บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง
"ประสบการณ์คับด้ามปืน ของยอดนักสืบผู้การเอลวิส"
บิลเลี่ยนออฟเดอะซี ท่องเรือสำราญ (มุ่งบาเซโลน่า)
หน้าหลัก ›› บทความรู้ไว้ไม่ตายโหง ›› บิลเลี่ยนออฟเดอะซี ท่องเรือสำราญ (มุ่งบาเซโลน่า)
ตอนที่ ๑(มุ่งบาเซโลนา)

คณะคนไทยกรุ๊ปใหญ่ประมาณ ๓๐ คนไปท่องเรือสำราญครั้งนี้ และจะบินตามไปอีกกว่า ๓๐ คน ส่วนมากรุ่นเก๋าผ่านประสบการณ์ท่องเที่ยวแล้วทั้งนั้น เดี๋ยววันที่ ๑๘ พ.ย.ก็คงจะเจอกันในเรือ คณะผมออกเดินทางค่ำวันที่ ๑๖ พ.ย.โดยสายการบินสวิส การเดินทางราบเรียบด้วยระยะเวลา ๑๐ ชั่วโมง อาหารบนเครื่องบินอร่อย (ทำจากครัวการบินไทย แต่คนไทยบอกว่า ทำไมอร่อยกว่าเสริฟบนเครื่องไทย) กัปตันนำเครื่องลงจอดนิ่มเป็นบ้า นั่งรถยนต์ยังสะเทือนกว่า ต่อเครื่องไปที่บาเซโลนา เรือออกจากฝั่งที่นั่น ลงที่บาเซโลนา สเปญ ประมาณ ๖ โมงเช้า (เวลาช้ากว่าไทย ๖ ชั่วโมง) พอถึงก็ทัวร์เมืองบาเซโลนากันเลย รอเวลาเช็คอินโรงแรม บ้านเมืองสะอาด อาคารพานิชเป็นระเบียบ ส่วนสูงจะเท่าๆกันประมาณ ๖ ชั้น รูปทรงคล้ายๆกันดูแล้วลื่นตา อาคารส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มีระเบียง จะมีคนออกมานั่งจิบกาแฟตามระเบียงบ้าง ก็เพราะอากาศที่นี่กำลังดี ไกด์บอกว่าวันที่พวกเราไปถึงอากาศเริ่มร้อน ประมาณ ๒๕ องศา แค่นี้คนไทยก็ดีใจตายแล้ว ระหว่างเดินทางสังเกตถนนหนทางรถไม่หนาแน่น มอเตอร์ไซด์น้อย รถปิกอัพ รถบรรทุกใหญ่ไม่มี ถนนสะอาดไม่มีขี้ฝุ่น สองข้างทางต้นไม้ขึ้นเต็ม จะมีก็แต่ใบไม้ล่วงผมดูว่าเป็นธรรมชาติไม่สกปรก มีคนกวาดใบไม้ หรือไม่ก็มีรถใช้เครื่องดูดใบไม้อยู่ตลอดเวลา สภาพเมืองเก่า ๆแต่ไม่โทรม ใช้โทนสีออกส้ม-น้ำตาลอ่อนๆ เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็น “สเปญ” เพราะพี่ไทยยกเอาไปให้เห็นแล้ว เดินเล่นในเมืองถนนค่อนข้างแคบ ร้านขายสินค้าแบบโบราณ เป็นร้านๆเดินดูเอา ไม่ไปกระจุกรวมตัวเหมือนในศูนย์การค้าบ้านเรา ไกด์พาไปดูสวนสาธารณะ ผู้คนออกไปรับแสงแดดราวกับเป็นสิ่งของหายาก ต่างกับที่คนไทยพยายามหลบแดด ไปที่ไหนก็มีแต่ต้นไม้ ณ ที่จุดชมวิวบนเชิงเขา เป็นจุดชมเมือง มองลงไปเป็นที่ต่ำเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนอยู่อาศัยหนาแน่นเป็นพืด สีสันรูปทรงเหมือนกันไปหมด ไกด์พาไปดูวิหารแห่งหนึ่ง สร้างมาแล้ว ๕๐ ปียังไม่เสร็จ คาดว่าจะใช้เวลาอีก ๓๐ ปี ทานอาหารกลางวัน หนีไม่พ้นสปาเก็ตตี้ จานเบ้อเริ่ม อาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างคือ “หมูแฮม” ไม่แปลกที่ผู้สูงอายุที่นี่ค่อนข้างอ้วน ทานอาหารเสร็จเข้าโรงแรม ช่วงบ่ายๆหลังกินข้าวเที่ยงปิดร้านกันเกือบหมด เขานอนพักให้อาหารย่อย ทำงานกันอีกทีบ่ายสองโมง อันนี้คนไทยคงชอบ แต่ต้องเลิกงานสองทุ่ม (คนไทยไม่เอาแน่) ผมพักโรงแรมเล็กๆแต่ราคาไม่เล็ก สะอาดดูปลอดภัย

พวกเราทานอาหารมื้อเย็น เป็นอาหารสเปญ แต่สั่งแบบไทย เอามาทุกอย่าง ทานกัน ๘ คน ยกจานตักกันมั่ว คนสเปญไม่เคยเห็น ก็เราอยากจะลองกินทุกอย่างนี่

ผมไปประเทศไหนๆก็ชอบเอามาเปรียบกับบ้านเรา ยอมรับว่าที่นี่เรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความมีวินัยของผู้คนโดยเฉพาะการจราจร ไม่มีขับซิกแซ็กแซงซ้ายแซงขวา เคารพกฎจราจรมากๆๆจนน่าชมเชย วางขยะเป็นที่ ตอนค่ำร้านค้าจะรวบรวมขยะใส่ถุงพ้าสติกปิดปากถุงวางรวมเป็นจุดๆ ไม่มีการเอาขยะสดมาเทรวมอีก ขยะออกเฉพาะตอนค่ำใกล้เวลาเก็บเท่านั้น ไม่มีหาบเร่ ไม่มีกันสาดพ้าสติกสีๆ ไม่มีวางของยื่นหน้าร้าน บาทวิถีราบเรียบเดินไม่สะดุด ไม่มีขอทาน ไม่มีขี้เหล้าเมายา

แต่เรื่องของราคาถูก สินค้ามีให้เลือกเยอะ ก็ยังแพ้กรุงเทพฯอยู่ดี ต่างชาติจึงชอบไปชอปปิ้งที่เมืองไทย สุดยอดที่ ศูนย์การค้าแพลตทินั่ม, ประตูน้ำ, ใบหยก, โบ้เบ๊, พาหุรัด, สะพานหัน, คลองถม, สะพานพุทธ และที่อื่นๆอีกเป็นร้อยแห่ง อยากทานอาหารอร่อยๆราคาถูกก็ตามศูนย์อาหารในศูนย์การค้า ถ้าจะให้ถูกลงไปอีกก็ต้องนั่งยองริมฟุตปาทข้างถนน ร้อยบาทในบ้านเรากินข้าวได้มื้อ คาว หวาน แถมยังเหลือเป็นค่ารถเมล์กลับบ้าน อยู่เมืองอื่นร้อยบาทกินน้ำได้แค่ขวดเดียว.


ตอนที่ ๒ (ตะลุยบาเซโลนา)

วันที่ ๒ ที่บาเซโลนา วันนี้อากาศดีมากประมาณ ๒๒ องศา นอนเต็มอิ่มเพราะตะวันขึ้นช้ากว่าบ้านเราหกชั่วโมง นอนเต็มที่ กินอาหารเช้าประมาณ ๑๐ โมงแล้วออกตะลุย ทีมของเราทำการบ้านดี ค้นหาสถานที่ชอบปิ้งของสวยและถูก ร้านอาหารชั้นยอดราคาไม่แพง กางแผนที่เดิน คนที่บาเซโลนาเป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษ หาร้านไม่เจอก็ถามเรื่อยไป มีร้านขายของสวยงาม เสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้า ของที่ระลึกให้ชมมากมาย แวะไปร้าน “ZARA” เสื้อผ้ามีชื่อที่มาเปิดสาขาอยู่พารากอน ราคาที่บาเซโลนาจะถูกกว่ามาก เดินดูของจนเมื่อย แวะไปที่ “ถนนคนเดิน” ถนนนี้ชื่อ “แลมบลาส” เป็นแหล่งท่องเที่ยวของบาเซโลนา ถนนนี้อยู่ใกล้ท่าเรือ ด้านหลังอนุสาวรีย์หล่อสัมฤทธิ์ “โคลัมบัส” เป็นถนนคอนกรีตกว้างประมาณ ๓๐ เมตร จะเรียกว่า “ลาน”ก็ได้ แต่ความยาวกิโลกว่า สองข้างเป็นถนนรถวิ่ง บนถนนคนเดินนี้สองฟากเป็นต้นไม่ร่มรื่น ตั้งโต๊ะขายอาหารเป็นระยะๆสลับกับขายของที่ระลึก ผู้คนเดินไป เดินมาเต็มไปหมด มีทั้งสเปญและนักท่องเที่ยว จุดที่ดึงดูดให้ผู้คนมาเดินแถวนี้ คือ จะมีพวกศิลปิน นักแสดงทั้งชายและหญิง แต่งกายแบบประหลาดๆ แล้วแต่ไอเดีย ทาบรอนซ์ทั้งตัวและเสื้อผ้า นั่งบ้าง ยืนบ้าง แล้วแต่จะโพสต์ท่า ไม่สังเกตให้ดีจะนึกว่าเป็นรูปปั้น นักท่องเที่ยวจะเข้าไปถ่ายรูปแล้วก็ไม่ลืมที่จะหยอดเหรียญลงกระป๋องที่วางไว้ข้างหน้า หลายคนขอเข้าไปถ่ายภาพแล้วหยอดเงินใส่กระป๋องด้วยความเต็มใจ ชอบใจไอเดีย “คิดได้ไง” มีคนหนึ่งที่ผมชอบมาก เขาแก้ผ้านั่งบนโถอึตั้งอยู่กลางถนน ทาบรอนซ์ขาวทั้งตัว เอาชายเสื้อปิดเฉพาะจุดไว้ไม่ให้อุดจาด นั่งเบ่งอึไปตลอด เวลาคนเข้าไปถ่ายเขาจะทำเสียง “ตด” ปืด แล้วทำกลิ่นออกมาด้วย พวกเด็กชอบ อีกคนไม่มีหัว เดินไป เดินมาแบบ “อินวิสเบิลแมน” แต่งเป็นสัตว์ประหลาดในเทพนิยายก็มี รวมแล้วประมาณ ๒๐ คน

วันนี้เดินมากแต่ไม่เหนื่อย ช่วงเย็นอากาศลดเหลือประมาณ ๑๘-๑๙ องศา เดินดูของจนเหนื่อย พักนั่งร้านข้างทางดูดเครื่องดื่มดูคนเดิน อากาศเย็นทำให้คนแต่งตัวสวย มีสีสัน ดูอิ่มแล้วหิวข้าว กลางวันกินอาหารอินเดีย เย็นข้าวผัดสเปญหลากสี รสชาติอร่อยดี เดินย่อยกลับนอนโรงแรมเอาแรง พรุ่งนี้ลงเรือเตรียมผจญภัย.


ตอนที่ ๓ ( ตึกลอยน้ำ)

เวลาที่รอคอยก็มาถึง ๑๖.๐๐ น.ของวันที่ ๑๘ พ.ย.คณะเราลงเรือ “บิลเลี่ยนซ์ออฟเดอะซี”ที่ท่าเรือ “Moll d’Assusat” ที่อ่าวบาเซโลนา เรือใหญ่โตสวยจริงๆ เช็คอินเหมือนเดินทางโดยเครื่องบิน ตรวจโลหะ X-RAY กระเป๋า ทางเรือเก็บพาสปอร์ทไว้ บันทึกบัตรเบอร์เดรดิตแล้วออกการ์ดให้ถือไว้คนละใบ บัตรนี้ต้องติดตัวตลอดเวลาสำคัญมาก ใช้แทน Key Card ใช้ Shopping ใช้แสดงตัว หลายคนติดบัตรคล้องคอ เป็นอันว่าบัตรใบเดียวเที่ยวทั่วเรือ ไม่ต้องใช้เงินสดอีกต่อไป ค่าใช้จ่ายไปตัดเอาจากบัตรเครดิต ตอนใบแจ้งหนี้มาจะสลบ ออกเรือรอบนี้ผู้โดยสารประมาณสองพันคน หลายชาติหลายภาษา เฉพาะคนไทย ๖๓ กลุ่มญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน แขกอินเดีย อเมริกัน ยุโรปอีก ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักประกอบภาษามือ เวลาเข้ากลุ่มใช้ภาษาท้องถิ่นภาษาใคร ภาษามัน ล่อกันนัว ประมาณ ๑๖.๓๐ น.ก่อนเรือออกท่า เสียงประกาศให้ทุกคนออกไปอยู่ที่ระเบียงเรือ ย้ำต้องออกไปทุกคนจะอ้างว่าฉันเคยมาแล้วไม่ออกไปไม่ได้ เป็นการสาธิตกรณีมีเหตุต้องสละเรือ เสียงประกาศว่าเป็นข้อบังคับโดยกฎหมาย มีการเช็คชื่อด้วย ผมกับคณะมั่วๆไปยืนที่ระเบียงด้านข้างเรือ เจ้าหน้าที่ชี้โบ้ชี้เบ๊ให้ไปอีกทาง ถึงได้รู้ว่าในบัตรที่ทางเรือจ่ายให้เราถือไว้นั้นบอกไว้ชัดเจนว่า กรณีมีเหตุจะต้องหนีออกจากเรือต้องไปอยู่จุดไหน (กลายเป็นกะเหลี่ยงเลยเรา) เป็นการบริหารจัดการที่เป็นระบบเพื่อไม่ให้คนไปอออยู่ที่กราบเรือข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ใช่กลัวเรือเอียงคว่ำ มันไม่เอียงอยู่แล้วมีอะไรจมดิ่งเลยก็มันตึกตั้ง ๑๕ ชั้น ทางเรือต้องการจัดสรรคนลงเรือชูชีพให้เพียงพอ แหงนมองดูเหนือศีรษะมีเรือชูชีพขนาดจุได้ ๓๐ คน สะลิงห้อยอยู่หลายลำ ส่วนเสื้อชูชีพมีอยู่ในแต่ละห้องแล้ว เรือแต่ละลำมีคนจับจองที่จะลงประมาณ ๕๐ คน แยกเป็นกลุ่มๆไป ผมคิดในใจถ้ามีปัญหาจริงๆคงจะตายก่อนลงเรือ เพราะหนึ่ง เรือมันเอาลงลำบากห้อยแขวนอยู่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่คนควบคุมมีอันเป็นไป หรือมันตายก่อน แล้วใครจะเอาลงมาได้ มันต้องใช้กลไก ประการที่สอง มันต้องแย่งกันลงแน่ ไม่มีคำว่า “คิว” ถึงเวลานั้นตัวใครตัวมัน ต้องอัดกันเต็มที่ ใครดีใครอยู่ ผมพอมองเห็นทาง ในกลุ่มผมมีคนชรากว่าผมหลายคนเด็กๆก็มี คิดในใจอยู่กลุ่มนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว ความจริงภัยอย่างกรณีที่เกิดกับเรือ “ไททานิค”ไม่มีหรอกครับ เพราะเรือ “บิลเลี่ยนซ์ออฟเดอะซี” วิ่งอยู่ในทะเลเมดิเตอเรเนียนซึ่งทะเลปืด ไม่ใช่มหาสมุทร ไม่มีพายุ ไม่มีภูเขาน้ำแข็ง แต่ประมาทไม่ได้ ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมาล่ะ เพราะมีการมีการประกอบอาหารเยอะมาก

ในบัตรที่ทางเรือจ่ายให้ประจำตัวนอกจากจะจำแนกกลุ่มเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินแล้ว ยังระบุสถานที่นั่งทานอาหารอีกด้วย เฉพาะอาหารเย็นทุกคนมีที่นั่งประจำ มีพนักงานคอยบริการดูแล เสริฟอาหารให้โดยเฉพาะ โต๊ะที่ผมนั่งนักท่องเที่ยว ๙ คน ไทย ๖ เพนซิลวาเนีย ๓ มีผู้ดูแล ๒ คน ผู้หญิงชื่อ พอลลา ผู้ชายชื่อ รามาซัน ทั้งสองคนพยามท่องชื่อของพวกเราจนจำได้ พบหน้าทักทายเรียกชื่อทันที (ผมคงต้องเดือดร้อนเรื่อง “ทิบ”แน่ๆ) ส่วนมื้ออื่นๆเลือกทานตามใจชอบ มีห้องอาหารหลายห้อง เวลาเปิดต่างกันเพราะคนตื่นไม่พร้อม มื้อเย็นภาคบังคับ ผิดที่คงไม่ได้ทาน ที่นั่งไม่มี การบริหารจัดการดีเยี่ยม คนสองพันแบ่งกันทานอาหารเป็น ๒ กะ กะแรกพันคนทานเวลา ๑๘.๐๐ น.ตรง (ช้าอาจจะอด) อาหารออกพร้อมกันอย่างรวดเร็วสงสัยมีหลายเตา อาหารรสชาติชั้นยอด จะสั่งจานหลักเบิ้ลสองจานเลยก็ยังได้ กะที่สองอีกพันคนทานเวลา ๒๐.๐๐ น. โดยระหว่างกะแรกรับทานอาหาร กะที่สองจะดูโชว์ พอดูโชว์เสร็จก็ไปนั่งทานแทนที่กะหนึ่ง ส่วนกะหนึ่งสลับไปดูโชว์ บริกรจัดการเรื่องความสะอาดอย่างรวดเร็ว พลอยให้พวกเรานั่งแช่ไม่ได้ ถ้าอยากนั่งคุยนานต้องไปทานต่อห้องอื่น ที่ว่ามีนี้เป็นการทาน “ฟรี” (เก็บเงินไปล่วงหน้าแล้ว) ส่วนถ้าใครอยากทานอาหารดีๆ บรรยากาศพิเศษๆ ทางเรือได้ยกร้านอาหารชั้นยอดมาไว้ แต่ต้องจ่ายเพิ่ม ผมไปดูการแสดง เป็นการโชว์ความสามารถกายกรรม สนุก มีลุ้น ไม่หวาดเสียว การโชว์ในแต่ละวันจะไม่ซ้ำ

หลังจากทานอาหารแล้วเที่ยวชมเรือ ไล่ลงมาจากดาดฟ้า ห้องฟิตเนตอยู่บนสุด อุปกรณ์การออกกำลังกายมากมายเหมือนศูนย์ฟิตเนตใหญ่ๆในกรุงเทพ ชั้นเดียวกันมีสระน้ำ ๒ สระ อยู่ในร่ม ๑ กลางแจ้งอีก ๑ ตอนผมไปดูใกล้เที่ยงคืนแล้ว มีคุณป้าอายุช่วง ๖๐ -๗๐ แต่งชุดว่ายน้ำชนิดมีห่วงยางธรรมชาติในเล่นน้ำกันอยู่ เลยต้องผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั้นต่อไปมีร้านเสริมสวย สปา ห้องโชว์ขนาดใหญ่ ๓ ชั้น จุคนดูได้ประมาณ ๕๐๐ คน ห้องดนตรี ห้องเต้นรำ โรงภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ สินค้า Duty Free ห้องอาหาร บาร์ อีก ๔ แห่ง เดินดูไม่ทั่ว เลิกเดินดีกว่า ไปสะดุดห้องกาสิโน สล๊อท แบลคแจ็ก รูเล็ต ลองหยอดรูเล็ตไปนิดหน่อยได้กำไรแล้วรีบเลิก

กลับไปนอนเอาแรง ต้องอยู่ในเรือถึง ๓๒ ชั่วโมงจึงจะไปถึงจุดแรกที่ขึ้นฝั่งคือ Valletta, Malta อยู่ใกล้ๆกับประเทศกรีก หน้าตาเป็นยังไงไม่เคยไป อธิบายไม่ถูก

ที่ผมเรียกว่า “ผจญภัยบนเรือสำราญ” ไม่ใช่ว่าจะมีภัยอันตรายอะไร แต่เพราะไม่เคยลงเรือใหญ่ๆ คนเยอะๆ มันตื่นเต้น พอเรือออกจากฝั่งไปได้สักครึ่งชั่วโมงผมรู้สึกอาการของเรือได้ ลักษณะเหมือนโดนลมแรงกระทบ ไหวนิดๆ ไม่ถึงกับทำให้เมา ยืนยันว่าไม่มีครั้งใดที่จะได้ปลดปล่อยอารมณ์เหมือนพักผ่อนครั้งนี้ ห่างไกลจากการสื่อสาร internet ติดต่อไม่ได้ ไม่มีการรบกวนใดๆ หิวก็กิน ง่วงก็นอน อยากทำกิจกรรมอะไรก็ทำ ถ้าจะหาจีบใครก็ดูจังหวะเพราะเขามากันเป็นคู่ เป็นครอบครัว โสดๆก็พอมีแต่อายุ ๗๐ ขึ้น ช่วยพยุงด้วยก็แล้วกัน

นึกถึงหนังแอ็กชั่นเรื่องหนึ่งที่มีการ “จึ้”ตัวประกันบนเรือสำราญ มันก็น่าจะเกิดขึ้นได้จริงๆ เพราะสถานที่ค่อนข้างซับซ้อน ห้องหับมากมาย ไล่ล่ากันไม่มีวันจน ผู้คนเยอะล้วนมีแต่มีกะตังส์ทั้งนั้น แค่ลงเรือวันแรกยังไม่มีอะไร ค่อยดูวันต่อไป.


ตอนที่ ๔ (ความสำราญยิ่งกว่าโรงแรมชั้น ๑)

วันที่สองในเรือ ยังคงท่องทะเลทั้งวัน ราบเรียบไม่มีคลื่น กระแสลมมีบ้างตามปกติ ฝรั่งชอบนั่งในส่วน open airที่บริเวณริมสระน้ำ คนไทยไม่ถูกกับลมทรงผมปลิว พะวงอยู่กับการแต่งหน้าทาแป้ง ในเรือไม่น่าเบื่อเพราะมีกิจกรรมต่อเนื่องหลายอย่างเปลี่ยนทุกวัน หลายคนไม่เคยออกกำลังกายเลย มาที่นี่ชวนกันไปเพราะเครื่องเล่นหลายตัว เล่นกันเป็นกลุ่มพวกลากกันไป ต่อด้วยการเต้นรำ ภาคกลางวันมีการสอนในจังหวะต่างๆ รวมทั้งเต้น line dance กลางคืนเต้นกันจริงๆ ฝรั่งชอบเต้นมากยิ่งมีคนดูยิ่งแสดงไม่หยุด คนไทยไม่เต้นได้แต่ดูแล้วก็นินทาในกลุ่มว่า “ฉันเต้นดีกว่าซะอีก” บางคนหลบไปดูหนัง บ้างก็เข้าสปา พวกที่ยังปรับเวลาไม่ได้ ง่วงก็ไปนอนช๊าจแบต เตรียมพร้อมสำหรับอาหารมื้อค่ำวันนี้เป็นพิเศษ ทุกคนแต่งชุดราตรีสวย ผู้ชายสูทดำ คนไทยกับคนโซนเอเชียค่อนข้างเฉยๆ ฝรั่งซัดเต็มที่ ชายแต่ง “แบลคไท” ผูกคอหูกระต่าย ผู้หญิงราตรีดำ วันนี้กัปตันเรือจะมาพบและให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก คนไทยไม่ตื่นเต้นเลย ไม่รู้จะถ่ายไปทำไม แต่ก็ต้องแต่งตามเขาไม่งั้นเป็นตัวแปลกประหลาด ทุกคนเดินเลี่ยงไม่เข้าคิวถ่ายรูป อาหารพิเศษทุกมื้อ เมนูอาหารเปลี่ยนใหม่ทุกวัน เรื่องกินคุ้มที่สุด กินเสร็จไปดูโชว์ วันนี้เป็นการแสดงของนักร้องมีชื่อ น่าชะเป็นชาวอิตาเลี่ยนชายสี่คน เพลงที่นำมาร้องเป็นเพลงเก่ายุค ๖๐-๗๐ ที่คุ้นเคย เข้ากับอายุคนชม นักร้องเสียงดีทุกคน ดูโชว์เสร็จผมจองคิวคาราโอเกะ ที่ห้องร้องคาราโอเกะใหญ่จุคนได้ประมาณร้อยคน ใครจะร้องต้องส่งคิวคนละเพลง พิธีกรจะสัมภาษณ์มาจากประเทศไหน ร้องเพลงอะไร แถมหยอดด้วยคำพูดตลกๆเรียกเสียงเฮฮา ผมส่งคิวเพลง “เอลวิสเพรสลี่” ได้คิวแรก เรียกเสียงปรบมือ ฝรั่งอีกหลายชาติรีรอดูท่าที ต่อจากผมก็มีแมกซิกัน โดมินิกัน อาเจนตินา และอีกหลายประเทศ ใช้เพลงสากลเท่านั้น สังเกตเครื่องเสียงไม่ค่อยเจ๋ง ผมเลยขอร้องเพลงเดียว ต่อจากนั้นมีการเรียกอาสาสมัครเป็นกลุ่มขึ้นไปเล่นเกมส์ร้องเพลง ผลัดกันร้องคนละท่อน(เพลงไม่ซ้ำกัน) วนไปทีละคน ใครร้องเพลงซ้ำแพ้คัดออก กองเชียร์ปรบมือให้กำลังใจเพราะเป็นการแข่งกันระหว่างประเทศ คนไทยส่วนมากถนัดสุนทราภรเลยลงสนามสู้ไม่ได้ กรรมการไม่รู้จักเพลง

เสร็จจากคาราโอเกะแวะหยอดรูเลตซะหน่อย มีงบประจำวันไม่มาก วันนี้หยอดไปกี่ครั้งโดนกินเรียบ หมดโควตาแล้วขึ้นนอนเอาแรง พรุ่งนี้เช้าจะต้องขึ้นฝั่งที่มอลต้า.


ตอนที่ ๕ (ขึ้นบกครั้งแรก)

เรือจอดเทียบฝั่ง “มอลต้า” ตอนเช้า ตื่นนอนเปิดม่านเห็นแล้วตกใจในความสวยงามราวกับภาพวาด เป็นเกาะใหญ่ที่ไม่มีหาดโผล่ขึ้นกลางทะเล ลักษณะคล้ายป้อมปราการ มีประวัติว่าเดิมเป็นของสเปญใช้เป็นสถานตั้งปืนใหญ่สู้รบกับพวกโจรสลัดและพวกล่าอาณานิคม บนเกาะมีโบสถ์สวยๆหลายแห่ง อาคารบ้านเรือนเป็นรูปทรงเหลี่ยมๆความสูงเท่าๆกัน สีน้ำตาลอ่อนสีเดียวไม่มีสีอื่น มองดูแล้วเป็นน้ำตาลทั้งเกาะ กระจกหน้าต่างสีสันตัดกับตัวตึก ทราบจากไกด์ว่าสีของอาคารบ้านเรือนเป็นสีธรรมชาติเพราะสร้างจากหินทราย เมืองนี้มีประชากรแค่สามแสนเจ็ดหมื่นคน รายได้ใหญ่จากนักท่องเที่ยว อากาศดีทั้งปี วันที่พวกเราขึ้นฝั่งประมาณ ๒๐ องศา ไกด์ฝรั่งนำเที่ยวเมืองอยู่ครึ่งวันก็กลับลงเรือต่อ มุ่งหน้าไปอเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์

อยู่ในเรือลืมโลกไปเลย ติดต่อข่าวสารกับโลกภายนอกไม่ได้ ขนาดว่าวันนี้เป็นวันอะไรของสัปดาห์ยังไม่รู้ เป็นที่ต้องการของทุกคนในเรือ เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมของแต่ละวัน ทางเรือจะมีเอกสารแจ้งให้ทราบ วางตามห้องว่าแต่ละวันมีกิจกรรมอะไร ผมสังเกตที่พรมปูที่พื้นลิฟจะบอกให้ทราบว่าเป็นวันอะไร เปลี่ยนพรมทุกวัน

คืนนี้มีโชว์ดีมากจากประเทศอาเจนตินา เป็นลีลาการเต้นประกอบเพลงในจังหวะ “แทงโก้” อีกกิจกรรมหนึ่งเป็นการเต้นยุคซิกตี้ มีประกวดเต้นทวิส ผมกับภรรยาได้รับเลือกเป็นตัวแทนคนไทย ได้รางวัลชมเชย ชนะเลิศเป็นคู่จากญี่ปุ่น.


ตอนที่ ๖ ( คารวะ “ท่าน ตูตานคามูน”)

เรือเข้าเทียบท่า “อเล็กซานเดรีย”ของอียิปต์ โปรแกรมท่องเที่ยววันนี้ไปดูสุสานกษัตริย์ “ตูตานคามูน” และ “ปิระมิด”ที่เมืองไคโร ออกเดินทางแต่เช้าด้วยรถบัสระยะทางประมาณ ๓๐๐ กิโล ทางเรือให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวจนน่ากลัว เช่น ต้องเตรียมเสื้อผ้าให้ถูก กลางวันจะร้อนเพราะอยู่กลางทะเลทราย พอตกเย็นจะหนาว แดดก็ร้อน แสงก็จ้า ต้องเตรียมหมวก เตรียมร่มและแว่นกันแดดไปด้วย ทำให้เสื้อผ้า หมวก ร่มบนเรือขายดี ผมต้องเตรียมเสื้อผ้าสำหรับผจญความร้อนและความหนาวไปผลัดเปลี่ยน ปรากฏว่าพอไปถึงที่หมายอากาศโคตรเย็นสบาย ประมาณ ๒๐ ถึง ๒๒ องศา มีลมพอสมควร แดดน้อยกว่าที่บ้านเรา ไม่เห็นจำเป็นต้องสวมหมวกหรือกางร่มอะไรเลย ฝรั่งขี้วิตกจนเกินเหตุ ท่านใดที่จะไปท่องเที่ยวที่ไคโรขอเพียงแต่ตรวจดูอุณหภูมิอย่างเดียวก็พอแล้วจัดเสื้อผ้าให้เหมาะสม

คำเตือนของเจ้าหน้าที่เรือใช้ได้อยู่อย่าง คือเตือนให้ระวังเวลาซื้อของที่อียิปต์ โดยเฉพาะของที่ระลึกขายอยู่บริเวณ “ปิระมิด” ๑ ไม่ควรซื้อ เพราะถ้าหากสนใจสอบถามราคา หรือเข้าไปพูดคุยด้วย คนขายจะตามตื๊อขายของอย่างน่ารำคาญ ถ้าอยากซื้อให้ไปซื้อตามร้านจำหน่ายของที่ระลึกโดยเฉพาะ ๒ ราคาต้องต่อรองยิ่งกว่าเมืองไทย คือต่อรองลดลง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๓ ที่ “ปิระมิด”จะมีคนท้องถิ่นเอาอูฐมาให้ขี่แล้วถ่ายรูป หรือไม่ก็ให้ยืนถ่ายรูปข้างอูฐ ระวังให้ดีถ้าจะถ่ายรูปกับอูฐต้องเตรียมจ่ายเงินเป็นรายหัว ใครเข้าไปถ่ายบ้างต้องจ่ายเรียงตัว เรียกคนละหลายดอลล์ แต่ต่อรองเหลือคนละ ๑ ดอลล์ได้ กรณีขี่อูฐเขาจะเชื้อเชิญให้ขี่ แต่ตอนลงจะไม่ยอมให้ลงจนกว่าจะจ่ายเงินก่อน

มาเที่ยวอียิปต์ทำให้รักเมืองไทยขึ้นเยอะ เปรียบเทียบกันเป็นเรื่องๆไปเลย

อันดับแรก สภาพถนนหนทาง เส้นทางระหว่างเมืองสู้ของไทยไม่ได้เลย เหมือนกับยังสร้างไม่เสร็จ ไกด์บอกว่าเป็นแบบนี้มาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ถนนเต็มไปด้วยฝุ่น (แน่นอนเพราะอยู่กลางทะเลทราย)

อันดับสอง การขับขี่รถเหมือนกับที่กรุงเทพ แซงซ้ายป่ายขวา ขับระบบซิกแซ็ก ช่องไหนว่างกูไป ไม่ค่อยให้สัญญาณ

อันดับสาม รถบรรทุก ๖ ล้อ รถเทเลอร์เยอะมาก ขับกันสะเปะสะปะ แต่ไม่เห็นมีรถจักรยานยนต์

อันดับสี่ ที่อียิปต์มีมากแต่บ้านเราไม่มี คือ ตลอดระยะทางจะมีคนยืนโบกรถขอโดยสารไปด้วย ยืนเป็นระยะ ๆ

อันดับห้า มีผ้าพาสติกห้อยหน้าร้านบ้างพอสมควรแต่น้อยกว่ากรุงเทพ

อันดับหก บนบาทวิถีบางแห่งตั้งโต๊ะขายน้ำชาเหมือนกับร้านขายก๋วยเตี๋ยวข้างถนนในกรุงเทพ

ความเจริญอียิปต์กับเมืองไทยสูสีกัน แต่เมืองไทยน่าจะเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่า ประชากรก็ใกล้เคียงกับบ้านเราคือของเขามีประมาณ ๗๐ ล้านคน รายได้ของคนในอียิปต์ค่อนข้างต่ำเฉลี่ยประมาณ ๕๐๐ ถึง ๖๐๐ เหรียญ (เงินอียิปต์) คือประมาณ ๓,๐๐๐.-ถึง ๓,๕๐๐.-บาท คนอียิปต์ชอบพูดคุยเสียงดัง ฟังเหมือนคนทะเลาะกัน จะเล่าถึงความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยที่พบเห็น ขณะที่พวกเรานั่งรถบัสกำลังเดินทางไปไคโร มีรถมอเตอร์ไซด์ตำรวจแซงไปจอดขวางหน้า จอดกันกลางถนนเลย รถอื่นตามหลังมาขับหลบเอาเอง คนขับรถลงไปเจรจาว่าความอะไรกันไม่ทราบประเดี๋ยวตำรวจก็ขับรถไป ไกด์บอกว่าตำรวจทำอย่างนี้ประจำเลยโดนชาวบ้านต่อยเอาบ่อยๆ

เดินทางไปถึง “ปิระมิด” ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนที่นึกคิดเอาไว้ เคยเห็นแต่ในภาพ แต่มันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับคนโบราณที่ไม่ร้ว่าไปหาก้อนหินมาจากไหนทั้งที่อยู่กลางทะเลทราย เอาหินมากองเป็นภูเขา ที่นักท่องเที่ยวพาไปดูเป็น “ปิระมิด” ที่สำคัญที่สุด เป็นที่ฝังศพของกษัตริย์ “ตูตานคามูน” มีอยู่ด้วยกัน ๓ ปิระมิด (ปิระมิตที่อียิปต์มีอยู่ด้วยกันถึง ๑๑๓ แห่ง เล็กใหญ่ตามความสำคัญของศพ) ความกว้างของฐานและส่วนสูงประมาณด้านละ ๕๐ เมตร หินแต่ละก้อนที่นำมาเรียงก้อนละประมาณ ๑ ลูกบาศก์เมตร ด้านหน้าเป็นรูปสฟิ๊งที่จมูกแหว่งเหมือนที่เห็นในโปสการ์ด ณ สถานที่แห่งนี้ช่วงกลางคือจะจัดให้มี Light & Sound แต่พวกเราไม่อยู่ดูกัน อดนึกถึงภาพยนตร์ชุด “เจมส์บอนด์ 007”ที่ “เพียสบอสแนน”แสดงไม่ได้ เป็นฉากที่ต่อสู้กันที่นี่ตอนที่แสดง Light & Sound พวกเราใช้เวลาดูที่นี่เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ไกด์บอกว่าที่นี่มีแต่ก้อนหิน “มัมมี่”ที่ฝังไว้ไม่มีแล้วถูกนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ แล้วไกด์ก็นำพวกเราไปดูโลงศพที่ฝังกษัตริย์ “ตูตานคามูน” และเครื่องประดับ ของใช้ ที่ขุดมาจากสุสานใต้ปิระมิด จากนั้นพาไปช๊อปปิ้งของที่ระลึก เป็นไปอย่างที่ทางเจ้าหน้าที่เรือแนะนำ คือแค่เดินผ่านดูของคนขายที่ยืนหน้าร้านก็มาฉุดแขนให้ซื้อโน่น ซื้อนี่ จนน่ารำคาญ พวกเราก็เขี้ยวอยู่แล้ว อยากขายก็ต้องต่อรองกันหน่อย ส่วนมากเป็นของที่ระลึก อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลหาอะไรติดไม้ติดมือกลับไปหน่อย

การท่องเที่ยวก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ได้เห็นความแตกต่าง ได้สังคม ได้รับความรู้เพิ่มเติม คนที่ยังไม่เคยไปก็อยากจะไป คนที่เคยไปแล้วก็บอกว่า “ยังงั้น ๆ” อยากไปที่ๆยังไม่เคยไป บางคนว่าทำไมไม่เที่ยวไทย เงินไม่รั่วไหล อันนี้มันก็แล้วแต่ “กำลัง” ทั้งเงินและกาย ชีวิตนี้ถ้ามีโอกาสก็ควรไป ใช้ชีวิตให้คุ้มก่อนที่จะหมดสิ้นลมหายใจ.


ตอนที่ ๗ (ความครื้นเครงบนท้องถนน)

วันที่ ๒ ที่อียิปต์ เที่ยวในเมือง “อเล็กซานเดรีย” เป็นเมืองที่สวยงามอยู่ติดทะเลเมดิเตอเรเนียน อากาศดีทั้งปี ช่วงที่ไปประมาณ ๒๒ องศา สภาพเมืองดูค่อนข้างจะขัดๆกันในตัวของมันเอง ระหว่างคนจนกับคนรวย ด้านริมทะเลจะเป็นย่านเศรษฐีอยู่ อาคารบ้านเรือนสวยงาม โรงแรมหรูๆมากมาย ไกด์ชี้ให้ดูโรงแรมโฟร์ซีซั่นบอกว่าห้องพักคืนละประมาณ ๑ แสนบาท พาไปดูบ้านประธานาธิบดี “มุมบารัก” โคตรสวย ทรงเมดิเตอเรเนี่ยน ริมทะเล เสียดายที่ไม่มีหาด เข้าใจว่าถมทะเลออกไป แต่ก็มีบางแห่งสร้างหาดทรายไว้เหมือนกัน มองไกลเห็นทรายออกสีน้ำตาลปนดำ ส่วนคนจนอยู่ด้านในห่างไกลทะเล บ้านพักอาศรัยเป็นแบบอพาตเม้นทรงเหลี่ยม ๆ มองเห็นทั่วๆไป

ที่สนุกสนานลุ้นกันไปตลอดคือการขับรถของคนอียิปต์ คราวนี้เห็นกันชัดๆ ต้องยกให้ชนะที่กรุงเทพไปเลย แซงกันมั่วไปหมด รถที่พวกเรานั่งเป็นบัสใหญ่ขนาด ๔๐ ที่นั่ง ขับเป็นขบวนรวม ๔๐ คัน พอเข้าเมืองแซงกันอุตลุต นอกจากจะแซงกันเองแล้วยังแซงรถเล็กกระจุย ขับๆไปรถข้างหน้าหยุดรับส่งผู้โดยสารกลางสี่แยกเอาดื้อๆ รถตามหลังต้องเบรกกันตัวโก่ง ขับไปๆเจอฬาลากล้อเลื่อน ต้องหยุดให้ผ่านไปก่อน ผู้คนที่นี่ไม่เดินบนทางเท้า เข้าไปเดินกลางถนนเลย ส่วนบาทวิถีบ้านใครบ้านมันเขาตั้งโต๊ะกินน้ำชา คนวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถยนต์ที่กำลังขับด้วยความเร็วสูงมีให้เห็นเป็นประจำ มีอยู่ตอนหนึ่งรถบัสของเรากำลังจะเลี้ยวขวา เปิดสัญญาณรอเลี้ยวอยู่ ทันใดนั้นรถเก๋งก็ขับแซงขวาอย่างรวดเร็วบีบแตรลั่น เสียงดังโครมสนั่นโดนกันเข้าจริงๆ รถพังไปคนละด้าน คนขับขี่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นเขาลงจากรถ ต่างคนต่างโบกมือแล้วก็ขับไปอย่างหน้าตาเฉย หลังจากรถถึงที่หมายผมลงไปดู รถเราตัวถังถูกครูดสีถลอกเป็นทาง คนขับบอกว่าพังทั้งคู่ไม่เป็นไร จึงไม่แปลกที่เห็นรถเมืองนี้มีสภาพบุบบู้บี้ เขาไม่ซ่อมกัน รอไว้ชนจนกว่าจะพัง

ถ้าบ้านเมืองนี้มีการจัดระเบียบให้ผู้คนมีวินัย เคารพกฎหมาย จะเป็นเมืองที่น่าอยู่มาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ความสกปรกเรื่องขยะ การทิ้งสิ่งของในที่สาธารณะ แย่กว่าที่กรุงเทพอีก ถนนเป็นหลุมบ่อ

วันนี้ไปทัวร์ดูหลุมฝังศพ ไปที่สุสานอะไรผมไม่สนใจ ต้องมุดลงใต้ดินตามช่องเล็กๆ บันได ๕๐ ขั้น ลงไปเพื่อจะดูว่าอียิปต์โบราณเขาฝังศพกันยังไง แล้วก็กลับขึ้นมา ผมไม่ลงไปกับเขา ต้องการมาสูดอากาศบริสุทธ์ทำไมจะต้องลงไปแย่งกันหายใจด้วย ก็ต้องเข้าใจว่าจุดขายของเมืองนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับศพทั้งสิ้น ต่างคนต่างจิตต่างใจไม่ว่ากัน ผมพึงพอใจที่ได้สัมผัสวัฒนธรรม สังคมและความเป็นอยู่ของผู้อื่น เพื่อเปรียบเทียบกับของเรา แล้วจึงจะเห็นคุณค่าของที่เรามีอยู่.


ตอนที่ ๘ เยี่ยมเกาะไซปรัส

ไซปรัสเป็นเกาะเล็กๆอยู่ใจกลางเมดิเตอเรเนียน อากาศยอดเยี่ยมประมาณ ๒๐ องศา ไกด์พานั่งรถชมทั่วๆเมือง สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาส่วนใหญ่ พื้นดินเป็นหินชั้นๆสีออกน้ำตาลอ่อน หาดินล้วนๆทำการเพาะปลูกยาก อาคารบ้านเรือนทรงเมดิเตอเรเนียน ไม่นิยมอาคารสูงเพราะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ รายได้คนส่วนใหญ่จากการท่องเที่ยว เศรษฐีนิยมมาปลูกบ้านพักตากอากาศที่นี่ สังเกตเห็นรถยนต์มียี่ห้อราคาแพงเยอะพอสมควร ไกด์พาไปดูซากปรักหักพังของสนามกีฬาอายุประมาณ ๑๒๐๐ ปี สภาพที่เห็นมีแต่ก้อนหินเรียงราย ชมโบสถ์คริส เดินดูหมู่บ้านขายของที่ระลึก พวกงานฝีมือ หลายคนบ่นว่า “ไม่เห็นมีอะไร” คงลืมไปว่าสิ่งที่ได้คือเห็นวัฒนธรรมความ เป็นอยู่ เมืองนี้ไม่ใช่เมืองช๊อปปิ้ง ใช้เวลาอยู่บนเกาะนี้ประมาณ ๕ ชั่วโมง กลับไปสำราญในเรือกันต่อ.


ตอนที่ ๙ เกาะโรดส์ (Rhodes)ประเทศกรีซ

เคยดูหนังยี่เกฝรั่งเมื่อตอนเด็กๆ ทหารโรมันรบกัน ยกกำลังไปทางเรือ เกาะ “โรดส์”มีชื่อเสียงมากในการต้านการโจมตีของข้าศึก มีกำแพงสูงล้อมรอบเมือง เรือจะเข้าเกาะนี้ได้ต้องแล่นผ่านปากอ่าว มีรูปปั้นสัมฤทธิ์นักรบโรมันตัวใหญ่ยักษ์ยืนถ่างขา เท้าทั้งสองข้างเหยียบชายฝั่ง มือสองข้างรูปปั้นโรมันถือภาชนะใบใหญ่ข้างในบรรจุน้ำมันจุดไฟ แสงไฟสว่างไปทั่วเมือง เรือที่จะเข้าอ่าวต้องรอดหว่างขารูปปั้น ถ้าเป็นเรือข้าศึกก็จะมีกลไกปล่อยน้ำมันที่ติดไฟลงใส่เรือ ข้าศึกเรืออับปางพ่ายแพ้ ต่อมาฝ่ายข้าศึกพยายามทำลายรูปปั้นนี้จนสำเร็จ และเข้าตียึดเมือง “โรดส์”ได้ เป็นเรื่องในหนังเมื่อประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว จำชื่อเรืองไม่ได้ ผมนึกภาพคงจะได้เห็นร่องรอยเหล่านี้บ้าง

ประมาณ ๙ โมงเช้าเรือเทียบฝั่ง ภาพกำแพงเมืองยังคงมีเหลือให้เห็น กำแพงสูงมาก สูงกว่ากำแพงที่กรุงเก่าอยุธยาสักสองเท่า มีป้อมปราการ หอรบให้เห็น แต่รูปปั้นนักรบโรมันที่ผมกล่าวตอนต้นไม่มี วันนี้เที่ยวกันเองไม่มีไกด์เลยไม่รู้จะถามข้อมูลจากใคร เมือง “โรดส์”สมัยใหม่ยังคงรักษารูปแบบเมืองเก่าเอาไว้ เขาสร้างถนนขนาบด้านนอกกำแพงเมือง ใครจะเข้าไปในเมืองต้องรอดผ่านซุ้มประตูเข้าไปเหมือนกับหนังโรมัน ข้างในเป็นร้านค้า ขายของที่ระลึก เพชรพลอย เครื่องประดับ เสื้อผ้า ราคาที่นี่ไม่มีการต่อรอง และราคาเดียวกันหมด คนขายของไม่จู้จี้ ไม่เซ้าซี้ยัดเยียดขายเหมือนที่อียิปต์ อากาศดีมากประมาณ ๑๘ ถึง ๒๐ องศา คนชอบนั่งทานอาหารกันกลางแดด บ้านเมืองสวยงามสะอาด อาคารพานิชรูปทรงกลมกลืนกันทั้งเมือง สไตร์โรมัน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี ใช้เวลาที่นี่ประมาณ ๔ ชั่วโมง เดินอย่างเดียวไม่มีนั่ง กลับเรือเจ็บเท้าพอสมควร.
"คุณอังกูรเล่นหนังด้วยหรอ?"
"โห...ประกบคู่กับพี่เอกสรพงษ์ด้วย"
"คลาสสิคสุดๆ...อยากดูเต็มๆจัง"
และอีกมากมายสำหรับเสียงตอบรับ เนื่องจากล่าสุดทีมงานทำ VDO "เปิดปูมฮีโร่" มาให้ได้ชมกัน วันนี้ทีมงานจีงขอสมนาคุณแฟนๆ ตามเสียงเรียกร้องครับ เราใช้เวลาตามหาภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้อยู่นาน ในที่สุดก็ถึงมือแฟนๆ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพยนตร์)

ตอน 1ตอน 2ตอน 3
ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 1 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 2 ภาพยนตร์ เรื่อง 1+1 ฉึ่งแหลก ตอน 3
ติดตามกันมานาน
จนเป็นแฟนประจำกันก็มาก...
แต่หลายๆท่านคงยังอยากรู้จักคุณอังกูร (007) ในแง่มุมต่างๆ ให้ลึกลงไป
ถึงเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นฮีโร่ของเรา
ในวันนี้ เราจึงไม่รอช้าจัดเป็น VDO
ให้ชมกันอย่างจุใจ

(คลิ๊กที่ รูปเพื่อดูวีดีโอ)

พลังสกาล่าร์ ร้องทุกข์ที่นี้
จำนวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์