างนี้เรียกว่า ติดคุกเพราะหมาแท้ๆ