บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
เรื่องชวนปวดหัวบนโรงพัก ตอนที่ 1 (ตำรวจก็ถูกหลอก)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› เรื่องชวนปวดหัวบนโรงพัก ตอนที่ 1 (ตำรวจก็ถูกหลอก)
คนรุ่นก่อนๆชอบเรียกสถานีตำรวจว่า “โรงพัก” หลายคนกลัวไม่อยากที่จะเหยียบย่างขึ้นไป หารู้ไม่ว่าคนอยู่บนโรงพักก็กลัวคนขึ้นไปแจ้งความเหมือนกัน ตอนผมเรียบจบใหม่ๆเข้าเวรเดี่ยวโดยเฉพาะเวรดึกเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้ากลัวที่สุด มักจะมีคดีโหดๆเกิดขึ้น เสียงโทรศัพท์ดังทีไรเป็นต้องสะดุ้ง ก่อนเข้าเวรไปจุดธูปเทียนไหว้ศาลขอไม่ให้มีเรื่องก็ยังไม่วายโดน ตีสองกว่าๆแจ้งเหตุคดียิงกันมีคนเจ็บคนตาย ร้อยเวรต้องออกไปดูสถานที่เกิดเหตุ (เจอเป็นคดีแรกเลย กูจะทำยังไงวะเนี่ย) ตอนนั้นยังไม่มีรถส่วนตัว โดดนั่งแท็กซี่ประจำโรงพักไปที่เกิดเหตุเป็นร้านขายข้าวต้ม มีคนนอนเจ็บนอนตายเกลื่อน เลือดแดงฉาน โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด ไทยมุงเป็นสิบๆยืนดูว่าเราจะทำอะไร เราก็สั่นไม่รู้จะทำอะไรก่อนอะไรหลัง คนขับแท็กซี่เก๋ากว่าเห็นเรื่องแบบนี้มาบ่อยคอยกำกับ “หมวด..คนนี้ยังไม่ตายเอาส่งโรงพยาบาลก่อน คนนี้ตายแล้ว ตามหมอมาชันสูตร” กว่าจะปรับเข้าที่ก็หลายงาน

เรื่องวิวาททำร้ายร่างกายเป็นคดีที่ปวดหัวที่สุด ยกขบวนมากันเป็นฝูงแทบจะเรียกว่ายกพวกไปตีกันบนโรงพัก มีบาดแผลด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายก็กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้กระทำก่อนจึงป้องกันตัว ตำรวจไม่รู้จะฟังใครเลยขังทั้งคู่แล้วค่อยพูดจากัน ถ้าเป็นคนจีนตีกันจะยกกันไปทั้งแซ่ ระเบงเซ็งแซ่ไปหมด แต่ยังไม่เท่าคนแขก จะขนกันมาทั้งโคตรเง่า ถ้าขังแขกละก้อเป็นเรื่อง ญาติพี่น้องจะไม่ยอมกลับบ้านขอนอนหน้าห้องขังด้วย

คดีรถชนกันก็ปวดหัว ถ้าจัดการไม่ดีจะกลายเป็นคดีชกต่อยเพิ่มขึ้นมาอีก การป้อนคำถามนี่ก็สำคัญ ถ้าจะให้มีเรื่องก็ต้องโยนคำถามเข้าไปก่อนว่า “ใครถูก ใครผิด กันครับ” คำตอบก็คือ “คุณผิด” คู่กรณีที่ถูกถามก่อนจะชี้มือไปอีกฝ่าย เวลาเดียวกันฝ่ายที่โดนชี้ก็จะสวนกลับ “คุณนั่นแหละผิด” แล้วต่อไปก็จะเปลี่ยนถ้อยคำจาก “คุณ” เป็น “มึง” จากนั้นก็ตะลุมบอนกันด้วยหมัดด้วยเท้า ตำรวจจึงต้องมีเทคนิคโดยจะเรียกผู้ขับขี่เข้าห้องสอบสวนทีละคนแล้วก็บอกซะเองเลยว่า “คุณเป็นฝ่ายเสียเปรียบนะครับ หากเป็นคดีกันคุณแพ้แน่ หาทางเจรจาออมชอมกันดีกว่า” เสร็จแล้วก็เรียกอีกฝ่ายเข้าไป บอกเช่นเดียวกัน เดี๋ยวก็จบครับ ต่างฝ่ายต่างก็รู้อยู่ในใจว่าตนเสียเปรียบก็จะหาทางตกลงกัน

สิ่งที่ตำรวจกลัวที่สุดก็คือ เจอคนที่รู้พอๆหรือรู้มากกว่าตำรวจ เราเรียกบุคคลพวกนี้ว่า “หัวหมอ” ผมก็เคยเจอ มีคดีอัยการกับผู้พิพากษาขับรถชนกันขณะขับขี่รถสวนกลางสะพาน ปัญหาว่าใครขับรถล้ำเข้าไปในเส้นทางของใคร คดีนี้หาจุดชนไม่ได้ พอชนแล้วต่างก็ขับเลยไป ไม่มีร่องรอยในที่เกิดเหตุ ด้านข้างรถเบียดกันเป็นรอยทั้งสองฝ่าย สอบสวนก็ลำบากเพราะทั้งคู่เชี่ยวชาญกฎหมายจราจร ถามอะไรตอบรัดกุมถูกกฎไปหมด ร้อยเวรจะตัดสินยังไงดี ผลก็คือร้อยเวรรับซ่อมให้ทั้งสองฝ่าย

ชีวิตตำรวจบนโรงพักตื่นเต้นเสมอ เจอเหตุการณ์ประหลาดๆทุกวันไม่ซ้ำกัน พบกันคนหลายประเภท มีทั้งคนดี คนพาล คนเมา คนหัวหมอ บางคนก็เล่าเรื่องจริง บางคนก็ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ตำรวจจึงต้องมีจิตวิทยาสูงที่จะรับมือกับบุคคลเหล่านี้

ตอนผมยศร้อยตำรวจตรีรับราชการครั้งแรกที่ สน.พระราชวังเจอดีเข้าจนได้ ขณะผมปฏิบัติหน้าที่เป็นร้อยเวร มีชายแต่งกายดี สุภาพ สวมเสื้อเชิ้ตผูกเนคไท มาพร้อมกับชายอีกผู้หนึ่งซึ่งถูกใส่กุญแจมือ มาขอพบอ้างเป็นตำรวจจากต่างจังหวัดพร้อมยื่นหนังสือให้ ๑ ฉบับ เป็นหนังสือราชการตราครุฑ อ่านดูจึงทราบว่าเป็นนายตำรวจนอกเครื่องแบบยศร้อยตำรวจโท จาก สภ.อ.แห่งหนึ่งที่ลำปาง มาจับผู้ต้องหาคดีเช็คฯในกรุงเทพฯ ขอนำผู้ต้องหามาฝากขังชั่วคราวรอนำตัวไปดำเนินคดีที่ลำปาง ผมลงบันทึกรับตัวผู้ต้องหาไว้ นายตำรวจผู้นั้นบอกว่าจะมารับตัวผู้ต้องหาในตอนบ่ายๆของวันเดียวกัน ปรากฏว่ารุ่งขึ้นอีกวันก็ยังไม่มารับ สอบถามไปยังสถานีตำรวจที่ลำปางตามที่ระบุไว้ในหนังสือฝากควบคุม ปลายทางตอบยืนยันว่าไม่มีนายตำรวจชื่อดังกล่าวและไม่มีการจับหรือฝากควบคุมผู้ต้องหาคดีเช็คฯแต่อย่างใด เอาละซีโดนตำรวจปลอมทำหนังสือปลอมเข้าแล้วแต่ไอ้ที่ถูกขังเป็นคนจริงๆ เปิดห้องขังเอามาสอบสวนได้ความว่าจ่ายเช็คไม่มีเงินเลยโดนจับ จ่ายเงินให้ไปแล้วบางส่วนยังไม่ครบจำนวนเลยถูกนำมาขัง ผมต้องรีบจัดการปล่อยตัวไป สมัยก่อนอะไรๆก็ง่ายไปหมด ถ้าเป็นสมัยนี้โดนฟ้องแน่ พอได้บทเรียนนะครับ เดี๋ยวนี้ถ้าใครมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยราชการใด จะมาดำเนินการอะไรเกี่ยวกับเรา ต้องตรวจสอบดูหลักฐาน ดูบัตรประจำตัวให้แน่นอนเสียก่อน พวกสิบแปดมงกุฎมีเยอะ

ผมย้ายไปอยู่ที่ สภ.อ.เมืองนครปฐมก็โดนตำรวจปลอมอีก คราวนี้มามาดแปลก อ้างว่าเป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่สำนักงานจเรตำรวจ ไปสืบหาข้อมูลตำรวจท้องที่เนื่องจากได้รับคำร้องเรียน พักที่โรงแรมมีชื่ออยู่ด้านหลังองค์พระปฐมเจดีย์หลายวัน เข้าใจว่านายตำรวจผู้นี้คงจะสอบถามข้อมูลบางประการจากเจ้าของโรงแรม ทางโรงแรมได้ประสานให้พบกับผู้สื่อข่าวประจำท้องถิ่นซึ่งมักจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตำรวจ มีผู้สื่อข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งชอบพอกับผมมากระซิบบอกว่าผมควรจะได้ไปทำความรู้จักเอาไว้ หากมีอะไรเกี่ยวกับผมจะได้หนักเป็นเบา ผมกับลูกน้องจึงขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงข้าวนายตำรวจจากจเรผู้นี้ จากการสนทนาบนโต๊ะอาหารก็พอรู้ว่าผู้ที่มาสืบสวนมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายในท้องที่ เช่น บ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี แต่ผมสังเกตเห็นอาการผิดปกติ (เมื่อของปลอมเจอกับของจริงมักจะออกอาการ) มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นชัด ระหว่างนั่งทานอาหารผู้อ้างตัวเป็นตำรวจเข้าห้องน้ำบ่อย ผมสะกิดให้ลูกน้องตามเข้าไปดู พบนายตำรวจผู้นี้เอาอาวุธปืนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงซ่อนในห้องน้ำ ลูกน้องผมหยิบขึ้นมาดูเป็นอาวุธปืนปลอมทำด้วยพาสติค พอผมรู้ก็ขอเรียกดูบัตรประจำตัวทันที ปรากฏว่าเป็นตำรวจเก๊ ตั้งใจจะมาหลอกพักโรงแรมและกินอาหารฟรี ก็เลยต้องเชิญตัวไปนอนห้องขังแทนโรงแรม

ที่นครปฐมมีคดีทุลักทุเลอีกคดีหนึ่ง เป็นคดีวิ่งราวทรัพย์คนไปจ่ายตลาดตอนเช้ามืด คนร้ายชื่อ นายออดฯ พิการหลังค่อมติดยาเสพติด กระชากสร้อยคอทองคำ ๑บาทจากหญิงกลางคน พอกระชากได้ก็วิ่งหนี ผู้เสียหายส่งเสียงร้องให้คนช่วยจับ พอดี จ่าแกรฯ อายุ ๕๐ เศษ อ้วนพุงพลุ้ยรอบเอวประมาณ ๕๐ นิ้วอยู่ใกล้ๆ จ่าแกรฯวิ่งไล่กวดคนร้าย นึกภาพคนอ้วนไล่จับคนพิการจะเป็นยังไง กว่าจะจับได้ก็ไล่กวดกันไปร้อยกว่าเมตร ไม่พบสร้อยของกลาง หาตามพื้นเส้นทางที่วิ่งไล่กันไปเป็นคอนกรีตโล่งๆก็ไม่พบ จ่าแกรฯนำตัวนายออดฯไปส่งผมที่โรงพัก บอกว่า “มันต้องกลืนสร้อยเข้าไปแน่” แต่ไอ้ออดฯปฏิเสธ ผมเป็นร้อยเวรสอบสวน ส่งตัวไอ้ออดฯไป X-RAYกระเพาะ พบสร้อยจริงๆ ปัญหาจะเอาสร้อยออกมายังไง ต้องให้มันกินยาถ่าย กว่าจะอ้อนวอนแกมบังคับให้กินยาถ่ายได้สำเร็จก็เหนื่อยเอาการ ปัญหามีต่อไปอีก เวลาไอ้ออดฯถ่ายออกมาแล้วใครจะไปคอยดูว่าสร้อยหลุดออกมาตอนไหน สุดท้ายต้องขังเดี่ยวแล้วให้ถ่ายลงไห หาไหก็ลำบากดันไปได้ไหปากแคบๆทรงสูงเหมือนกับไหที่ใช้ทำเหล้าเถื่อน ไอ้ออดฯนั่งถ่ายแบบทรมานคือต้องไปนั่งยองๆบนปากไหโดยมีตำรวจสิบเวรจ้องดู พอถ่ายเสร็จผมก็สั่งให้สิบเวรเอาไหอึไปคว่ำเทลงบนแผ่นพาสติคดูว่าสร้อยออกมาหรือยัง เอาไหออกมาตั้งไว้ยังไม่ทันเท มีลูกน้องคนหนึ่งชื่อ “ไอ้นองฯ”เป็นคนติดเหล้า สมัยนั้นนครปฐมมีการจับเหล้าเถื่อนประจำ ยึดเหล้าของกลางเป็นไหๆมาเก็บที่โรงพัก ไอ้นองฯเห็นไหตั้งอยู่ไม่รอช้าตรงเข้าไปจะยกดื่ม คงนึกว่าเป็นไหเหล้า พอจมูกจรดที่ปากไหก็ตะโกนลั่น “หมวด…มันขี้นี่หว่า” ผมก็เลยบอกว่าใครสั่งให้ไปดม จากการเทไหอึครั้งแรกไม่พบสร้อย ผมเลยได้ความคิด จ้างไอ้นองฯนอนเฝ้าไอ้ออดฯในห้องขังให้คอยดูไอ้ออดฯตอนอึแล้วคอยเขี่ยหาสร้อย ผลปรากฏว่า จนครบกำหนดเอาตัวไอ้ออดฯไปฝากขังต่อศาลสร้อยก็ยังไม่ออกมา ผมต้องเอาตัวไอ้ออดฯไปX-RAYกระเพาะอีกครั้ง คราวนี้ไม่พบสร้อย ต้องปวดหัวไปสอบสวนอีกว่าสร้อยในท้องหายไปได้ยังไง พอดีผู้เสียหายไม่ติดใจเพราะตอนนั้นทองคำราคายังถูกอยู่ จนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าใคร “อม”สร้อย ผมว่าไอ้นองฯมันต้องแก้เผ็ดผมแน่ๆที่ปล่อยให้มันดมอึ เรื่องชวน(ปวด)หัวบนโรงพักยังมีอีกเยอะ.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์