เขียนถึงเพื่อน วาทตะวัน
คนที่ผมเขียนถึงนี้หลายคนคงรู้จัก โดยเฉพาะผู้อยู่ในวงการน้ำหมึก ถ้าไม่รู้จักจะบอกให้เอาบุญเป็นนามปากกาของนายตำรวจผู้หนึ่ง นามเต็มว่า"วาทตะวัน สุพรรณเภษัช" เคยเขียนอยู่ในคอลัมน์"กาแฟขม ขนมหวาน" ในผู้จัดการออนไลน์คนติดกันทั้งเมือง ไม่อยากเชยหรือล้าหลังก็ขวนขวายตามอ่านเสีย
คำว่าเพื่อนมีอยู่ทุกวงการ ทุกสังคม ทั้งหญิงและชาย โดยเฉพาะโรงเรียนประจำหรือโรงเรียนเหล่า จะมีกลุ่มเพื่อนซี้บ้างไม่ซี้บ้างแล้วแต่จะถูกคอกันแค่ไหน บางทีคนชอบกันอยู่ๆมาก็โกรธกัน สักพักก็กลับมาดีกันอีก คำว่าเพื่อนที่ว่านี้ไม่ใช่คำว่า "กิ๊ก" ที่ใครเป็นคนบัญญัติศัพท์ขึ้นมาก็ไม่รู้ ผมไม่เห็นว่าจะเข้าท่าตรงไหน คำว่าเพื่อนความหมายชัดเจนอยู่แล้ว
ผมเคยเขียนในบทความครั้งก่อนๆแล้วว่า ผมเป็นเด็กวัด เนื่องจากผมเป็นคนต่างจังหวัด เมื่อเข้าไปเรียนหนังสือในเมืองก็ต้องหาที่พัก สมัยก่อน(ประมาณปีพ.ศ.2500) ในกรุงเทพหอพักหรืออพาร์ทเม้นต์หายากมาก ตอนที่ผมเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมและโรงเรียนนายร้อยตำรวจผมจึงต้องอาศัยพักที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน ส่วนเพื่อนที่ผมเขียนถึงนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนนายร้อยสามพราน บ้านของเพื่อนคนนี้อยู่แถวๆบ้านหม้อ ห่างกันเพียงเดิน 5 นาทีก็ถึง เพื่อนมักจะชวนไปพักด้วย ผมรู้จักกับญาติๆของเพื่อนหลายคน ทุกคนจิตใจดี รักใคร่เอ็นดูเหมือนผมเป็นลูกหลานคนหนึ่ง ได้ประสบการณ์และเรียนรู้จากเพื่อนคนนี้มาก เช่น พาไปรู้จักสถานที่ ผู้คน โดยเฉพาะที่กินอาหารดีๆ รสชาติเยี่ยม สถานที่เที่ยวต่างๆ แต่ที่สำคัญคือเพื่อนผมเรียนเก่งความจำดี มีอารมณ์ขัน และเป็นคนกล้าชนิดไม่ค่อยกลัวใครทีเดียว
เรื่องอารมณ์ขัน เพื่อนผมคนนี้มีเยอะมีเทคนิคในการเล่าเรื่อง ฟังตอนต้นเหมือนเรื่องจริงแต่มาหักมุขตอนจบชนิดขำกลิ้ง เป็นคนที่มีเรื่องโจ๊กมากที่สุด เพื่อนๆพากันติดและรักเขา สมัยก่อนสถานที่ชุมนุมเล่าเรื่องโจ๊กก็มีอยู่ 2-3 ที่ แรกคือที่ลิโดค๊อฟฟี่ชอบใต้โรงภาพยนตร์ลิโด้สยามสแควร์ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้รื้อทิ้งทำเป็นตลาดขายเสื้อผ้าสินค้าราคาถูกไปแล้ว เมื่อก่อนนี้ที่นี่ทำเลเหมาะมากเพราะข้างในมืดสลัวๆ มองออกไปข้างนอกเห็นคนเดินผ่านไปมาชัดเจน ที่ลิโด้ค๊อฟฟี่ชอปเป็นศาลโกหกมื้อเที่ยง สมาชิกที่ไปประจำมี ชินดารา, เปี๊ยกเล็ก, เปี๊ยกใหญ่, นิดไพศาล, บีเลิฟ, จุ๊กกี้, อู๊ดลูกขุนนาง, หมูลูกนายพล และอีกหลายคนจำชื่อไม่ได้ ส่วนผมกับเพื่อนนานๆไปครั้ง อาหารของกลุ่มพวกเราคือกาแฟ, ไอซ์ที ถ้วยเดียวกินทั้งวัน ส่วนอาหารหนักคือราดหน้า
พอตกเย็นย้ายวิกไปที่เอราวัณที่รูมติดกับศาลพระพรหม ปัจจุบันรื้อไปกลายเป็นไฮแอทเอราวัณ ที่เอราวัณทีรูมมีก๊วนประจำ เกรดจะดีกว่าที่ค๊อฟฟี่ชอปลิโด้เพาะอาหารค่อนข้างแพง มีเมนูอาหารฝรั่งและมีลูกค้าฝรั่ง คนมีระดับนั่งด้วย ก๊วนเอราวัณจะมี เกชา, หนิง นิรุธ ,นิดภูมิ, ณัฐ เสธฯ, ปุ๊ รูเล็ต, ปุ๊ เจิด, เสกสรร สัตยา ช่วงบ่ายแก่ ๆ กลุ่มลิโด้จะมาสมทบด้วย พวกเราจะนั่งกันอยู่มุมๆหนึ่ง ซึ่งผมจำได้ว่า "เสกสรร สัตยา" เรียกมุมนี้ว่า"Thief Conner" เรียกเป็นภาษาอังกฤษฟังเพราะดี แต่พอแปลเป็นไทยหลายคนไม่ชอบเพราะมันคือ"มุมโจร" แต่เป็นกลุ่มรักสนุก เสกสรรฯเป็นคนรูปหล่อเคยเล่นหนังเป็นพระเอกเรื่อง"ขุนดง" ต่อมาผันตัวเองเป็นเจ้าของบาร์เพลบอยและต้องมาจบชีวิตลงด้วยปืน 11 มม.ของมือปืนโหด ที่ชั้นล่างของตึก"อรกานต์" ผมยังระลึกถึงเขาอยู่เสมอ
กลุ่มพวกเรานั่งกันเกือบทุกวัน ถ้าไม่ได้ไปซักวันรู้สึกเหงา และพวกเรายังทำให้สถานที่ๆไปนั่งดูคนคับคั่ง แต่จะทำให้กิจการค้าขายดีหรือไม่ พิจารณาเอาเอง กลุ่มเราจะสั่งชาหรือกาแฟเป็นหลัก โดยสั่งเป็นPOT แก้วหลายๆ ใบ POTหนึ่งราคาสมัยนั้น 50 บาท แต่เราสั่งเด็กเสิร์ฟซึ่งคุ้นเคยให้คอยเติมน้ำร้อนเรื่อยๆ ฉะนั้น POT หนึ่งทานได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น พวกเรามีมารยาทดีรู้ว่าช่วงเที่ยงและค่ำจะมีแขกโรงแรมหรือคนนอกเข้าไปทานอาหารซึ่งจะเป็นรายได้ของทางเจ้าของสถานที่ ดังนั้นพวกเราจึงออกไปกินข้าวแกงบ้าง ก๋วยเตี๋ยวบ้าง ที่ข้างถนนข้างนอก พอหมดเวลาที่คนนอกเขาทานอาหารกันและทยอยกลับไปแล้วพวกเราก็กลับเข้าประจำที่ๆ Thief Conner กันอีกครั้ง
ตอนค่ำจะแยกย้ายกันเพราะแขกนอกคนมีระดับจะนิยมมาทานอาหาร กลุ่มพวกเราบางคนกลับบ้านเพื่อรับฟังปัญหาลูกเมียต่อ บางคนก็ไปนั่งที่ค๊อฟฟี่ช้อปโรงแรมเพรสซิเด็นท์ ห้องคาปูชิโนปัจจุบัน แต่ก็ไม่ลืมที่จะทานอาหารหนักจากข้างนอกไปก่อน บางคนไปต่อที่ร้านอาหารเฟรมทรี ของคุณกนก ที่สุขุมวิท แถวอโศก ปัจจุบันถูกรื้อเพราะมีการตัดถนนผ่าน นั่งกันอยู่จนถึงเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน
นี่ก็เป็นอิทธิพลของกลุ่มเพื่อน เมื่อจับกลุ่มกันแล้วก็มีเรื่องสนุก ตลกโปกฮา เบาสมอง คลายเครียดเอาเป็นสาระอะไรไม่ได้ เป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่ง เพราะทุกคนเมื่อกลับไปบ้านก็จะเครียดทันทีเพราะปัญหาที่บ้านมีร้อยแปดถ้าไม่ออกไปผ่อนคลายบ้างก็จะเป็นบ้าเอา เพื่อนผมที่กำลังเขียนถึงนี้มีบทบาทในการสร้างอารมณ์สุนทรีย์ ให้กับเพื่อนๆมาก เพราะมีเรื่องเล่าทั้งวัน วันไหนถ้าเพื่อนผมไม่มาวงจะเหงาแล้วค่อยๆทะยอยกลับ เรียกว่า งานกร่อย "วงแตก"
เพื่อนผมคนนี้ไม่ใช่มีอารมณ์ขันอย่างเดียวเรื่องเรียนก็เก่ง ความจำก็ดี ชอบทำอะไรที่หลายคนคิดไม่ถึง เวลาอยู่ในห้องเรียนเพื่อนผมมักจะถามปัญหาซึ่งถ้าครูทำการบ้านมาไม่ดีรับรองว่าเข้าตาจนเอาง่ายๆ มีครั้งหนึ่งมีการเชิญระดับรัฐมนตรีมาบรรยายพิเศษ รัฐมนตรีท่านนี้คงจะไม่ได้ทำการบ้านมาประมาทไปหน่อย คงนึกว่ามาบรรยายให้นักเรียนธรรมดาๆฟัง ยกข้อมูลตัวเลขขึ้นมาก็ผิด อ้างปี พ.ศ.ก็ไม่ถูกต้อง เลยโดนเพื่อนผมคนนี้สอนมวยชนิดที่ว่ารัฐมนตรีท่านนี้เข็ดไปจนวันตาย (ถ้าไม่แม่นจริงอย่ามาอ้างส่งเดช)
ผมทึ่งในตัวเพื่อนผมมาก ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไรรู้ไปหมดทั้งในประเทศนอกประเทศ เรื่องเศรษฐกิจการเมือง เรื่องลามกจกเปรต โดยเฉพาะเมื่อมีอาจารย์บรรยายพิเศษเรื่องใดเพื่อนผมคนนี้จะโต้ตอบอาจารย์จนชนิดที่ผมและเพื่อนคนอื่นๆทึ่ง ฟังแบบอ้าปากค้าง (มันเก่งฉิบหาย,มันรู้มาได้อย่างไรว๊ะ) ผมพยายามจดจำแบบอย่างและคอยถามเพื่อนผู้นี้อยู่เรื่อยๆว่า "ทำได้ไง" "ไปประเทศโน้น, ประเทศนี้มาเหรอ" เพื่อนคนนี้คงสมเพชผม ก็เลยบอกให้เอาบุญว่า "ตำรับตำรา หนังสือดีๆ คนเก่งๆ เขารวบรวมไว้ให้หัดหาอ่านเสียบ้างโดยเฉพาะเรื่องไหนที่จะมีการบรรยายต้องศึกษาก่อน ห้องสมุดมี" ผมถึงบางอ้อ แต่นั้นมาผมชอบการอ่านเป็นที่สุด
มีหนังสืออะไรออกใหม่ซื้อมาอ่านเต็มบ้านไปหมด แล้วก็ไปพูดโม้ให้คนที่ไม่รู้ฟังชนิดคนฟังอ้าปากตาค้างมาแล้ว พูดถึงการอ่านก็ต้องมีเทคนิค เพื่อนผมคนนี้เป็นคนอ่านไวและจำได้ด้วย ครั้งหนึ่งก่อนมีการสอบวิชาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ อาจารย์ให้หนังสือมาเล่มโต ความหนามากกว่า 1 นิ้ว พวกเราที่เรียนอยู่ทุกคนท้อว่าวิชานี้สอบตกแน่ แต่เพื่อนผมคนนี้ช่วยไว้ได้ โดยเพื่อนอ่านหนังสือเล่มโตทั้งเล่มในเวลาไม่เกิน 10 นาที แล้วขึ้นบน Stage หน้าชั้นเรียนสรุปให้ฟัง พวกเราทุกคนเข้าใจ สามารถสอบผ่านทุกคน ผมถามอีกว่ามีเทคนิคการอ่านอย่างไร ได้รับการตอบว่า อ่านเฉพาะสาระสำคัญโดยดูที่สารบัญก่อน หนังสือแต่ละเรื่องสาระมีนิดเดียว มีน้ำเยอะ ฉะนั้นต้องตีให้แตกก่อนว่า หัวใจที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอคืออะไร ผมก็จดจำวิธีการอ่านมาปฏิบัติอีก เมื่อก่อนนี้ผมอ่านทุกคำ ทุกหน้า ตั้งแต่คำนำถึงหน้าสุดท้าย แต่เดี๋ยวนี้ดูชื่อหนังสือก็รู้แล้วว่าสาระน่าจะเป็นอะไร อ่านสารบัญก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าน่าจะเป็นแบบไหน เดี๋ยวนี้ผมอ่านหนังสือหนาๆเล่มหนึ่งเพียงไม่กี่นาทีก็จบ เมื่อสนใจตอนใดก็กลับไปอ่านละเอียดอีกครั้ง
เพื่อนผมคนนี้เก่งจริงๆ เก่งทุกเรื่อง เก่งทั้งตระกูล เขาคือ พ.ต.อ.ประจักษ์ศิลป์ สุพรรณเภสัช คนที่ผมไม่เคยลืม และนึกถึงอยู่เสมอ งานเขียนที่ลือลั่นสั่นสะเทือน คือ "รัดทำมะนวยฉบับหัวคูน" กับ "เหี้ยส่องกระจก"