ไฮโซกำมะลอต้มแม่ค้าเพชร (ขายของ ควรจะอ่าน)
		
		
		
		
					
				
		
		
		 ผมขอใช้คำว่า กำมะลอกับพวกที่ไม่ใช่ของแท้  พวกที่กรีดกรายวางท่าผู้ดี  มีฐานะ  ซึ่งความจริงไม่ใช่  ส่วนแม่ค้าเพชรในที่นี้ก็ไม่ใช่ภรรยาผมนะครับ  เอามาเล่าสู่กันฟังเพราะในช่วงเศรษฐกิจทรุดจะมีอาชญากรรมเกิดขึ้นหลายรูปแบบ  เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมยังรับราชการอยู่ที่กองปราบปราม  แม่ค้าเพชรซึ่งมีบู๊ธจำหน่ายอัญมณีที่ศูนย์การค้ามีชื่อย่านราชประสงค์มาร้องทุกข์กับผม  ถูกไฮโซสาวกำมะลอต้ม  สูญเสียแหวนเพชรวงงามไปมูลค่า ๒ ล้านบาทเศษ วิธีของคนร้ายน่าจะยังใช้ได้อยู่  รู้ไว้ไม่เสียหลาย
ผู้เสียหายรายนี้เล่าให้ฟังว่า  เธอตั้งตู้เพชรจำหน่ายอัญมณีที่ศูนย์การค้าดังกล่าวมาหลายปี  ลูกค้าขาประจำมากพอสมควร  ในจำนวนนี้มีคุณนายหุ่นดีแต่งตัวทันสมัยชอบมาซื้อแหวนจากเธอเป็นประจำ  มากกว่า ๒ ครั้ง  แต่ซื้อวงเล็ก ๆ ราคาเป็นหลักหมื่น  อยู่มาวันหนึ่งเวลาบ่ายแก่ ๆ  ไฮโซสาวผู้นี้มาที่ตู้เพชรของเธออีก  บอกว่าอยากได้แหวนเพชรน้ำดีเม็ดเดียวโทน ๆสัก ๒ กะรัต  พอดีเธอมีแหวนขนาดดังกล่าวอยู่พอดี  เธอตั้งราคาไว้ที่ ๒ ล้านห้า  ไฮโซสาวของลองเพชรแล้วชอบมาก  การต่อรองราคาใช้เวลานานเป็นชั่วโมงจึงตกลงซื้อ  มาถึงตอนชำระเงินไฮโซสาวควักสมุดเช็คออกมาเตรียมเซ็นสั่งจ่าย   เงินจำนวนล้านเจ้าของร้านเพชรไม่ค่อยอยากจะรับเช็คสักเท่าไร  กลัวติดสปริง  ความจริงถึงผู้ซื้อรายนี้จะซื้อเพชรที่ร้านเป็นประจำ  แต่ทางเจ้าของร้านก็ไม่เคยทราบหัวนอนปลายเท้าเธอว่าเป็นใคร  อยู่ที่ไหน  ฐานะการเงินเชื่อถือได้ขนาดไหน  เจ้าของร้านปฏิเสธไม่รับเช็คแต่ใจก็อยากจะขายแหวน  ทางร้านจึงหาทางว่า  เอาเช็คไปเบิกเงินสดก่อนพอรับเงินแล้วก็เอาแหวนไปเลย  ดูเวลาขณะนั้นใกล้บ่ายสามโมง  สรุปว่าน่าจะไปถึงธนาคารทันก่อนปิดทำการ  ธนาคารที่ใช้เป็นธนาคารกรุงเทพฯสำนักพลับพลาไชย  คาดคะเนว่าขับไปถึงน่าจะทันบ่ายสามโมงครึ่ง( เวลาธนาคารปิด)
ผมสงสัยว่า  ไฮโซสาวผู้นี้คงจะมีข้อมูลมาก่อนแล้วว่า  เจ้าของร้านเพชรรายนี้ขับรถเอง  ไม่มีคนขับรถ  การต้มตุ๋นครั้งนี้จึงเกิดขึ้น  เจ้าของร้านเพชรสั่งเด็กที่ร้าน (ความจริงคือหลานสาว) ให้อยู่ดูแลร้าน  แล้วเธอก็นำแหวนเพชรที่ตกลงซื้อขายกันใส่กล่อง  เอาเก็บไว้ในกระเป๋าถือแล้วพาสาวไฮโซไปที่ลานจอดรถของทางห้าง  สาวผู้ซื้อขอนั่งรถไปด้วยอ้างว่าไม่ได้เอารถมา เจ้าของร้านเพชรรีบบึ่งรถเบ๊นซ์คันงามตรงดิ่งไปที่ธนาคารกรุงเทพฯสำนักพลับพลาไชย  โดยมีไฮโซสาวนั่งคู่ไปด้วนหน้า  ระหว่างทางก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย  แต่ในใจคงคิดกันไปคนละทาง  พอรถถึงถนนเสือป่าใกล้ธนาคาร  ไฮโซสาวดึงเช็คออกมาเขียนข้อความสั่งจ่ายเงินในรถ  อ้างว่าจะได้เร็วเข้า  ว่าแล้วไฮโซก็เอ่ยปากกับเจ้าของร้านเพชร  พี่ ๆ  หนูขอลองใส่หน่อยซิ  ถูกใจหนูมากเลย เจ้าของร้านก็หยิบแหวนส่งให้  ไฮโซสวมนิ้วไว้ที่แหวนแล้วชมไปตลอดทาง  พอดีรถเลี้ยวเข้าหน้าธนาคารกรุงเทพ ฯสำนักพลับพลาไชยพอดี  ดูเวลาเหลืออีกไม่ถึง ๑๐ นาทีจะบ่ายสามโมงครึ่ง  ไฮโซสาวบอกว่า ไม่ต้องห่วง  ผู้จัดการแบ๊งค์ชอบกัน
ท่านทั้งหลายคงทราบนะครับ  ลานจอดรถบริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ ฯสำนักพลับพลาไชยขณะนั้น  ที่จอดรถจะน้อยและจะมีรถยนต์จอดเต็มไม่มีที่ว่าง  รถเจ้าของร้านเพชรเลี้ยวเข้าไป  ไม่มีที่จอดรถว่างให้จอดและยังมีรถอื่นรอหาที่จอดอยู่หลายคัน  ไฮโซสาวบอกว่า พี่เดี๋ยวไม่ทัน  เจอกันที่ห้องผู้จัดการ  ว่าแล้วไฮโซสาวก็เปิดประตูรถรีบวิ่งเข้าธนาคารไป  เจ้าของเพชรเป็นห่วงแหวนแต่ไม่รู้จะวิ่งตามไปยังไง  จะเรียกเอาแหวนคืนก็เกรงใจเพราะตกลงซื้อขายกันแล้ว  ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า  เดี๋ยวก็คงจอกันในธนาคาร  เธอขับรถหาที่จอดแต่สายตาก็ไม่ละไปจากประตูหน้าธนาคาร  เห็นชัดๆว่าไฮโซสาวเข้าไปในธนาคารแล้วยังไม่ได้กลับออกมา  เธอรีบจอดรถ  กว่าจะจอดได้ก็เกือบ ๕-๖ นาที  เธอรีบตามเข้าไปในธนาคาร  มองไม่เห็นไฮโซ  เธอจึงรีบเข้าไปในห้องผู้จัดการ  พบผู้จัดการนั่งอยู่คนเดียว  เธอถามถึงสาวไฮโซโดยบอกลักษณะไป  ผู้จัดการยืนยันว่าในช่วงบ่ายวันนั้นยังไม่มีลูกค้าสาวผู้ใดไปพบเลย  เธอยืนยันกับผู้จัดการว่า  เธอเห็นสาวไฮโซเข้าไปในธนาคารแล้วยังไม่ได้ออกไปเลย  ต้องอยู่ในธนาคารแน่ ๆ  ผู้จัดการบอกว่า ประตูทางออกที่สำนักนั้นมีตั้งหลายทาง  ว่าแล้วก็ช่วยกันติดตามหาตัวสาวไฮโซ  ไม่มีวี่แววจะพบ
เธอรู้ตัวว่าโดนไฮโซกำมะลอต้มซะแล้ว  ไม่น่าเลย  มองเห็นหลังอยู่ไว ๆ  เพราะความเกรงใจนี่เองทำให้สูญไปสองล้านกว่า  แล้วจะไปตามหาตัวที่ไหน  ขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียน อย่าให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับคุณนะครับ.