โซนนิ่ง หรือ โซนเน่า
เมื่อจบตอน รู้ไว้ไม่ตายโหง แล้วตั้งใจจะเขียนเรื่อง เกลือจิ้มเกลือ ซึ่งเป็นเรื่องทำนอง หญิงก็ร้ายชายก็เลว ให้เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ใครรู้ได้เปรียบ ไม่ถูกหลอก ไม่ตกเป็นเหยื่อ แต่พอดีอ่านข่าวในหน้านสพ.รายวันเกือบทุกฉบับพูดถึงเรืองโซนนิ่งสถานบริการ ทีวีก็เสนอข่าวเรื่องนี้ มีคนโทรแสดงความคิดเห็นกันมากมีทั้งเห็นด้วยและคัดค้านไม่เห็นด้วย เข้าทำนองมีกลุ่มได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลสนับสนุนเข้าข้างประโยชน์ส่วนตน แต่คนที่เหนื่อยก็คือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ที่จะบังคับให้ผู้ประกอบการแต่ละประเภทอยู่ในกรอบกติกา คนพูดหรือออกคำสั่งมันง่าย แต่ไอ้คนปฏิบัติมันยาก ยากยังไงก็ให้ผู้ออกคำสั่งลองปฏิบัติดูแล้วจะพบว่ามีปัญหาร้อยแปด พยากรณ์ล่วงหน้าไว้เลยทำไปสักพักก็เหมือนเดิม ขออย่าให้เกิดกรณีชูวิทย์ 2 ขึ้นก็แล้วกัน ที่พูดอย่างนี้เพราะมันเกิดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้นแล้ว ใครเป็นผู้กำหนด ZONEหลับตาตอบก็ได้ มีคณะกรรมการหลายฝ่าย ถามต่อไปอีกว่าเอาอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่จะกำหนดว่าตรงไหนเป็น ZONE สถานบริการ ตรงไหนเป็นไม่ได้ ประกาศออกไปแล้วผลได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้นเยอะ ทำให้มองดูในภาพรวม ๆ ว่าน่าจะไม่เป็นธรรม
ผมเคยร่วมแสดงความคิดเห็นให้คณะกรรมการกำหนด ZONE ฟัง ตอนไปนำเสนอก็เห็นกรรมการที่นั่งฟังหลายคนผงกหัวตามคำเสนอของผมยังกับว่าเห็นด้วย แต่ผลที่คณะกรรมการสรุปความเห็นเสนอแล้วประกาศมา ผมว่าไม่เข้าท่า ไม่ต้องประกาศเสียดีกว่า ปล่อยไว้ตามเดิมดีกว่าเยอะเลย สมกับที่ผมให้หัวเรื่องว่า โซนนิ่งหรือโซนเน่า
ผมเสนอการกำหนด ZONE สถานบริการต้องให้เป็นธรรม ต้องกระจายให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ อย่าให้เป็นกระจุกอย่างที่ประกาศออกมาคือ ในกทม.มีอยู่ 3 ZONE คือ 1. ถนนพัฒน์พงษ์ 2. ถนนรัชดาภิเษก (ช่วงถนนลาดพร้าวจรดถนนพระราม 9) 3. ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ (แถว RCA) เอาเหตุผลอะไรมาประกาศ 3 จุดนี้เป็น ZONE สถานบริการ อย่างนี้เรียกว่า เกาไม่ถูกที่คัน หรือพูดง่าย ๆ ไม่ได้แก้ให้ตรงประเด็นที่เป็นปัญหา มาถึงตอนนี้เราลองนึกย้อนหลังว่าปัญหาที่นำไปสู่ ZONNING มีอะไรบ้าง
เกิดจากรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งท่านเข้มงวดกวดขันสถานบริการในกทม. ซึ่งทำผิดข้อบังคับเงื่อนไขของกฎหมาย หรืออาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ประเด็นปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นคือ
1. มีการเปิดสถานบริการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายมากมาย หรือพูดง่าย ๆ ว่าพวกที่ทางการไม่ยอมให้เปิด ขออนุญาตไม่ได้ เช่น พวกที่อยากจะเปิดก็เปิด พวกเพิงคาราโอเกะ คาราโอเกะหลังคามุงแฝก ดูแล้วรกหูรกตา เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
2. พวกสถานบริการตามข้อแรกที่ส่งเสียงรบกวนคนทำมาหากินที่เขาต้องการพักผ่อน ไอ้นี่ก็แหกปากร้องหรือเปิดเครื่องเสียงจนบ้านเรือนใกล้เคียงสั่นเหมือนแผ่นดินไหว ชาวบ้านทนไม่ไหวจนต้องร้องเรียน
3. พวกที่นึกอยากจะเปิดสถานบริการก็เปิดใกล้สถานศึกษา จนเด็กนักเรียนไม่มีจิตใจเรียน หรือเปิดใกล้วัด จนเวลาพระออกบิณฑบาตตอนเช้า โดนพวกนักเที่ยวเมาเดินชนจนบาตรกระเด็น
4. นักเรียน นักศึกษา ใจแตกไม่เป็นอันเรียน ตะลอนเต้นดิสโก้ กินเหล้า มั่วเซ็กส์
5. สารเสพติดสารพัดชนิดระบาดไม่ว่าจะเป็น ยาอี ยาเลิฟ ยาเค ยาบ้า กัญชา สถานบันเทิงกลายเป็นแหล่งมั่วสุม
6. เปิดสถานบันเทิงกันยันสว่าง ชนิดว่าออกจากสถานบันเทิงก็ออกมาใส่บาตรพระที่เดินบิณฑบาตได้เลย
7. พวกขี้เหล้าเมายาจากสถานบันเทิง ไล่ฆ่ากันเองหรือไม่ก็ขับรถไล่ชนชาวบ้านล้มตาย
8. สถานบันเทิงบางแห่ง ก็มีการแสดงโชว์ลามกแก้ผ้าเดินโชว์อวัยวะเพศ แสดงการร่วมเพศด้วยท่าพิสดาร การร่วมเพศระหว่างชายกับหญิงเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่ยังมีการร่วมเพศระหว่างเพศเดียวกัน แถมยังมีคนร่วมเพศกับสัตว์ บางทีก็สัตว์ร่วมเพศกับคน
รัฐบาลเห็นว่าหากปล่อยไว้ประเทศคงจะล่มจม อนาคตของชาติขาดคุณภาพเสื่อมเสียเกียรติภูมิ จึงนำมาสู่การจัดระเบียบสังคม โดยคิดจะแยกคนทำงานกลางคืน พวกสมาชิกนกฮูกออกไป ไม่ให้ปะปนกับพวกที่รักสงบที่อยากจะพักผ่อน และอยู่ในกรอบศีลธรรม ครั้นจะออกกฎหมายห้ามเสียเลยก็ไม่ได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ
ผมได้เสนอว่าให้จัดพื้นที่หรือ ZONNING สถานบริการอยู่นอกเขตชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่ต้องการจะประกอบธุรกิจการบันเทิงแบบครบวงจรให้ทำโครงการเสนอ โดยมีเงื่อนไขว่า
1. จะต้องมีพื้นที่อย่างน้อย 100 ไร่ขึ้นไป
2. จะต้องมีสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า, ประปา, ถนน, ระบบการรักษาความปลอดภัย, ระบบสุขา, บ่อบำบัด, ชนิดที่เรียกว่าเป็นเมือง ๆ หนึ่งเลย
3. ในพื้นที่ดังกล่าว มีรั้วรอบขอบชิดลักษณะเหมือนคุก คือ มีกำแพงรอบ แต่เพื่อให้ดูบรรยากาศสมกับ
เป็นแหล่งบันเทิง ก็อาจจะขุดคูน้ำล้อมรอบ กำหนดทางเข้าออก ชัดเจนเพื่อตรวจสอบควบคุมผู้ที่เข้าไปใช้บริการได้
4. ภายในศูนย์บันเทิง มีการบันเทิงครบวงจร เช่น ร้านอาหาร, ภัตตาคาร (เพราะนักเที่ยวต้องกินก่อน) สถานอาบอบนวด, สถานเต้นรำ, คาราโอเกะ,โรงแรมหรือที่พักหลับนอน (พวกนักเที่ยวมักจะไปถึงจุดสุดท้าย คือการหาคู่ที่ถูกใจร่วมประเวณีกัน), โรงพยาบาล (ต้องเตรียมไว้เพราะอาจจะมีพวกเมามันจนลืมสังขาร อาจจะหัวใจวาย และพวกชกต่อยตีกันต้องมีเป็นธรรมดา) ระบบรปภ. ต้องเข้มแข็ง โดยใช้เจ้าหน้าที่รปภ. ของผู้ประกอบการสถานบันเทิง (อย่าไปใช้คนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะคนเหล่านี้ควรนำไปใช้ในการดูแลประชาชนที่อยู่นอก ZONE จะเหมาะกว่า) ให้มีสถานีตำรวจอยู่ในเมืองบันเทิงนี้ด้วย โดยให้ตำรวจมีหน้าที่สอบสวนเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว เจ้าหน้าที่รปภ. ของผู้ประกอบการสถานบันเทิงต้องเข้มแข็งและจริงจัง เช่น มีระบบตรวจอาวุธผู้จะเข้าไปใน ZONE ตรวจยาเสพติด ตรวจอายุผู้เข้าไปใช้บริการหรือเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ตรวจสอบ ถ้าพบว่าผู้ประกอบการสถานบันเทิงใด ปล่อยให้มีการกระทำผิดกฎหมาย ก็ให้มีอำนาจสั่งปิดทั้งศูนย์บันเทิงนั้นเลย
เรียกว่าใครที่เข้าไปในศูนย์บันเทิงนี้แล้ว ถ้ามีเงินพอก็เที่ยวให้ขาดใจอยู่ในศูนย์บันเทิงนั้น แต่ถ้าใครเข้าไปเที่ยวแล้วจะออกไปสู่โลกภายนอก ต้องมีการตรวจสุขภาพหรือสภาพร่างกายก่อน โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมหรือขับขี่ยานพาหนะต้องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดก่อน ถ้าพบว่าอยู่ในระดับที่ไม่สามารถขับขี่ยานพาหนะได้ ต้องไม่ให้ออกจาก ZONE มีโรงแรมให้นอนอยู่แล้ว อย่างนี้รับรองควบคุมได้ 100%
ควบคุมได้ยังไง ก็เมื่อรัฐบาลอนุญาตให้ผู้ใดประกอบธุรกิจศูนย์บันเทิงแล้ว ผู้ที่จะเปิดสถานบริการบันเทิงจะต้องไปเปิดในศูนย์ที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น รัฐบาลก็เก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขอเปิดศูนย์ฯ ส่วนเจ้าของศูนย์ฯ ก็ไปกำหนดกฎเกณฑ์กับผู้ที่ต้องการจะเปิดสถานบันเทิงอีกทอดหนึ่ง ศูนย์บันเทิงแต่ละแห่งก็คงจะต้องลงทุนนับพันล้านบาท โดยก่อสร้างอาคารสถานที่ไว้ให้เสร็จสรรพ ใครต้องการเปิดบาร์ หรือคาราโอเกะ มีเงินเพียงบางส่วนก็เข้าไปเปิดได้เลย ทางศูนย์ฯ จัดระบบไฟแน๊นซ์ให้ด้วย
รับรองว่ามีคนกล้าลงทุนแน่ หากมีเงื่อนไขว่าใครอยากเปิดสถานบันเทิงรูปแบบใด จะต้องไปเปิดในศูนย์บันเทิงที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ส่วนสถานบริการที่มีอยู่แล้วก็ปล่อยให้มีอยู่แต่ต้องเข้มงวดกวดขันให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเดิมที่มีอยู่ ใครอยากมีสิทธิ์พิเศษต้องไปเปิดในศูนย์ฯ รับรองว่าสถานบริการที่อยู่นอกศูนย์ฯ จะต้องสูญพันธุ์แน่นอน
แบบนี้ตำรวจไม่ต้องเหนื่อย รัฐมนตรีไม่ต้องลำบากที่จะต้องออกไปตรวจสถานบริการตอนตี 1 ตี 2 เพียงแต่ส่งเจ้าหน้าที่ที่ไว้ใจได้ไปตรวจสอบ ถ้าพบมีการฝ่าฝืนที่ศูนย์บันเทิงใดก็ปิดทั้งศูนย์ฯ หรือริบเงินประกัน รับรองว่าทางศูนย์ฯ จะต้องมีการควบคุมเข้ม เพราะหากถูกปิดก็เจ๊งแน่
ลักษณะศูนย์บันเทิงเช่นเดียวกับที่รัฐอยากจะเปิดสถานกาสิโน โดยเลี่ยงไปว่า เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ แต่มีการพนันแถมเข้าไปด้วย เรื่องให้มีบ่อนการพนัน ผมว่ายาก ไม่เชื่อลองดู รับรองว่าพรรคไหนอนุญาตให้เปิดบ่อนการพนัน อาจจะล่วงทั้งพรรคเลยก็ได้ แทนที่จะเปิดคอมเพล็กซ์การพนันลองเปิดคอมเพล็กซ์เฉพาะสถานบริการชิมลางดูก่อนดีกว่า แต่ขอร้องทีเถอะไอ้ 3 ZONE ที่ประกาศมาไม่เข้าท่า มันแก้อะไรไม่ได้มีแต่จะเพิ่มปัญหา