จากท้องนาสู่อาณาจักรดาว
ผมเป็นเด็ก"บ้านนอก" ลูกชาวนา เกิดที่อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชื่ออำเภอไม่มีใครรู้จัก การศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนในท้องถิ่น สมัยนั้นเรียนที่ศาลาวัดโล่งๆ แบ่งพื้นที่กันเรียน ชั้นนึงก็มุมนึง นั่งกับพื้นไม่มีเก้าอี้ มีโต๊ะยาวสำหรับรองเขียน โต๊ะหนึ่งนั่งประมาณ4คน ไม่ต้องใช้สมุดดินสอ มีเพียงกระดานชนวนแผ่นเดียว เขียนคำตอบบนกระดานชนวนส่งครู เมื่อครูตรวจเสร็จส่งคืนแล้วก็ลบ นำไปเขียนตอบเรื่องใหม่ ทำการบ้านก็เขียนบนกระดานนี้ แผ่นเดียวใช้สารพัดเหมือนnote-bookในปัจจุบัน ไปโรงเรียนมีกระดานชนวนแผ่นเดียวใส่ย่ามพระสะพาย ไม่เหมือนเด็กนักเรียนสมัยนี้หิ้วกระเป๋าเป้ใส่อุปกรณ์การเรียนใบใหญ่กว่าตัวอีก ด้วยกระดานแผ่นเดียวผมก็จบประถมสี่คะแนนมาเป็นที่1 เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัด จบการศึกษาสอบได้เป็นที่1ของจังหวัด สมัยนั้นจบมัธยมปีที่ 6ก็ต้องเลือกแนวทางศึกษาใหม่ จะเลือกสายอาชีวะหรือต่อมหาวิทยาลัย ผมใฝ่ฝันอยากเป็นนักเรียนนายร้อยมาก สมัยเด็กๆไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ชอบเครื่องแบบโก้เก๋ผู้หญิงชอบ เด็กนักเรียนหญิงเห็นนักเรียนนายร้อยแต่งเครื่องแบบเดินผ่านเป็นต้องร้องกรี๊ด ผมจึงอยากเป็นนักเรียนนายร้อย เหล่าไหนก็ได้ดูเท่ห์ทั้งนั้น แต่พอได้ไปเที่ยวงานพระรูป(งานปิยะมหาราช23ตุลาคม) เห็นนักเรียนนายร้อยเดินผ่านเป็นกลุ่มๆหลายเหล่า มีทั้งทหารบก เรือ อากาศและเตรียมทหาร ทุกคนเดินตัวตรงห้อยกระบี่สั้นแกว่งตุ๊กติ๊กๆ มีสาวสวยๆเดินเคียงคู่ แต่พอเห็นเหล่าตำรวจ โอ๊ะเท่ห์มากกว่ามีสาวเดินตามเยอะ เลยทำให้ตัดสินใจเลือกตำรวจถ้าจะดีกว่า สมัยแรกๆต้องเรียนรวมเหล่าเตรียมทหารก่อน2ปีจึงค่อยแยกเหล่า แต่ปรากฏว่าผมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารติดเพียงรอบแรก(พละและข้อเขียน) รอบสุดท้ายไม่มีชื่อ เป็นความเสียใจครั้งแรกในชีวิตแต่ก็ยังไม่สิ้นความพยายาม กะว่าจะไปสอบใหม่ในปีต่อไป จึงต้องไปเรียนต่อมัธยม7-8ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพญาไท สมัยก่อนเรียกเตรียมจุฬาฯ สอบเข้าได้โดยไม่ต้องใช้เส้นหรือใช้คนฝากเพราะไม่รู้จักใครเลย โรงเรียนก็ไม่รู้จักไปไม่ถูกและไม่รู้ว่าดียังไง มีเพื่อนเด็กวัดด้วยกันชวนไปก็ไป ผลปรากฏว่าผมเข้าได้ส่วนเพื่อนที่เป็นคนชวนกลับไม่ได้ ที่โรงเรียนเตรียมนี้มีแต่คนเรียนเก่งๆทั้งนั้น พวกเรียนเก่งอยู่ห้องKING มีทั้งKINGฝรั่งเศสและKINGเยอรมัน ผมอยู่ห้องรองบ๊วยฝรั่งเศส พอจบมัธยม8ช่วงนั้นโรงเรียนนายร้อยตำรวจเลิกรับจากรวมเหล่า เปิดรับเองโดยตรงจากผู้จบชั้นมัธยม8 ยังกับฟ้าเป็นใจเพื่อจะรับผม จึงตัดสินใจสมัครสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีเพื่อนโรงเรียนเตรียมฯรุ่นเดียวกันหลายคนไปสอบ แต่ผมก็ยังแอบไปสอบเอนฯเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ไปติดคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และก็สอบติดโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วย ผมเลือกเรียนนายร้อยตำรวจเพราะเป็นความประสงค์ครั้งแรกในชีวิต เรียกว่าสมอยาก จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจปี พ.ศ.2509 สอบได้ที่3 รับราชการครั้งแรกที่ สน.พระราชวัง สน.นี้มีหลายคนไม่ค่อยรู้จัก ได้ยินชื่อนึกว่าอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ต้องอธิบายว่าเป็นสถานีตำรวจที่โก้ที่สุดในสมัยนั้น ตั้งอยู่ที่ตำบลพระบรมมหาราชวังและบูรพาภิรมย์ มีศูนย์การค้าและแหล่งบันเทิงโก้ที่สุดของกรุงเทพฯ คือศูนย์การค้าวังบูรพา มีโรงภาพยนตร์มากที่สุดในกรุงเทพฯ คือโรงภาพยนตร์คิงส์, แกรนด์, ควีน, ศาลาเฉลิมกรุงและเอ็มไพร์ ในขณะที่ย่านอื่นๆไม่มีแหล่งบันเทิง ย้ายไปรับราชการที่ อ.เมืองนครปฐมอีก5ปีแล้วจึงกลับเข้ากรุงเทพฯ ไปอยู่ที่ สน.บางยี่เรือ จากนั้นก็รับราชการอยู่ในนครบาล(กรุงเทพฯ)ตลอด ช่วงที่มีผลงานดีเด่นคือช่วงที่รับราชการอยู่ที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลใต้ มีนายที่ดังๆคือ พล.ต.ต.อมร ยุกตะนันทน์, พล.ต.ท.ธนู หอมหวล, พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์, พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ เป็นต้น ส่วนใหญ่จะแข่งขันกันว่าใครมีผลงานได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์บ้าง ผมตัดผลงานจากข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เก็บไว้เป็นความภาคภูมิใจ ต่อมาปี พ.ศ.2525ผมเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับอยู่ติดต่อกันหลายวัน เรื่องอะไรไม่บอก คนส่วนมากลืมไปแล้ว เป็นเหตุให้ผมต้องออกราชการ ไปทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด ในตำแหน่งหัวหน้าส่วนตรวจสอบทั่วไป ทำหน้าที่เป็นตำรวจของธนาคาร จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2530จึงได้กลับไปเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งหนึ่ง
สิ่งที่ประทับใจและภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตราชการคือ การได้ช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน,ผู้ไม่ได้รับความเป็นในรูปแบบต่างๆ ปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิด ทำลายล้างแหล่งผิดกฏหมาย ได้รับรางวัลผลงานปราบปรามดีเด่น ช่วยชีวิตคนอีกมากมาย ตำรวจเป็นอาชีพเดียวที่ได้ช่วยเหลือผู้คนและทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข ทุกวันนี้สังคมมีแต่การเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ ถูกข่มเหงรังแกจากผู้ที่แข็งแรงกว่า,ผู้มีอำนาจกว่า ผมและผู้ใต้บังคับบัญชาของผมยึดถือความถูกต้องและความเป็นธรรมและพยายามต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้
ก่อนเข้าสู่ชีวิตตำรวจผมเป็นเพียงเด็กต่างจังหวัด พ่อแม่ทำนาฐานะไม่ได้มั่งมีอะไร เรียนนจบ ป.4แล้วลองช่วยพ่อแม่ทำนาดูระยะหนึ่งจึงรู้ว่าเป็นอาชีพที่ลำบากที่สุด สมัยนั้นไม่มีเครื่องจักร ต้องใช้วัวและควายไถนา ตื่นนอนแต่ตี5 จูงควายแบกไถไปนา เดินทางไม่ต่ำกว่า2-3กิโลเมตร เดินเท้าเปล่าไม่มีรองเท้า กว่าจะเริ่มไถได้ก็ใกล้ฟ้าสาง ไถก็ไม่ค่อยเป็น ต้องหัด จับหางไถไม่ดีทำให้ไถกินดินลงลึกมากไป ไถหัก พ่อต้องเสียเวลาไปทำไถใหม่เป็นเดือน วันแรกที่ออกไถนาหิวข้าวมาก หิวจนภายในท้องส่งเสียงออกมา ต้องรอจน9โมงเช้าแม่หาบข้าวไปส่ง แต่ก็ยังทานไม่ได้รอให้พ่อและพี่ๆทานก่อน เดินไถนาน้ำตาซึม คิดในใจชีวิตนี้ไม่เอาแล้วเรื่องทำนา ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า
หลังจากทดลองทำนาได้ไม่กี่วันบอกกับพ่อแม่ขอไปเรียนต่อ พ่อแม่ให้โอกาศ แต่จะเอาทุนทรัพย์ที่ไหน ตกลงยกทรัพย์(ที่นา)ในส่วนของผมควรจะได้ประมาณ20ไร่ให้พี่ชายโดยขอให้ส่งเรียน ปัญหามีต่อไปอีกถ้าจะเรียนต่อต้องไปเรียนในเมือง แล้วจะไปพักกับใครที่ไหน สมัยนั้น(พ.ศ.2496)อพาทเม้นหรือหอพักไม่มี ต้องอาศัยวัดอยู่กับพระที่วัดเสนาสนาราม ตัวเมืองอยุธยา เป็นครั้งแรกที่ต้องจากบ้าน รู้สึกว่ามันช่างห่างไกลเหมือนไปต่างประเทศ คิดถึงบ้านมาก
ชวิตการแข่งขันครั้งแรกตอนสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด อยุธยาวิทยาลัย ไม่มีเส้นไม่มีคนฝากเพียงแต่ในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า"ถ้าสอบไม่ได้ต้องกลับไปทำนา" ผลคือสอบได้ เพื่อนที่โรงเรียนส่วนมากเป็นลูกพ่อค้า ข้าราชการ ลูกชาวนาน้อยมาก อาจเป็นปมด้อยของผมที่ทำให้เกิดความมานะพยายาม ผมดูหนังสือ ท่องหนังสือ อ่านบทเรียนล่วงหน้าก่อนที่ครูจะสอนถึง ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยมีพระที่วัดคอยเคี่ยวเข็น ทำให้สามารถเรียนและโต้ตอบกับอาจารย์ในชั้นเรียนได้ดี เป็นที่ยอมรับของอาจารย์และเพื่อนๆ ผลจากความพยายามทำให้ผมสอบได้ลำดับที่ต้นๆเลขตัวเดียวและสอบครั้งสุดท้าย(มัธยม6)ได้เป็นที่หนึ่งของจังหวัด
ถึงคราวที่จะต้องตัดสินใจเรียนต่ออีกครั้ง ตัดสินใจเองไม่มีใครแนะนำ ผมอยากเรียนอะไรต่อที่มาจบแล้วได้ทำงานมีเงินเดือนไม่ต้องไปวิ่งหางาน เลือกไว้หลายที่ 1.ศุลการักษ์(เปิดรับเป็นปีแรก) 2.วิศวกรรมรถไฟ 3.เตรียมทหาร ในใจอยากเข้าเตรียมทหารที่สุดเพราะเครื่องแบบเท่ห์ เคยเห็นนักเรียนรุ่นพี่ที่ไปเข้าเรียนเตรียมทหารได้แต่งเครื่องแบบกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าเป็นแรงจูงใจ ใครๆก็อยากไปเรียนนายร้อยแต่มีคนพูดให้ท้อ"ต้องมีเส้น" "ต้องใช้เงิน" ผมลูกชาวนาไม่กลัวจะขอสู้แต่ไม่กล้าบอกใคร อายเขา
เข้ากรุงเทพฯก็ต้องเดือดร้อนหาที่อยู่ ได้วัดอีกแหละ คราวนี้เล่นวัดใหญ่เลย"วัดพระเชตุพน"หรือ"วัดโพธิ์" สมัครสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารกับศุลการักษ์ แข่งขันกันมากชนิด30คนเอา1คน รอบแรกผมติดทั้งโรงเรียนศุลการักษ์และเตรียมทหาร ศุลการักษ์เรียกว่าได้เลย(สอบครั้งเดียว)มีกำหนดนัดให้มอบตัวเข้าเรียน แต่ใจอยากเป็นนักเรียนเครื่องแบบ ทำอย่างไรดีถ้าผมมอบตัวเข้าเรียนศุลการักษ์ก็ต้องอดแต่งเครื่องแบบ ตัดสินใจทิ้งศุลการักษ์(ไม่งั้นคงไปเป็นนายด่านศุลกากร รวยอื้อไปแล้ว) มุ่งเตรียมทหารลูกเดียว (คนได้สำรองศุลการักษ์คนที่1โชคดีไป ฝากไปยังศุลการักษ์รุ่นแรก ถ้าได้ทราบข้อมูลนี้โทรหรือโพสท์คุยกันบ้างนะ) รอบสุดท้ายเตรียมทหารต้องอกหัก ไม่มีชื่อ พยายามอ่านป้ายประกาศหลายแผ่น หลายสถานที่กลัวเขาพิมพ์ผิดพลาด อ่านยังไงก็ไม่มีชื่อ เป็นความผิดหวังครั้งแรก เสียใจากจริงๆ
กลับไปเรียน ม.7-8ต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมพญาไท กะจะเอาวุฒิ ม.7-8 ไปสู้กับ ม.6 อีกสักครั้ง แต่พอจบ ม.8 โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานเปิดรับตรงไม่ต้องผ่านเตรียมทหาร ลงสนามสู้อีกครั้ง ไม่มีเส้น ไม่มีคนฝาก ด้วยลำแข้งจริงๆ ผู้สมัคร3,000คนรับแค่75 ผมได้ในอันดับที่30
เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจนึกว่าจะสบาย ยิ่งหนักไปกว่าทำนาอีก เรื่องเหน็ดเหนื่อย เรื่องการใช้พละกำลังเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่นี่มีการฝึกให้อดทนต่อสภาพจิตใจ,ฝึกกำลังใจหนักและรุนแรงมาก ทำให้รุ่นของผมซึ่งตอนเข้าไปมี75คน ตอนจบออกมาเหลือแค่69คน ที่ออกไปเพราะทนรับสภาพไม่ไหว มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ส่วนใหญ่เรียนแพทย์ เรียนต่างประเทศ
เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจแล้วจึงรู้ว่า การที่เราได้รับการฝึกฝนหนักทั้งวิชาการ สภาพกายและจิตใจ ก็เพื่อให้เราพร้อมที่จะเป็นผู้นำที่ดี มีจิตใจที่แข็งแกร่ง มีคุณธรรม มีความสามารถที่จะต่อสู้ปราบปรามคนพาล อภิบาลคนดีได้ ดังคำกล่าวของนักเรียนรุ่นพี่.."ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับด้วยดอกไม้ กลิ่นหอมหวลยวนใจไซร้ ไป่มี" หรือก็คือ..ทางไปสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
แล้วยังไงครับ ผมลองเปรียบเทียบชีวิตผมกับพี่ๆของผมที่ยึดอาชีพทำนา ปัจจุบันอำเภอบางปะหันที่เกิดผมไม่ใช่ "บ้านนอก"อีกต่อไป พี่ๆผมกลายเป็นเศรษฐีเพราะที่นาถูกถนนสายเอเซียตัดผ่าน ตรง กม.ที่95พอดี พวกเขามีที่ดินกันเยอะ สมัยผมเกิดไร่ละ2,000บาท สมัยที่ๆดินราคาดีๆซื้อขายกันไร่ละ4ล้านบาท(ที่ติดถนน) พวกเขาสุขสบายแบ่งขายที่ดินไป เก็บเงินสดกันไว้คนละไม่ต่ำกว่า20ล้าน ส่วนผมก็คงมีแต่เกียรติและความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือญาติพี่น้องและได้ช่วยเหลือสังคม
ไม่น่าเชื่อ จากเด็กบ้านนอกลูกชาวนาตัวดำๆ ไถนาก็ทำไถหัก สามารถฟันฝ่าเข้าไปเรียนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่เข้ายากนักยากหนา คว้าดาวมาติดบ่า ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนฯรับพระราชทานกระบี่และตอนประดับยศนายพล จบชีวิตราชการโดยไม่ด่างพร้อย เป็นที่รู้จักในวงสังคม ช่วยเหลือการกุศลสาธารณะตามควร นี่แหละชีวิตที่ลิขิตเอง